ภูติเป็นหนึ่งในตัวตนดำรงอยู่คู่ธรรมชาติมาเนิ่นนาน แต่มีเพียงส่วนน้อยที่จับต้องและรับรู้ถึงเหล่าภูติ
เผ่าเอลฟ์เป็นหนึ่งในกลุ่มส่วนน้อยนี้ และอาจด้วยว่าพวกเขาสืบเชื้อสายมาจากภูติโบราณกาล ในบางกรณีจะมีเอลฟ์บางตนเป็นร่างทรง มีภูติสิงสถิตอยู่ในตนแต่กำเนิด
เอลฟ์รัตติกาลแตกแยกออกมาจากเผ่าเอลฟ์ก็คงคุณลักษณะอันพิเศษนี้ไว้เช่นกัน
ผู้ที่มีภูติสิงสถิตแต่กำเนิดจะมีพลังเวทที่มากผิดปกติและเพิ่มพูนขึ้นจนเด่นชัด นั่เพราะไม่ว่าร่างกายจะเติบโตอย่างไร ภูติจะเปลี่ยนพลังของร่างทรงเป็นพลังเวท
สิ่งที่น่าเกรงขามที่สุดคือร่างทรงสามารถดูดกลืนพลังในธรรมชาติได้อีกด้วย ในทางทฤษฎีอาจเรียกว่ามีพลังอันไร้ขีดจำกัด
ภูติที่ทรงพลังที่สุดในอดีตกาลก่อตั้งอาณาจักรภูติขึ้น ได้รับการขนามนามเป็นราชันแห่งเหล่าภูติพรายด้วยพลังนี้ และคงความเคารพยำเกรงสืบทอดมายังลูกหลาน
ร่างทรงจึงเปรียบเสมือนพรจากธรรมชาติ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคำสาป
แม้จะมีพลังเวทอันมากมาย แต่ร่างทรงไม่สามารถควบคุมภูติที่สิงสถิตในตัวได้ เมื่ออ่อนล้าจักถูกภูติอันสิงสถิตกลืนกิน บรรดาร่างทรงล้วนจบชีวิตในวัยเยาว์
ยามเด็กตัวภูติยังคงไม่มีความนึกคิดทำให้ควบคุมและผนึกโดยง่าย แต่วิธีเหล่านี้ไร้ผลสำหรับภูติสูงวัยเว้นเสียแต่จะได้รับการยินยอมร่วมมือ การปลดผนึกจึงมีความเสี่ยงสูง เรียกได้ว่าเป็นการสละชีพเพื่อชัยชนะ
ซิลวานถือกำเนิดโดยมีภูติสิงสถิตในตัว และยังเป็นราชาแห่งภูติอีกด้วย
ซิลวานเคยพลาดพลั้งปลดปล่อยผนึกในอดีต ก่อเกิดความเสียหายขึ้นอย่างมากกับดินแดนของเหล่าเอลฟ์รัตติกาล และนั่นเป็นตราบาปฝังใจทำให้เขาเบนความสนใจไปทักษะร่างกายเช่นวิชาดาบ เพื่อหลีกเลี่ยงการข้องเกี่ยวกับภูติให้มากที่สุด
เมื่อได้รับการปลดปล่อยราชาแห่งภูติก็แผ่พลังออกไปทั่วบริเวณ รับรู้ได้ถึงศักดิ์ศรีและความเกรี้ยวกราดจากที่ถูกสะกดมานานเนิน
เสียงระเบิดดังขึ้นต่อเนื่อง ไม่ใช่เวทมนตร์ที่สร้างระเบิด แต่พลังเวทที่พวยพุ่งอย่างกระทันหันและแน่นหนาบีบอัดอากาศให้ระเบิด
อาชาแห่งทุพภิกขภัยรีบล่าถอยพร้อมใช้พลังสร้างโล่ป้องกัน ซิลวานเสริมพลังเวทเข้าสู่ดาบตวัดเข้าจู่โจมอย่างไม่รอช้า ลำแสงสีทองพุ่งเข้าโจมตีราวกับสายฟ้าฟาด
เฟลิซีกรีดร้องในทุกการกระทำของซิลวาน ทุพภิกขภัยสามารถดูดกลืนพลังเวทของศัตรูได้ ทว่าพลังเวทที่พวยพุ่งออกมาเอ่อล้นเหนือกว่าความเร็วในการกลืนกิน
“ซี! พี! ร่า!”
ซิลวานตะเบ็งเสียงออกมาอย่างเจ็บปวด ซีพีร่าเข้าใจเจตนาของเจ้านาย นางไม่สนใจสายตาที่เริ่มพร่ามัวพลางวิ่งปรี่เข้าหาเฟลิซี เดเลียก็กระทำในลักษณะเดียวกัน
การบุกของซิลวานทำให้อาชาแห่งทุพภิกขภัยถอยร่นในทุกย่างก้าว หลอดเลือดฉีกขาดเผยแสงสีทองเรืองจากทุกอณู
เดเลียกระชากเกราะที่บุบออกจากเฟลิซี เมื่อเฟลิซีเริ่มหายใจได้อย่างไม่ติดขัด เดเลียก็รีบกอดอุ้มตัวเฟลิซีแล้วออกวิ่ง
นำตัวรัชทายาทแห่งเอลฟ์รัตติกาลหลบหนีออกจากสนามรบให้เร็วที่สุด แน่นอนว่าเฟลิซีเข้าใจจุดประสงค์และสถานการณ์แต่นางไม่สามารถฝืนกลั้นความรู้สึกไว้ได้
“ซิลวาน! ซิลวาน!”
เฟลิซีแผดเสียงร้อง เสียงที่ส่งไปไม่ถึงซิลวาน ซิลวานในตอนนี้ปล่อยตัวตามโชคชะตา การจู่โจมของเคล็ดวิชาอิเนียส่งผลให้ชีพจรของเขาปั่นปวน เป็นเหตุให้ตัดสินใจปลดปล่อยราชาแห่งภูติเพื่อเปลี่ยนลมปราณเป็นพลังเวท ลมปราณคือพลังชีวิต
ความหมายของซิลวานในอีกนัยยะหนึ่งก็คือ เพื่อปกป้องน้องสาวสุดที่รัก ซิลวานยินยอมให้ราชาแห่งภูติเผาผลาญชีวิต อาละวาดทำลายศัตรูได้อย่างไม่มีข้อผูกมัด!
บรึ้ม บรึ้ม บรึ้ม!
พลังเวทที่ล้นหลามพวยพุ่งบีบอัดสภาพแวดล้อมโดยรอบ โล่ของทุพภิกขภัยไม่อาจทนทานและแตกสลายในที่สุด
นักรบทั้งสองต่างกระอักเลือด อาชาแห่งทุพภิกขภัยพยายามเรียกใช้พลังของเขา แต่ก็ทำได้เพียงแค่ปกป้องตนเองจากราชาแห่งภูติ สิ่งเดียวที่ทำได้เพื่อต่อสู้ซิลวานคือดึงความทรงจำของจีราดฟื้นคืนให้มาคุมร่าง นักรบที่เก่งกาจที่สุดในประวัติศาสตร์ของเผ่าไลแคนโทรป
วิชาดาบของซิลวานที่เสริมด้วยพลังเวทปะทะกับเคล็ดไอศวรรย์สัตว์เทพ ความรุนแรงจากการต่อสู้แผ่กระจายวงกว้าง
ซีพิร่าแบกเฟลิซีหลบหลีกออกมาจนถึงบันไดขึ้นชั้นใต้ดินที่สามในที่สุด
“ซิล… วาน… ”
เฟลิซีร้องออกมาอย่างเคว้งคว้าง เสียงของนางไม่สามารถส่งถึงเป้าหมาย ซีพิร่าวิ่งพาเฟลิซีขึ้นมายังชั้นใต้ดินที่สาม ชั้นนี้เป็นเพียงห้องโถงจึงเห็นทางขึ้นสู่ชั้นที่สองได้ง่าย
ความเสียหายจากการต่อสู้ส่งสะเทือนไปทั่วโบราณสถาน ให้ความรู้สึกว่าสามารถถล่มลงได้ตลอดเวลา
ซีพิร่ายังพยายามวิ่งต่อไปอย่างไม่ลดละโดยแบกเฟลิซีที่พยายามดิ้นรนอยู่ตลอด เสียงดังจากการต่อสู้เริ่มเบาลงจนเหลือเพียงเสียงหายใจอันเหนื่อยหอบ
เวลาผ่านไปไม่ถึงห้านาทีแต่เป็นช่วงเวลาที่รู้สึกราวกับยาวนาน
เมื่อขึ้นมาถึงชั้นใต้ดินที่สอง เดเลียร่ายเวทมนตร์แสงไฟขึ้นเปิดทาง ทั้งหมดเหลียวหลังกลับไปดูอย่างอาวรณ์ครู่หนึ่ง
การต่อสู้ของความมืดกับแสงสว่างยังคงดำเนิน รับรู้ได้จากแรงสั่นสะเทียนกับการแตกหักของโบราณสถาน
แสงสีทองส่องผ่านขึ้นมาผ่านรอยแตกของพื้น บ่งบอกว่าการต่อสู้ระหว่างซิลวานกับจีราดขยับใกล้พวกเขาขึ้นมาเช่นกัน
แสงนี้ยังแสดงถึงพลังชีวิตของซิลวานที่ถูกเผาผลาญเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังเวท
ซีพิร่ากับเดเลียกัดริมฝีปาก ทั้งสองคว้าตัวเฟลิซีพร้อมออกวิ่งอีกครั้ง
เวลาล่วงเลยโดยที่ไม่มีผู้ใดสนใจว่าผ่านไปเท่าไร
ทั้งสามหลบหนีจนขึ้นมาถึงบันไดชั้นบนสุดของโบราณสถาน เมื่อพ้นออกจากจุดนี้พวกเขาก็จะสามารถหลบหนีศัตรูได้ง่ายขึ้น
การต่อสู้เบื้องล่างยังคงดำเนินต่อไป ทุกการสั่นสะเทือนสร้างความเสียหาย เผยรอยแตกมากยิ่งขึ้นพร้อมแสงสีทองที่สองผ่าน
ในชั่วพริบตานั่นเอง บันไดทางเข้าออกโบราณสถานก็แตกออกกึ่งหนึ่ง ทั้งเดเลียกับซีพิร่าต่างกระโดดหลบทัน แต่นั่นทำให้เฟลิซีหลุดรอดจากทั้งสอง
เฟลิซีที่กระเด็นออกจากองครักษ์มองผ่านรอยแตกของบันไดลงไปด้านล่าง สภาพของซิลวานเต็มไปด้วยบาดแผลฉีกขาดจากการปลดปล่อยราชาแห่งภูติ ห่างออกไปไม่ไกลมีกลุ่มก้อนเงาดำทมิฬ
นับตั้งแต่ที่ซิลวานปลดปล่อยราชาแห่งภูติเวลาก็ล่วงเลยมาราวยี่สิบนาที สภาพของซิลวานไม่ต่างจากตายไปแล้ว อาชาแห่งทุพภิกขภัยปกคลุมตนด้วยไอพลังสีดำ ยากแก่การคาดเดาความเสียหาย แต่การยืนหยัดท่ามกลางการอาละวาดของราชาแห่งภูติย่อมใช้พลังที่มากไม่แพ้กัน
จีราดฉุกคิดขึ้นมาว่าหากเป็นตัวเขาเมื่อก่อนคงสูญสลายไปตั้งแน่นาทีแรก การที่ยืนหยัดได้นานขนาดนี้บ่งบอกถึงแสนยานุภาพของพลังแห่งทุพภิกขภัย แต่ถึงกระนั้นจีราดในปัจจุบันก็ไร้ตัวตน เขาเป็นเพียงสิ่งที่ทุพภิกขภัยสร้างขึ้นมาจากข้อมูลที่เรียกว่าความทรงจำของจีราด เมื่อพลังชีวิตของซิลวานหมดสิ้นลง ความทรงจำอันนี้ก็จะถูกลบเลือนกลืนกินไปเช่นเดิม
พลังแห่งทุพภิกขภัยไม่อาจกลืนกินพลังอันมหาศาลของราชาแห่งภูติ แต่นั่นเป็นข้อจำกัดด้านปริมาณ เขาจึงป้องกันมิให้ตนเองแหลกสลายแล้วกลืนกินพลังเพียงทีละนิด การต่อสู้นี้จึงเรียกว่าการแข่งขันด้วยเวลา พลังชีวิตของซิลวานจะหมดสิ้นก่อนหรืออาชาแห่งทุพภิกขภัยจะถูกทำลายก่อน แน่นอนว่าหากซิลวานปลดปล่อยราชาแห่งภูติก่อนชีพจรจะถูกโจมตีด้วยเคล็ดวิชาอิเนีย ผลลัพธ์ย่อมต่างออกไป สร้างความโล่งใจที่เหตุการณ์นั้นมิได้เกิดขึ้น
ร่างไลแคนโทรปปกคลุมด้วยไอพลังดำทมิฬ เป้าหมายคือหาช่องทางหลุดรอดขึ้นไปยังโบราณสถานชั้นบน ซิลวานแผ่กระจายพลังเวทออกเป็นคลื่นวังวนในวงกว้างเพื่อป้องกัน
หากมองถึงประสิทธิภาพเรียกว่าต่ำ อาชาแห่งทุพภิกขภัยใช้พลังเพียงส่วนหนึ่งเพื่อป้องกันตน แต่ซิลวานต้องใช้พลังจำนวนมากเพื่อป้องกันทุกบริเวณโดยรอบ ด้วยเป้าหมายที่ต่างกันทำให้ซิลวานไม่มีทางเลือกอื่น
จีราดหัวเราะในใจให้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น นักรบไลแคนโทรปผู้ทะนงตนกลับต้องมาหลบเลี่ยงการปะทะ หาช่างทางหลบรอดราวกับหนูติดกับดัก ในขณะเดียวกันเขาก็รับรู้ว่าตัวเขาไม่อาจทนทานหากโดนระเบิดพลังเวทเข้าอย่างจัง พลังแห่งทุพภิกขภัยอาจช่วยป้องกันความเสียหายจากคลื่นกระแทก แต่ไม่สามารถป้องกันไปได้มากกว่านั้น
การต่อสู้ดำเนินมาจนถึงจุดที่ร่างกายของซิลวานไม่สามารถทนทานต่อภาระได้ ซิลวานกระเด็นเสียหลักจากคลื่นกระแทกของการระเบิด เป็นเรื่องบังเอิญที่ตำแหน่งของเขาอยู่ภายใต้รอยแตกหักของบันไดทางเข้าออกโบราณสถาน
อาชาแห่งทุพภิกขภัยรู้สึกถึงชัยชนะ จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมาให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
เฟลิซีกระโดดลงผ่านรอยแตกของบันได นางพยายามใช้เวทมนตร์ฟื้นฟูให้กับร่างกายที่เต็มไปด้วยบาดแผลของซิลวาน นางเสริมเวทมนตร์ป้องกันชนิดอื่นเพิ่มเข้าไปด้วย
‘โง่เขลานัก’
อาชาแห่งทุพภิกขภัยที่อยู่ในการต่อสู้กับซิลวานสามารถรับรู้ได้ ราชาแห่งภูติที่ถูกปลดปล่อยทรงพลังจนเกินการผนึก เวทรักษาสามารถสมานแผลได้แต่พลังเวทที่แผดออกสร้างรอยแผลใหม่ขึ้นมาแทนที่ในทันที
‘ช่างน่าเวทนา’
ความคิดที่ผุดขึ้นไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นของอาชาแห่งทุพภิกขภัย หรือมาจากความทรงจำของจีราด อย่างไรเสียตัวเขาก็ย่างก้าวเข้าไปเผื่อปลิดชีพศัตรู แน่นอนว่าตัวตนแห่งทุพภิกขภัยก็ได้รับความเสียหายเช่นกัน นั่นทำให้เขาพยายามกลืนกินพลังเวทเพื่อฟื่นฟูตนเองระหว่างนั้นไปด้วย
เฟลิซีกอดร่างของซิลวานเอาไว้อย่างแนบแน่น นางร่ายเวทมนตร์หลากหลายโดยไม่สนใจรอบข้าง ราชาแห่งภูติเปลี่ยนลมปราณเป็นพลังเวท พลังเวทที่เบาบางลงบ่งบอกว่าชีวิตของซิลวานกำลังจะหมดลง
ร่างกายของซิลวานสั่นกระตุก จวบจนวินาทีสุดท้ายเขาก็ไม่ลดละที่จะทุ่มพลังทั้งหมดเข้าโจมตีสะกัดกั้นศัตรู
“โง่เง่า”
เฟลิซีพึมพำออกมา สถานการณ์อาจดีกว่านี้หากผู้ที่เป็นร่างทรงคือตัวนางมิใช่ซิลวาน แม้ไม่อาจควบคุมราชาแห่งภูติได้ แต่ความรู้ความชำนาญด้านเวทมนตร์ย่อมช่วยให้ใช้พลังเวทได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เดเลียกับซีพิร่ากระโดดตามลงมา แม้ต้องแลกด้วยชีวิตทั้งสองก็จะพยายามสร้างโอกาสให้เฟลิซีมีโอกาสรอด
ในวินาทีแห่งความสิ้นหวังนั้นเอง…
แหวนของเฟลิซีที่ดำสนิทก็เรืองประกาย เสมือนเครื่องส่งสัญญาณบ่งบอกตำแหน่งของนางให้ปลายทางรับรู้
ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวโบราณสถานทำให้ความหนาแน่นของพลังเวทแผ่กระจายออก เปรียบเช่นเมฆหนาแน่นคลายตัวจางพอให้สัญญาณคลื่นความถี่สามารถเดินทางได้
เฟลิซีกอดซิลวานแน่นขึ้น นางหัวเราะทั้งน้ำตาพลางตะโกนออกอย่างโล่งใจ
“ฉัตร!”
เฟี้ยววววว!
เสียงบางสิ่งเคลื่อนที่ผ่านอากาศอย่างรวดเร็วราวเครื่องบินรบพุ่งดิ่งทะลุเพดานลงมา ตอบรับคำภาวนาของเฟลิซี
ครืน! ครืน!! ครืนนน!!!
ตามมาด้วยเสียงผนังโบราณสถานถล่มลงจากคลื่นกระแทก ฝุ่นควันฟุ้งกระจายเห็นเพียงเงาเลือนลางของบางสิ่งเรียวยาวคล้ายหอกปักอยู่
จี้หอยคอที่เรืองแสงเช่นเดียวกับแหวนของเฟลิซี วัตถุสีดำและขาวบินแยกตัวออกเข้าจู่โจมทิ้งร่องรอยของสายลมเขียวขจี
อาจล่าช้า แต่เจ้าชายฉัตรก็เข้าร่วมการต่อสู้แล้ว
ซิลวานไม่สามารถเอาชัยเหนือศัตรู แถมร่างกายยังเต็มไปด้วยบาดแผลจากผลข้างเคียง แต่ความพยายามไม่สูญเปล่า เขาสามารถยื้อจนกำลังเสริมสมทบได้ทัน
อินกองมองสำรวจรอบตัว ซิลวานที่ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นหรือตาย เฟลิซีที่ร้องไห้ฟูมฟายร่ายเวทมนตร์ ซีพิร่าแขนขาดหนึ่งข้าง เดเลียที่ย่ำแย่ไม่ต่างกัน กับศัตรูที่ปกคลุมด้วยกลุ่มก้อนสีดำ
ไอพลังสีดำควบตัวเป็นดาบซัดมา อินกองรีบเรียกใช้พลังแห่งอาณัติเข้าป้องกัน
“ใต้ร่มเงากษัตริย์!”
ธงแห่งชัยชนะโบกสะบัด ไอพลังสีขาวแผ่กระจายเข้าแทนที่พลังเวทและไอพลังสีดำ
อาชาแห่งทุพภิกขภัยสับสนงุนงง
เวลาผ่านเพียงไม่กี่เดือนจากการปะทะของอาชาแห่งทุพภิกขภัยกับอาชาแห่งอาณัติครั้งก่อน แต่พลังแห่งอาณัติที่กำลังแผ่กระจายกลับทรงพลังเกินกว่าที่จดจำได้มากโข
‘ทำไม?’
‘เพราะอะไรกัน?’
อินกองกระตุ้นพลังจากแก่นในตัว ทักษะโลหิตมังกร พร้อมทั้งสนับมือที่กู่ร้องอย่างคึกคะนอง
อินกองอาศัยจังหวะที่ศัตรูหยุดชะงักพุ่งทะยานเข้าโจมตี หากแต่
“ทุพภิกขภัย… ”
มีเสียงพึมพำจากปากของอินกอง เสียงที่มิใช่เสียงของอินกอง
เสียงนี้ปลุกอาชาแห่งทุพภิกขภัยจากภวังค์ในทันที แววตาเขาเต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด พร้อมตะโกนร้องออกมาอย่างเคียดแค้น
“อาณัติ!!!!”
ไอพลังทั้งสองสีเข้าปะทะกันอย่างรุนแรง
จบบทที่ 25 – ปลดปล่อย เริ่มบทที่ 26 – อาณัติ