นี่คือครั้งที่สี่ที่อินกองเดินทางกลับวังหลวง ประสบการณ์เกี่ยวกับค่ายกลค่ามมิติทำให้คุ้นเคยกับสภาพรอบตัว ห้วงเวลาและแสงสว่างราวกับดูดทุกสิ่งสู่ความว่างเปล่าทั่วทิศทาง
สิ่งที่ชัดเจนที่สุดสำหรับการกลับมาในครั้งนี้ของอินกองก็คือจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้น อันได้แก่ นาตาช่า ซิลวาน และซีพิร่า
แวนเดลยังเฝ้าประจำการณ์ที่แดนเอเวียงจากเหตุการณ์คับขัน โดยมีเอลิต้ากับคัปลานร่วมเป็นกำลังสมทบ
‘ยังดีที่เราได้ลาไหว้เอลิต้า’
เอลิต้าเดินทางมายังครามส์ครู่หนึ่งเพื่อสนับสนุนบำรุงรักษาเรือเหาะเพลิงมังกรทมิฬ อินกองจึงมีโอกาสพูดคุยร่ำลากับนาง แต่ไม่ใช่กับมิตรสหายที่แดนเอเวียง
อินกองลืมตามองเห็นภาพรอบตัวเคลื่อนที่ช้าลงจนหยุดนิ่งเป็นลานกว้าง บ่งบอกว่าเขาได้เดินทางมาถึงค่ายกลเคลื่อนมิติที่วังจอมมารเสร็จสิ้น
รอบตัวรายล้อมไปด้วยบรรดาผู้ที่เฝ้ารอต้อนรับ อินกองรับรู้อย่างคร่าวว่า “ผู้เข้าเฝ้ารับเสด็จ” มีปริมาณเพิ่มขึ้นในทุกครั้งที่เขาทำภารกิจกลับมา เมื่อคิดว่าบรรดาบุตรหลานนางกำนัลเหล่านี้เลือกรอต้อนรับอินกองมากกว่าติดตามทายาทตนอื่นเพื่อทำภารกิจ อินกองก็อมยิ้มขึ้นมาอย่างยินดี
อินกองกวาดสายตาจนพบกับฟลอร่าที่รอต้อนรับกลับคฤหาสน์ พร้อมด้วยบรรดาผู้ที่คลั่งไคล้เฟลิซีถัดไปไม่ไกล รวมไปถึงใบหน้าที่คุ้นเคยจากงานเลี้ยงน้ำชาก่อนปะปน
‘พอดังแล้วก็แอบกดดันเหมือนกันนะเนี่ย’
อินกองโบกมือทักทายฟลอร่า หากแต่ทางด้านฟลอร่ากลับมีสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย
หรือว่าจะเป็นเพราะนาตาช่า? ไม่สิ บางทีอาจจะเพราะซีพิร่าที่เสียแขนไปข้าง? คิดอยู่ครู่หนึ่งอินกองก็ตัดเหตุผลทั้งสองออกไป นั่นเพราะทั้งสองตัวเลือกนี้ไม่น่าจะเพียงพอที่ทำให้บรรดาผู้รอรับเสด็จแสดงสีหน้าเช่นนั้นออกมา
ไม่นานอินกองครุ่นคิดก็รับรู้ได้ถึงเหตุผลที่แท้จริง
ฝูงชนที่รายล้อมแบ่งแยกออกเป็นสองฝั่งหลีกทางให้อีกกลุ่มหนึ่งเดินผ่านเข้ามา อีกหนึ่งใบหน้าที่อินกองคุ้นเคย
“แม่คะ?! เอ่อ อ่า องค์ราชินี?”
ราชินีของเผ่าไลแคนโทรปส่งยิ้มให้กับเคทลินที่แสดงอาการเลิกลั่กก่อนหันไปสบตากับอินกอง นัยตาของนางดูสงบเยือกเย็นยากหยั่งถึงเช่นเคย ข้างกายนางมีลุดวิคผู้เป็นหัวหน้ากองพลโลหิตเฝ้าอารักขา
คณะอินกองกล่าวทักทายปราศรัย
“เป็นเรื่องดีที่เราได้พบปะอีกครั้ง นับเป็นครั้งแรกที่เราพบกันที่ราชวังสินะ ยินดีต้อนรับทุกคนกลับมา”
คำกล่าวที่เป็นพิธีในร่างที่ไม่ต่างจากเคทลินทำให้อินกองรู้สึกตะขิดตะขวงใจอย่างประหลาด
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่งพระพุทธเจ้าข้า”
“เชิญทำตัวเช่นปกติ”
ระหว่างที่อินกองกล่าวทักทายกับราชินีเอเลน เคทลินก็รีบกล่าวขัดอย่างร้อนรน
“เกิดเหตุเร่งด่วนอันใดทำให้องค์ราชินีเสด็จ…”
“สถานที่นี้คงไม่เหมาะแก่การสนธนา เช่นนั้นเราจึงขอตัวก่อน พวกเธอก็ควรแยกย้ายเข้าพักผ่อนที่คฤหาสน์เช่นกัน”
เอเลนพูดตัดบทพลางจ้องตรงไปยังอินกอง เคทลินทำได้เพียงหยุดพูดอย่างไม่เต็มใจ
“เกล้ากระหม่อมขอน้อมรับพระพุทธเจ้าข้า”
“เธอก็เช่นกันเคทลิน”
“ค่ะ!… พระพุทธเจ้าข้า!”
จากนั้นเอเลนก็จากไป อินกองมองแผ่นหลังของนางพลางครุ่นคิด
“นายคิดว่าราชินีจะแวะมาหาที่คฤหาสน์หรือเปล่า?’
“เป็นไปได้ ไม่งั้นก็อาจเชิญแกไปที่คฤหาสน์ของหล่อน”
ความเห็นจากเจ้าออร์คฟังดูเป็นไปได้สูง ยิ่งเมื่อคิดถึงฐานะแล้ว การที่ราชินีเชิญเจ้าชายเข้าเยี่ยมย่อมตรงตามบรรทัดฐานมากกว่าการที่เจ้าชายเชื่อเชิญราชินี
‘ว่าแต่ด้วยเรื่องอะไรกัน? จีราด?’
จีราดแหกคุกมืดของไลแคนโทรปออกมาก่อความวุ่นวาย หลังจากที่อินกองกำจัดนักโทษตนนี้อย่างสมบูรณ์เขาได้แจ้งข้อความไปยังทางเผ่าไลแคนโทรป ถ้าเรื่องที่ราชินีเอเลนต้องการพูดคุยกับเขาเป็นเรื่องจีราด อินกองก็จะไม่เหลืออะไรให้ต้องกังวล
หลังจากเอเลนหายไปออกไปจากบริเวณ ฟลอร่าก็เข้ามาต้อมรับอย่างจริงจังเช่นเคย
“เกล้ากระหม่อมขอน้อมรับเสด็จฝ่าพระบาทกลับคฤหาสน์เพคะ”
“เรายินดีที่ได้พบเธออีกครั้ง มีเหตุอะไรในระหว่างที่เราจากไปหรือไม่?”
“ตัวคฤหาสน์สงบร่มเย็นเพคะ”
คำตอบที่สั้นและรวดเร็ว
“มีเรื่องเร่งด่วนอะไรหรือไม่?”
“มีพระราชสาสน์ส่งมาจากทางพระราชวังเพคะ”
“หืม รอบนี้แแกจะสร้างเรื่องอะไรอีกละ?”
คารัคพูดถามขึ้นอย่างจริงจังราวกับเป็นเรื่องปกติ
“เดี๋ยวดิ ทำไมถามอะไรแบบนั้น? แล้วนี่ นายควรจะพูดอะไรแบบนั้นออกมาหรือไง?”
“ข้ายอมแพ้แล้ว องค์ชายเองก็ควรยอมแพ้ต่อโชคชะตาได้แล้วเหมือนกัน พอคิดแบบนี้แล้วจิตใจสงบขึ้นเยอะ”
คารัคกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งราวกับบรรลุดวงตาเห็นธรรม
อินกองถอนหายใจให้ท่าทีของเจ้าออร์ค บ่งบอกว่าเขายังคงดิ้นรนขัดขืนและคาดหวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เอาเป็นว่ากลับคฤหาสน์ก่อนเถอะ”
&
“อึก ทำไมอมิตาภาถึงรู้สึกเหมือนกับถึงบ้านละฮะ? นี่มันไม่จริงใช่มั้ยฮะ”
ทันทีที่คณะอินกองก้าวเข้าสู้ตัวเรือน อมิตาภาก็เลิกเสเสร้งทำตัวเป็นสัตว์เลี้ยงพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลางสังหรณ์ของเจ้าแรคคูนบ่งบอกว่ามันอาจจะต้องอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต
เดเลียเห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะสม ก่อนย่อตัวลงในระดับสายตาอมิตาภาแล้วก้มศีรษะ
“อมิตาภา ข้ารอดชีวิตมาได้ด้วยอุปกรณ์วิเศษจากท่าน เป็นบุญคุณยิ่งนัก”
ราวกับเป็นสัญญาณเริ่มต้นพิธีกรรม ซิลวานก็เข่าย่อเข้าลงข้างเดเลีย ตามมาด้วยเฟลิซี
“เราก็เช่นกัน ดาบที่ท่านสร้างขึ้นทำให้เรารอดชีวิตกลับมาได้ในครั้งนี้”
“ฉันขอบคุณมาก ทั้งซิลวานกับเดเลียต่างได้เธอช่วยชีวิตเอาไว้”
ผิดกับทั้งสองที่ย่อเขาคำนับ เฟลิซีเดินคลานเข่าเข้าไปจับอมิตาภามากอดไว้แน่น ก่อนอมิตาภาจะตอบมาอย่างเสียมิได้
“ฮะ ช่วยชีวิตอะไรฮะ? อมิตาภาแค่ทำของตามรายการฮะ ก็แค่อุปกร์ที่ถูกสร้างตามคำขอฮะ เลิกทำตัวแปลกได้แล้วฮะ มันน่าสะอิดสะเอียนมากฮะ”
ถึงกระนั้นหางของเจ้าแรคคูนกลับวาดส่ายไปมากลางอากาศอย่างอารมณ์ดี
ดาฟเน่มองอมิตาภาที่แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอย่างอบอุ่น ไม่ว่าจะเพราะคำชมหรือความรู้สึกภาคภูมิ ที่ชัดเจนก็คืออมิตาภาชอบใจมาก
“ไหนๆก็แล้ว นี่เป็นโอกาสดีที่จะแจกจ่ายอุปกร์เพิ่มฮะ”
“โฮ่ นี่แกสร้างของวิเศษเพิ่มเสร็จแล้ว?”
คารัคพูดขึ้นด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ตั้งเกือบ 2 สัปดาห์แล้วนะฮะ ถ้าไม่มีอะไรเสร็จเลยก็เสียชื่อหมดนะฮะ”
ตั้งแต่ที่อมิตาภาโดนลักพาตัวเข้าคณะเดินทางของอินกองเวลาก็ล่วงเลยมาได้สองสัปดาห์ และช่วงเวลาความสงบเช่นนี้หาได้ยากจากการที่อยู่ใกล้ชิดกับเจ้าชายฉัตร ยิ่งศัตรูล่าสุดยังเป็นหนึ่งในสี่ฑูตวันโลกาวินาศอีกด้วย
“นี่เป็นชุดเกราะสำหรับเจ้าหญิงสุดยอดฮะ”
ดาฟเน่หยิบกล่องออกมาเปิดหยิบชุดเกราะด้านใน การเป็นผู้ดูแลอมิตาภาอย่างใกล้ชิดเรียกได้ว่านางเปรียบเสมือนผู้ช่วยส่วนตัวของนักมายากล
“ว้าวววว สุดยอดด!”
เจ้าหญิงสุดยอดร้องอุทานอย่างตื้นตันหลังจากได้รับของวิเศษ เกราะเบาที่ถักทอด้วยโซ่ประดับเกล็ดมังกรสีดำ ตรงกลางของชุดเกราะมีการกลับตะเข็บทำเป็นลวดลายรูปหัวหมาป่า
อมิตาภากระโดดลงใช้หางตบพื้นแล้วเริ่มอธิบายสรรพคุณ
“เกราะนี่ลงอาคมไว้หลายอย่างฮะ มีทั้งเพิ่มพละกำลัง และช่วยสนับสนุนเล็กน้อยฮะ อย่างเช่นถ้าเจ้าหญิงสุดยอดเรียกใช้ลมปราณนะฮะ เกราะนี้จะขยับข้อต่อเพื่อให้แนบชิดเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายฮะ”
เกราะที่สามารถปรับเปลี่ยนขนาดตามรูปร่างผู้สวมใส่เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญยิ่งสำหรับเคทลิน เท่าที่อินกองจำได้จากในเกมบทกวีแห่งผู้กล้า เคทลินจากในเกมสูงกว่าเคทลินที่เขาเห็นปัจจุบันราวหนึ่งฝ่ามือ ยังไม่รวมเมื่อนางเข้าสู่ร่างสัตว์สมิง
“การถักทอของเกราะนี้ยังเป็นลวดลายที่สร้างเพื่อป้องการการโจมตีระยะไกลด้วยฮะ แต่ถึงยังไงถ้าหลบได้ก็หลบเถอะฮะ”
“ขอบคุณมากอมิตาภา นี่มันสุดยอดที่สุดเลย!”
เคทลินกระโดดเข้าไปกอดเจ้าแรคคูนตัวน้อยอย่างเต็มกำลัง อมิตาภาทำเพียงกระพริบตาบ่งบอกถึงพละกำลังที่แอบซ่อนไว้ในร่างกายที่ดูบอบบาง
“ถัดไปก็ขององค์ชายฮะ”
อมิตาภาส่งสายตาบ่งบอกให้ดาฟเน่หยิบกล่องส่งให้อินกอง อินกองเปิดมันออกพบกับเกราะขาทำจากเกล็ดมังกร
“กรีฟ?”
อินกองเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ นั่นเพราะเกราะขาที่อินกองสวมใส่อยู่ก็ทำจากเกล็ดมังกรเช่นกัน
อมิตาภามองด้วยสายตาชิงชัง
“วัตถุดิบอาจจะระดับเดียวกันแต่ฝีมือช่างต่างกันนะฮะ กรีฟนี่ช่วยองค์ชายใช้เพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ได้จากแสงสุดท้ายได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นฮะ แถมไอมังกรก็ช่วยกระตุ้นพลังมังกรในตัวองค์ชายมากขึ้นด้วยฮะ”
ยิ่งฟังอินกองยิ่งเห็นด้วย เกราะขาที่ช่วยให้สามารถใช้ทักษะเกี่ยวกับเท้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพียงแค่ข้อนี้ก็ทำให้เกราะขาชิ้นนี้มีมูลค่ามากกว่าเกราะขาที่เขาสวมใส่อยู่มากโข
อินกองนำเกราะขาเข้าช่องเก็บของอย่างยินดี ถึงตาคารัคชวนแรคคูนตัวน้อยพูดคุย
“แล้วของข้าละเจ้าแรคคูน?”
“หึ เกราะของแกนะหรอ ไว้ทำให้ชิ้นท้ายสุดแล้วกัน ไม่มีเงื่อนไขอะไรทั้งนั้น”
คารัคเศร้าสร้อยกับคำตอบที่ได้รับ ท่าทางของมันยิ่งทำให้อมิตาภาชอบใจยิ่งนัก
“องค์ชายส่งผ้าคลุมมาเลยฮะ ยังไงองค์ชายคงไม่ได้ใช้มันในระหว่างอยู่ที่วังอยู่แล้วฮะ”
“ฮูกคุ้มภัย?”
“ก็แค่จะขอดูนิดหน่อยฮะ”
อมิตาภาอาจพูดอย่างไม่แยแสแต่มันเงื้อมมือมาอย่างรอไม่ไหว ความกระตือรือร้นในการปรับแต่งของวิเศษมังกรบรรพกาลแตกต่างจากการจดรายการคำสั่งอย่างชัดเจน
“งั้นอมิตาภาขอตัวนะฮะ”
อมิตาภาใช้พลังจิตยกผ้าคลุมฮูกคุ้มภัยลอยกลางอากาศแล้วเดินเข้าห้องวิจัย ดาฟเน่หันมาโค้งคำนับให้กับอินกองก่อนเดินตามเจ้าแรคคูน
เมื่อเสร็จธุระกับอมิตาภา อินกองก็หันไปถามฟลอร่า
“ฟลอร่า การประชุดสภาครั้งถัดไปจะจัดขึ้นในวันไหน?”
“ยามรุ่งสางในวันรุ่งขึ้นเพคะ”
“กระชั้นชิดอีกแล้วนะองค์ชาย”
อย่างที่เจ้าออร์คกล่าว การประชุดสภาจัดขึ้นแทบจะในทันทีที่อินกองกลับมายังวังหลวง ราวกับว่ามีการจัดประชุมอยู่บ่อยครั้ง
“แต่เวลาก็ผ่านมาสักพักหลังจากรายงานที่พวกเราแจ้งมาล่าสุด ฉันคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนะ”
เฟลิซีตอบอย่างสบายใจก่อนหยุดชะงัก
“แต่ปัญหาก็คือแม่ของเคท บางทีเรื่องจีราดอาจยังค้างคาอยู่?”
“ไม่ใช่ว่านั่นน่าจะเป็นเหตุผลเดียวหรือครับ?”
นั่นเพราะราชินีเอเลนมาเยือนวังจอมมารน้อยครั้งได้ อินกองจึงคิดถึงสาเหตุอื่นที่ทำให้นางมาในครั้งนี้ไม่ออก
เฟลิซีชำเลืองมองไปด้านเคทลินก่อนกล่าวอย่างระมัดระวัง
“นาง… คงแอบโกรธอยู่สินะ? อย่างไรเสียก็ตาม จีราดก็เป็นพ… ”
ข้อสันนิษฐานของเฟลิซีทำให้เคทลินวิตกเพราะนางไม่สามารถโต้แย้งได้ ทั้งเคทลินกับเฟลิซีต่างให้ความสำคัญกับพี่ชายของทั้งคู่ เมื่อจินตนาการว่าหากเป็นซิลาวานหรือคริสต์ที่เสียชีวิต ทั้งสองจะรู้สึกเช่นไร? ถึงแม้จะตายจากการกระทำผิด แต่ทั้งเคทลินกับเฟลิซีย่อมชิงชังผู้ที่สังหารพี่ชายของพวกนาง
ทว่าอินกองส่ายหน้า
“ผมคิดว่าน่าจะมีเหตุผลอื่น”
เมื่ออ้างอิงจากในเกม อินกองสังหารจีราดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนในหลากหลายสถานการณ์ ยิ่งไปกว่านั้นทางฝ่ายไลแคนโทรปต่างถือว่าจีราดได้ตายไปตั้งแต่ครั้งแรกที่อินกองสู้กับเขา ในครานั้นบรรดานายทหารต่างแสดงความขอบคุณ มันย่อมผิดแปลกหากฝ่ายนั้นจะมาโกรธแค้นอินกองเอาตอนนี้
“ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”
เฟลิซีกล่าวพลางลูบหัวเคทลิน
“ฉันขอโทษที่ต้องขอตัวทั้งที่เพิ่งมาถึงคฤหาสน์ แต่ฉันยังมีเรื่องที่ต้องสะสางร่วมกับซิลวานอยู่ แล้วไหนจะต้องเตรียมตัวสำหรับเข้าประชุมสภาอีก เคทสนใจมาด้วยกันมั้น? จะได้เตรียมตัวไปพร้อมกันเลย”
“เข้าใจแล้วคะออนนี่”
การประชุมในครั้งนี้ไม่มีคริสต์เข้าร่วมด้วย นั่นเป็นโอกาสให้เคทลินได้ลองอะไรหลายอย่าง เช่นเดียวกับเมื่อตอนที่นางเดินสำรวจโถงประมูลที่เมืองทาก้าร์
“ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะฉัตร ดูแลตัวเองดีๆละ”
บรรดาสมาชิกคณะเดินทางต่างแยกย้ายเข้าที่พักของตน ทำให้คฤหาสน์ของอินกองเข้าสู่ความเงียบ
ฟลอร่าเตรียมทุกอย่างเพื่ออำนวยความสะดวกไว้เรียบร้อย ทำให้อินกองมีเวลาพักผ่อนอย่างเต็มที รวมถึงเวลาที่ใช้เพื่อง้องอนกรีนวินด์
‘เชอะ ข้าไม่ใช้ผู้หญิงใจง่ายหรอกนะ ถ้าคิดว่าจะชมนิดๆหน่อยๆ แล้วมาลูบหัวละก็ ไม่มีทาง’
นั่นอาจเป็นคำพูดของกรีนวินด์แต่ที่อินกองรับรู้คืออีกอย่าง หากกรีนวินด์มีหางเช่นอมิตาภา นางคงวาดหางส่ายไปมาในอากาศอย่างอารมณ์ดีแน่นอน
&
เช้าวันรุ่งขึ้น บรรดาผู้เข้าร่วมประชุมต่างมารวมตัวกันบริเวณห้องรับรอง
ในครั้งนี้เฟลิซีแต่งกายในชุดขาวที่ปกคลุมร่างกายอย่างมิดชิดผิดไปจากในทุกครั้ง
เคทลินมาในชุดเปลือยไหล่สีชมพู มีริบบิ้นขนาดใหญ่คาดเอวผูกอยู่ด้านหลัง ให้ความรู้สึกราวกับตุ๊กตา
ซิลวานแต่งกายในชุดสูทสีดำเหมือนครั้งที่แล้ว เช่นเดียวกับอินกองและคารัค
คารัคขยับตัวกระสับกระส่ายกล่าวพึมพำ
“ทำไมข้าต้องรู้สึกไม่สบายใจแบบนี้ด้วย หรือจะเป็นเพราะชุดนี่?”
“นั่นก็อาจจะใช่”
อินกองเห็นด้วยกับเจ้าออร์ค เขามาอยู่ในร่างของเจ้าชายฉัตรได้ร่วมครึ่งปีแต่ยังรู้สึกเกร็งในทุกครั้งที่มีผู้อื่นมาแต่งตัว และยิ่งสำหรับในสถานที่สำคัญอย่างห้องประชุมสภาท่ามกลางสายตาของจอมมาร
‘ขอเถอะวะ อย่าให้มีอะไรเกิดขึ้นเลยครั้งนี้’
เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นในการประชุมสภาทุกครั้งที่ผ่านมา
เฟลิซีเห็นท่าทางของอินกองแล้วรับรู้ได้ นางหัวเราะพูดคุยเพื่อช่วยคลายกังวล
“ไม่ต้องกังวลหรอกฉัตร พวกเราก็พอรู้จักราชินีเอเลนอยู่ไม่ใช่หรือ? ไม่น่าจะมีเรื่องอะไรให้ประหลาดใจหรอก”
“ลีซซี่พูดถูกแล้ว ไม่มีอะไรหรอก”
ซิลวานกล่าวเห็นด้วย แต่การที่ทุกคนช่วยฟันธงเช่นนี้ยิ่งทำให้อินกองเครียด
จังหวะนั้นเองเป็นช่วงเวลาที่เหล่าบริวารต่างมาเชื่อเชิญให้พวกเขาเข้าห้องประชุม อินกองเข้าห้องประชุมท้ายที่สุดเช่นเคย
อินกองสังเกตเห็นความผิดปกติในทันทีที่เข้าย่างก้าวเข้ามา มีบางสิ่งลอยอยู่กลางห้องโถง
บางทีอาจเป็นธรรมเนียมปฏิบัติเวลาที่ราชินีเอเลนเข้าร่วมการประชุม?
คำตอบถูกเพียงกึ่งหนึ่ง
อินกองข่มเสียงหัวเราะเอาไว้ให้กับสิ่งที่เขาเห็นเลยถัดออกไป บนชั้นสูงสุดของอัฒจันทร์ที่จอมมารมิตรนั่งอยู่ ราชินีเอเลนนั่งถัดมาทางด้ายซ้าย และมีสตรีอีกหนึ่งนางนั่งถัดจากจอมมารในด้านขวา สตรีผู้นี้มีรูปโฉนละม้ายคล้ายคลึงเฟลิซีราวกับพี่สาว
ราชินีลำดับที่สามซิลเวีย ดูมเบลด พระมารดาของเฟลิซี ผู้นำของเผ่าเอลฟ์รัตติกาล
#ไม่ต้องมีคำบรรยายใดใด สักคำให้ลึกซึ้ง… อู้ไปนานครับ