“เมื่อกี้นี้นายทำอะไรน่ะ? ” เซี่ยเจิงถามออกไปเสียงเบา
“ไม่ได้ทำอะไรเลย” ชวีเสี่ยวปอตอบออกไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งสองคนจะยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังตกเป็นที่ซุบซิบนินทาของคนในชั้นเรียน ชวีเสี่ยวปอที่ไม่ได้มีมารยาทเหมือนกับเซี่ยเจิง เมื่อคนที่อยู่แถวหน้าสุดมองมายังเขา ชวีเสี่ยวปอจึงได้เงยหน้าขึ้นแล้วก็พูดออกไปในแบบของเขาว่า : “ถ้ายังไม่เลิกมอง เดี๋ยวจะควักลูกตาออกมาให้ดูเลย”
คนที่ชอบซุบซิบนินทาเป็นงานอดิเรกที่นั่งอยู่แถวหน้านั้นจึงหันหน้ากลับไปทันที
“ต้องปฏิบัติกับเพื่อนอย่างอบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิสิถึงจะถูก” เซี่ยเจิงถอนหายใจออกมาเบาๆ หนึ่งครั้ง แล้วจึงหยิบหนังสือภาษาอังกฤษออกมาพลิกดูไปสองหน้า
“ต้องรวมถึงนายด้วยไหม? ” ชวีเสี่ยวปอถามกลับไปอย่างฉุนเฉียว แต่ไม่นานเขาก็ตื่นตกใจกับลายมือที่เขียนอยู่บนหนังสืออย่างสะอาดเรียบร้อย และอดไม่ได้ที่จะพูดออกไปว่า : “นี่ฉันเจอเด็กเรียนตัวเป็นๆ เลยเหรอเนี่ย? ”
“ทำไม” เซี่ยเจิงใช้นิ้วหมุนปากกาอย่างคล่องแคล่ว “อยากจะดูฉันไว้เป็นแบบอย่างเหรอ? ”
ทั้งสองคนต่อปากต่อคำกันไปมา ตั้งแต่เริ่มจนจบก็ยังคงท่าที “การทะเลาะกันอยู่ตลอดเวลา” จนกระทั่งเสียงกริ่งเข้าเรียนดังขึ้น ทั้งคู่จึงต่างคนต่างหยุดพูดไปโดยปริยาย
แต่พอเมื่อคุณครูภาษาอังกฤษเดินเข้ามา ชวีเสี่ยวปอที่เมื่อครู่ยังดูเหี่ยวเฉาอยู่ก็ใช้เสียงที่ไม่ดังมากพูดออกมา และเสียงของคำว่า “บ้าแล้ว” ที่ดังพอที่จะให้เพื่อนข้างๆ ได้ยินก็ได้ดึงความสนใจของเซี่ยเจิงไปในทันที
ครูวงดิกแอนด์คาวบอยงั้นเหรอ? ทำไมเป็นเขา?
หลังจากที่ครูวงดิกแอนด์คาวบอยมองไปรอบๆ ชั้นเรียนแล้วพบกับอะไรบางอย่าง จึงพูดประโยคที่ว่า “มีแต่หน้าคุ้นๆ กันทั้งนั้น” ในการเริ่มต้นคาบเรียนแรกของวันนี้
เซี่ยเจิงก็พอจะเข้าใจขึ้นมาแล้วล่ะ
การเรียนนี่เป็นขั้นตอนที่จืดชืดเสียจริง แม้แต่ตัวเขาเองยังรับประกันไม่ได้เลยว่าจะสามารถจดจ่อได้ทุกวิชาหรือเปล่า ดังเช่นในตอนนี้เซี่ยเจิงมักจะกวาดสายตาไปมองชวีเสี่ยวปอที่อยู่ข้างๆ ตลอด เป็นเพราะว่าเขาไม่เคยเห็นใครที่จืดชืดไม่มีรสชาติเท่าชวีเสี่ยวปอมาก่อน
เวลาสี่สิบห้านาทีถือว่าเป็นการจัดสรรเวลาได้สมเหตุสมผล ซึ่งก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการเรียน
แคะเล็บไปสิบนาที ห้านาทีเหม่อลอย แล้วก็หยิบมือถือออกมาเลื่อนดูโมเมนต์ของเพื่อนอีกห้านาที ห้านาทีถัดมาในที่สุดก็หาหนังสือภาษาอังกฤษของตัวเองเจอ แต่อีกสิบนาทีถัดมาก็ยังหาสมุดแบบฝึกหัดไม่เจอ และอีกสิบนาทีสุดท้ายคุณครูก็ให้ท่องศัพท์ด้วยตัวเอง หลังจากนั้นชวีเสี่ยวปอก็ฟุบศีรษะลงไปกับโต๊ะและกำลังจะงีบหลับ
“เห้ย” เซี่ยเจิงเคาะลงไปที่โต๊ะ
ชวีเสี่ยวปอไม่ได้พูดตอบกลับมา แต่เขายังคงทำท่าทางเอาศีรษะฟุบลงไปที่แขนแล้วค่อยๆ ขยับไปด้านข้าง
“ถ้านายยังทำแบบนี้อยู่อีก จะวาดเส้นแบ่งเขตเลยไหมล่ะ” เซี่ยเจิงพูดเร่งออกไปว่า “ลุกขึ้น เร็วๆ”
“นายสิติ๊งต๊อง” ชวีเสี่ยวปอพูดออกไปเสียงอู้อี้ และเขาก็ไม่ได้สนใจด้วยว่าเซี่ยเจิงพูดอะไร ยังไงซะก็เป็นเพียงลมปากธรรมดา “อย่ามายุ่งกับฉัน ให้ฉันอยู่เงียบๆ ค่อยๆ ทำความเข้าใจกับเรื่องที่น่าโศกเศร้าของ…”
“ชวีเสี่ยวปอลุกขึ้นยืนเดี๋ยวนี้ !”
และแน่นอนว่าชวีเสี่ยวปอไม่อาจที่จะทำความเข้าใจได้อีกต่อไป หากใครได้ยินเสียงตะโกนอันโกรธเกรี้ยวของครูวงดิกแอนด์คาวบอยไปทีหนึ่งคงต้องตกใจจนน้ำย่อยไม่ทำงานเลยทีเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยเมื่อน้ำเสียงประกอบกับใบหน้าอันเกรี้ยวกราดที่อยู่ตรงหน้านี้ เพียงแต่เขาไม่คิดว่าวงจรโชคชะตาของเขาจะมาถึงเร็วเช่นนี้ สิ่งที่ชวีเสี่ยวปอคิดตอนที่เขายืนขึ้นมาก็คือ ทั้งหมดต้องเป็นเพราะครูวงดิกแอนด์คาวบอยสามารถบังคับควบคุมเขาได้แน่ๆ
“นอน! เมื่อกี้ตอนเรียนก็นอน! ไม่เข้าท่าเลยจริงๆ! เธอดูตัวเองสิว่าเหมือนคนอยู่มอห้าไหม? ไม่รู้สึกเร่งรีบหรือรู้สึกกังวลในสิ่งที่จะเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย ครูจะบอกอะไรพวกเธอให้ แค่พริบตาเดียวก็ขึ้นมอหกแล้ว เธอคิดว่าเธอยังมีเวลาขี้เกียจได้สักหน่อย คนอื่นเขาก็เหนือกว่าเธอขึ้นไปในทุกๆ นาที! อยากจะนอนก็กลับบ้านไปซะ! ไปนอนให้พอ!”
ชวีเสี่ยวปอก้มศีรษะลงรับการอบรมอยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดครูวงดิกแอนด์คาวบอยก็เมตตาปล่อยเขาไปหลังจากนั้นก็เดินออกจากห้องเรียนไป และในวินาทีต่อมาชวีเสี่ยวปอก็ดึงเซี่ยเจิงที่กำลังจะไปห้องน้ำไว้อย่างไม่ลังเล แล้วกัดฟันพูดออกไปว่า “นายจงใจ”
“นาย…” ชวีเสี่ยวปอคิดอยู่ครู่หนึ่งราวกับที่ภาพที่พูดไปเมื่อครู่เป็นความจริง เขาพูดว่านายมาตั้งนานแล้วแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อออกมา ทำได้เพียงปล่อยมืออย่างกระอักกระอ่วน
“ปอเอ๋อร์” ซือจวิ้นเรียกเขา เหมือนมีอะไรจะพูดด้วย
ชวีเสี่ยวปอทำเสียงฮึดฮัดออกมา แล้วจึงเดินชนไหล่กับซือจวิ้นออกจากห้องไป
“นายต่อยฉันสองทีได้ไหม? ” เมื่อชวีเสี่ยวปอเดินออกมาแล้วก็ใช้ทั้งตัวพิงเข้ากับราวของระเบียง “เร็วเข้า ฉันคิดว่าฉันยังค่อยไม่ตื่นดีสักเท่าไหร่”
“เมื่อกี้ยังไม่ได้โดนครูภาษาอังกฤษด่ากระตุ้นสมองเหรอ…ช่างเถอะ” ซือจวิ้นตบเข้าที่บ่าของเขา เป็นการปลอบใจโดยไม่พูดแต่ก็เข้าใจกัน
“เวรกรรมจริงๆ ” ชวีเสี่ยวปอลูบไปที่หัวสกินเฮดของเขาสองครั้ง เหมือนจะพยายามทำให้ตัวเองสมองปลอดโปร่งขึ้นหน่อย แต่ก็เปล่าประโยชน์
“ก็แค่เพื่อนร่วมโต๊ะ” ซือจวิ้นดีดนิ้ว ราวกับพยายามปลอบใจชวีเสี่ยวปอ “นายนั่นทำอะไรนายไม่ได้หรอก”
“นายยืนพูดแบบนี้ไม่ปวดเอวเหรอ” ชวีเสี่ยวปอส่ายหน้า
เขาไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกเช่นนี้ให้ซือจวิ้นฟังได้อย่างไร แต่สมองของซือจวิ้นที่ขนาดน่าจะพอๆ กับลูกวอลนัทก็คงจะไม่เข้าใจหรอก เซี่ยเจิงคนนี้เก่งในเรื่อง “สี่ตำลึงปาดพันชั่ง” [1] สำหรับในการปะทะกันระหว่างชวีเสี่ยวปอกับเซี่ยเจิงนั้น ตัวเขาเองก็ต้องยอมถอยให้ด้วยความพ่ายแพ้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงก่อนหน้านี้ที่มีเรื่องของเซี่ยเจิงด้วย ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าตัวเองขายหน้ามามากพอแล้ว ถ้าให้พูดตามตรงในตอนที่เขาอยู่ต่อหน้าเซี่ยเจิงเขาก็รู้สึกว่าเซี่ยเจิงไม่ใช่คู่แข่งที่เหมาะสม ทว่าเขามันเป็นคนปากแข็ง ไม่อยากที่จะยอมรับมัน
พอคิดไปคิดมา ชวีเสี่ยวปอก็คิดหาวิธีที่เหมาะสมมากขึ้นมาได้วิธีหนึ่ง
โดดเรียน
เพราะว่าตาไม่เห็น ใจก็จะไม่รำคาญ
ทีแรกคิดว่าจะลากซือจวิ้นมาด้วย แต่ว่าตอนบ่ายเขามีซ้อมบาสเกตบอล ซือจวิ้นเขากล้าโดดเรียนแต่ไม่กล้าโดดซ้อม ถ้าจะให้พูดแบบที่เขาเคยพูดไว้ก็คือ “โค้ชสามารถหักแขนฉันลงมาถึงสะโพกได้เลยนะ” หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอสบประมาทเขาเสร็จแล้ว ก็เดินไปเพียงลำพัง
บริเวณใกล้ๆ กับตรงประตูหลังของโรงเรียนมีห้องที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้อยู่ห้องหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ถูกทำลาย ที่นี่เป็นจุดที่เหมาะกับการปีนกำแพงเป็นที่สุด ด้วยความสูงขนาดนี้ของชวีเสี่ยวปอ ไม่ต้องแม้แต่จะต้องเตรียมท่าทางเลยด้วยซ้ำ แค่กระโดดขึ้นไปก็สามารถไปอยู่ข้างบนได้อย่างง่ายดาย
และยังคงเป็นเหมือนทุกที หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอออกมาได้แล้วก็เดินตรงไปยังร้านอินเทอร์เน็ต ร้านอินเทอร์เน็ตเถื่อนที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ โรงเรียนแบบนี้ตอนกลางคืนจะมีคนใช้บริการค่อนข้างเยอะ ซึ่งในตอนนี้คอมพิวเตอร์นั้นว่างเป็นแถว แต่ก็คงเป็นเพราะข้อเสียของร้านอินเทอร์เน็ตแบบนี้ด้วย เพราะต่อให้ไม่มีคนก็จะรู้สึกว่ามีควันบุหรี่ลอยคลุ้งไปทั่วห้อง ชวีเสี่ยวปอซื้อโค้กจากเคาน์เตอร์มาขวดหนึ่ง แล้วเดินเข้าไปเปิดคอมพิวเตอร์ที่ตั้งไว้มุมหนึ่งอย่างคุ้นเคย หลังจากนั้นก็รีบคลิกไปที่ไอคอนเกม ชวีเสี่ยวปอทิ้งเรื่องที่รำคาญใจไว้ชั่วขณะ
ถ้าหากว่าไม่ใช่เพราะท้องร้องอย่างน่าเกลียดแล้วล่ะก็ ชวีเสี่ยวปอก็ไม่ได้สังเกตเห็นว่านี่มันเป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว เขานั่งแช่อยู่ที่ร้านอินเทอร์เน็ตหนึ่งวันเต็ม นอกจากโค้กที่ดื่มไปแล้วก็ไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องอีกเลย ถึงแม้เกมจะสนุกแต่ก็ห้ามไม่ให้กินข้าวไม่ได้ ชวีเสี่ยวปอขยี้ตาที่ทั้งแดงและบวม แล้วจึงลุกขึ้นพาร่างกายที่สมองเต็มไปด้วยกลิ่นของบุหรี่ออกจากร้านไป
ทั้งเดินไปด้วยล้วงมือถือไปด้วยเตรียมที่จะส่งข้อความถามซือจวิ้นว่าต้องซื้อข้าวไปเผื่อเขาด้วยไหม
“จะกินไก่อบหรือราเมงเนื้อ? ”
ข้อความยังไม่ทันได้ส่งออกไป ในขณะที่เดินออกมาจนถึงหน้าร้านอินเทอร์เน็ตเขาก็ชนเข้ากับใครบางคนเข้าอย่างแรง พอชวีเสี่ยวปอเงยหน้าขึ้นมามอง
เห้ย บังเอิญจริงๆ
ต้วนเหล่ยกับพวกของเขาอีกสี่ห้าคน ยืนปิดตรงประตูอย่างแน่นหนา เห็นได้ชัดว่าชวีเสี่ยวปอจะไม่ชนเขาก็ไม่ได้ เพราะเมื่อพวกเขาเห็นชวีเสี่ยวปอเดินออกมาก็ยืนดักรอไว้อยู่แล้ว
“นายตาบอดหรือไง? ” คนที่พูดก็คือคนที่ชวีเสี่ยวปอชนเข้าเมื่อครู่นี้ แต่ทำไมดูคุ้นๆ ชวีเสี่ยวปอเลยหลับตาคิดอยู่พักหนึ่ง ถึงนึกออกว่าเขาคือนายผมเหลืองวันนั้นไม่ใช่เหรอ? ไม่ได้เจอกันแค่พักเดียว ผมเหลืองก็เปลี่ยนสีแล้วเหรอ “เวลาเดินไม่มองคนหรือไง? ”
“ฉันก็มองคนไง” ชวีเสี่ยวปอเก็บมือถือเข้าไปในกระเป๋า “แต่ตรงนี้มันมืดไปหน่อย เลยมองไม่เห็นหมาขาสั้น”
………………………..
เชิงอรรถ
[1] สี่ตำลึงปาดพันชั่ง เป็นคำสุภาษิตจีน มีความหมายว่าใช้ประโยชน์จากแรงที่น้อยกว่า มาเอาชนะแรงที่มากกว่า