หลังจากเซี่ยเจิงอาบน้ำเสร็จ เขาก็เช็ดผมอย่างลวกๆ ไปสองทีแล้วจึงล้มตัวลงนอนบนเตียง
สภาพจิตใจของแม่วันนี้ไม่ค่อยแย่สักเท่าไหร่ อารมณ์ก็ดีขึ้นมากด้วย เมื่อครู่ยังเล่าให้เซี่ยเจิงฟังอย่างละเอียดด้วยว่าวันนี้ไปทำอะไรกับป้าหลี่มาบ้าง ความจริงแล้วสิ่งที่แม่ทำได้ก็แทบจะเหมือนเดิมทุกวัน เล่าไปเล่ามาก็มีแต่เรื่องซ้ำๆ นั้นไม่กี่เรื่อง จึงทำให้เซี่ยเจิงสามารถท่องออกมาได้โดยไม่ขาดไปสักตัวอักษรเดียว แต่เขาก็ยังคงชอบฟังมันมากอยู่ดี
ขอเพียงแค่แม่ยอมเล่าออกมา เขาก็พร้อมที่จะฟังเสมอ
เซี่ยเจิงตัดสินใจที่จะทำกิจกรรมก่อนนอนที่จะช่วยให้เขานอนหลับ
แต่หลังจากที่เล่นเกมจนแพ้กับเพื่อนร่วมทีมที่ไม่เอาไหนไปหนึ่งเกม เขาก็สามารถยืนยันได้เลยว่าเกมไม่เพียงแต่จะไม่สามารถช่วยให้นอนหลับได้ แถมเพื่อนร่วมที่ไม่เอาไหนยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เขานอนหลับได้ยากกว่าเดิมอีก
เซี่ยเจิงถอนหายใจออกมาหนึ่งที หลังจากนั้นก็เปิดวีแชทขึ้นมา
ที่ชื่อวีแชทของเขาเป็นเลขมั่วๆ ชุดหนึ่งและมีรูปโปรไฟล์เป็นสีดำ เป็นเพราะว่าโดยปกติแล้วเขาไม่ค่อยได้เล่น รายชื่อติดต่อก็มีเพียงแค่สามสิบกว่าคน ดังนั้นคนที่เขาคุยด้วยในหน้าห้องแชทคนแรกก็คือชวีเสี่ยวปอ
และแน่นอนว่าบันทึกการสนทนาก็ยังคงค้างอยู่ที่บทสนทนาที่คุยกับเขาไปเมื่อครั้งที่แล้ว
รูปโปรไฟล์ของชวีเสี่ยวปอเป็นรูปเด็กคนหนึ่ง ในตอนที่เซี่ยเจิงยังไม่เคยเปิดเข้าไปดู เขาคิดว่าคงน่าจะเป็นเพียงรูปหน้าเด็กแสดงสีหน้าที่ดังในอินเทอร์เน็ตอะไรประมาณนั้น แต่พอเมื่อกดเข้าไปดูถึงพบว่า
นี่มันเป็นรูปชวีเสี่ยวปอตอนเด็กไม่ใช่หรอกเหรอ?
ถึงแม้ว่าตัวจะหดเด็กลงไปหลายเท่า แต่พอมองรูปร่างหน้าตาไปแวบแรกก็รู้เลยว่าเป็นเขา
เป็นรูปที่ถ่ายในฤดูหนาว ดังนั้นทั้งตัวของเด็กน้อยชวีเสี่ยวปอจึงถูกห่อเอาไว้อย่างมิดชิด และเขาก็คิดว่าน่าจะเป็นเพราะเสื้อที่ใส่มันหนาเกิดไป แขนทั้งสองข้างของเขาเลยไม่สามารถวางขนาบข้างลำตัวลงไปได้ จึงทำให้ต้องกางออกไปด้านข้างอย่างช่วยไม่ได้ และเมื่อรวมเข้ากับท้องกลมๆ จึงทำให้ดูเหมือนกับแพนกวินน้อยที่หนาวจนหน้าแดงตัวหนึ่ง
เซี่ยเจิงกดขยายรูปเข้าออกอยู่หลายครั้ง แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมชวีเสี่ยวปอถึงได้เลือกรูปนี้มาตั้งเป็นรูปโปรไฟล์ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง
“นายส่งไรมา? ” ชวีเสี่ยวปอไม่อยากจะเสียแรงพิมพ์ จึงส่งข้อความเสียงไป ฟังก์ชั่นการยกเลิกข้อความถูกออกแบบมาไว้อย่างดีมาก ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาอยากจะทำให้คนที่ขี้สงสัยถามซักไซ่ออกไปในที่สุด
เซี่ยเจิงนั่งบนพื้นอย่างไม่มีแรงมาเป็นเวลานาน
เขาไม่กล้าที่จะบอกไปว่า เป็นเพราะตัวเองหัวเราะจนลืมตัวเลยตกลงมาจากเตียง และมีมที่ส่งไปให้เขานั้นก็เกิดจากในตอนที่คว้ามือถือแล้วมือลั่นกดส่งไป เขาไม่ได้ทันดูเลยสักนิดว่ามันคืออะไร จึงรีบกดยกเลิกข้อความไปก่อนเพื่อปกปิดความอับอาย
“ไม่มีอะไร ส่งผิดน่ะ” รู้สึกเหมือนกับทำเรื่องไม่ดีแล้วถูกเปิดเผยต่อหน้าผู้คนอย่างไรอย่างนั้นเลย แต่เซี่ยเจิงก็ยังคงนั่งอยู่บนพื้นและตอบกลับไปอย่างสงบนิ่ง “ถึงบ้านแล้ว? ”
เมื่อชวีเสี่ยวมองสามคำนั้นก็ไม่รู้ว่าจะต้องตอบอะไรออกไป ถึงบ้านอะไรกันล่ะ นอกจากตัวเขาแล้ว บนถนนเส้นนี้แม้แต่หมาจรจัดก็ยังไม่มีเลย
แต่ไม่นานก็มีข้อความเสียงส่งเข้ามาอีกครั้ง
“นายยังอยู่ข้างนอกเหรอ? ” แล้วหลังจากนั้นก็มีคำขอเปิดวิดีโอคอลมาจากเซี่ยเจิงทันที
ชวีเสี่ยวปอผงะไปชั่วครู่ แต่เขาก็ยกมือขึ้นมาขยี้ที่ดวงตา แล้วถึงได้กดเชื่อมต่อไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเชื่อมต่อแล้วชวีเสี่ยวปอจึงพบว่าที่เขาขยี้ตาไปเมื่อครู่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ดวงตาของเขาที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอยังคงบวมอยู่อย่างเห็นได้ชัด
“ยังอยู่ข้างนอกจริงๆ ด้วย” เมื่อครู่ตอนที่เซี่ยเจิงเปิดฟังในข้อความเสียงของชวีเสี่ยวปออีกครั้งก็รู้สึกเหมือนว่าจะได้ยินเสียงรถขับผ่าน นึกไม่ถึงว่าจะเขาจะเดาถูก และแน่นอนเขาก็ยังเดาถูกอีกว่าชวีเสี่ยวปอคงจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแน่ๆ ไม่อย่างนั้นค่ำมืดดึกดื่นจะออกมาเดินข้างนอกทำไมกัน “นายอย่าบอกนะว่านายออกมาเดินย่อย”
“ฉันจะมีอะไรให้ย่อยได้ยังไง? ” ชวีเสี่ยวปอกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่ ไม่รู้ว่าทำไมพอเซี่ยเจิงโทรศัพท์มาถึงทำให้อารมณ์เขาดีขึ้นอย่างประหลาด
“นายพูดแบบนี้ ซุปไข่ผักรวมก็เสียใจแย่น่ะสิ” เซี่ยเจิงลุกขึ้นมาจากพื้น มือถือจึงสั่นตามตัวเขาไปด้วยสองครั้ง
“นายนั่งกับพื้นเหรอ? ” ชวีเสี่ยวปอเห็นภาพจากในหน้าจออย่างชัดเจน
“อ๋อ เมื่อกี้ออกกำลังอยู่” เซี่ยเจิงโกหกออกไปหน้านิ่งๆ “แพลงก์น่ะ”
“อ่อ งั้นก็เจ๋งสุดๆ เลย” ชวีเสี่ยวปอก็ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรออกไป ทั้งสองคนมองอีกฝ่ายผ่านมือถือและเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็พูดขึ้นมาพร้อมกัน
“นาย…”
“ฉัน…”
“นายพูดก่อนเถอะ” ชวีเสี่ยวปอยกคางขึ้น ส่งสัญญาณให้เซี่ยเจิง
“ฉันไปรอนายที่ที่พวกเราแยกกันตรงนั้นก็แล้วกัน” เซี่ยเจิงสวมเสื้อคลุมอย่างรวดเร็ว “นายจะไปถึงประมาณกี่โมง”
“อะไร? ” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกคาดไม่ถึง แต่ภาพในหน้าจอเซี่ยเจิงกลับพูดไปด้วยพลางใส่รองเท้าไปด้วย และกำลังที่จะออกจากบ้านแล้ว
“นายอยากจะนอนอยู่ข้างถนนหรือไง? ” เซี่ยเจิงโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ๆ กับโทรศัพท์ ทั้งใบหน้าของเขาก็ปรากฏขึ้นมาเต็มหน้าจอ “มานอนบ้านฉันสักคืนก็แล้วกัน”
หลังจากที่เดินทางออกมาไกลในที่สุดเซี่ยเจิงก็เห็นชวีเสี่ยวปอแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะยืนอยู่ตรงนั้น แต่ว่ากลับไม่เหมือนท่ายืนสักเท่าไหร่ เพราะเขาอยู่ไม่นิ่งเลยแม้แต่ชั่วขณะเดียว เท้าซ้ายขวาสลับกันวาดวงกลมอยู่ที่พื้น
แล้วอยู่ดีๆ เซี่ยเจิงก็เห็นรูปชวีเสี่ยวปอตอนเด็กรูปนั้นปรากฏขึ้นมาบนหน้าของเขาอย่างประหลาด แต่กลับเป็นเพนกวินน้อยตัวสูงยาว เขาจึงได้รีบหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปด้านหลังของเพนกวินน้อยไปหลายรูป หลังจากนั้นถึงค่อยเดินเข้าไป
“เร็วมากเลยนะเนี่ย” ชวีเสี่ยวปอหันหลังมาแล้วเห็นเซี่ยเจิง ในขณะที่เขากำลังเดินเข้ามา ชวีเสี่ยวปอก็ย่ำเท้าอย่างรู้สึกไม่สบายใจ
“เรียกรถมาเลยเร็วน่ะ” เซี่ยเจิงมองไปที่ชวีเสี่ยวปอ และจุดที่สำคัญที่สุดแน่นอนว่าต้องเป็นที่ใบหน้าของเขา “ร้องไห้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย”
“เห้ย” ทันใดนั้นชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกขายหน้าขึ้นมาทันที บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าความละเอียดอ่อนของเซี่ยเจิง มักจะทำให้ตัวเขาไม่สามารถซ่อนอะไรเอาไว้ได้เลยอยู่เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ทว่าในคืนนี้หากไม่ใช่เพราะว่าเซี่ยเจิงดูออก ยังไงเขาเองก็คงไม่ยอมลดศักดิ์ศรีมาพูดขอให้เซี่ยเจิงพาเขาไปอยู่ด้วยสักหนึ่งคืนหรอก “ลูกพี่ ขอร้องล่ะอย่าถามเลย”
“ได้” เซี่ยเจิงหัวเราะออกมา ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้คิดที่จะถามหรอก ชวีเสี่ยวปอที่นิสัยแบบนี้ สาเหตุที่หนีออกจากบ้านมาน่ะเหรอ นอกเสียจากว่าตัวเขาจะอยากพูดเอง ถึงต่อให้ใครถามก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก
ทั้งสองคนจึงเรียกรถ และต่อมาไม่นานรถก็มาจอดอยู่ที่ปากซอยบ้านของเซี่ยเจิง ชวีเสี่ยวปอมองเข้าไปด้านในเห็นลานบ้านที่ยังมีไฟสว่างอยู่เพียงหลังเดียว จึงคิดว่าน่าจะเป็นที่นั่น
“พ่อแม่นายนอนหลับกันหมดแล้วเหรอ? ” ไม่มีไฟตามทาง และในตรอกซอยนี้ก็เงียบจนได้ยินเพียงแค่เสียงก้าวเดินของทั้งสองคน ชวีเสี่ยวปอเดินอยู่ด้านหลังของเซี่ยเจิงจึงทำให้ตอนที่พูดเขาลดเสียงเบาลงไปอย่างไม่รู้ตัว
“แม่ฉันหลับไปตั้งนานแล้วล่ะ” เซี่ยเจิงตอบ
“อ๋อ” ชวีเสี่ยวปอพยักหน้า ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติที่เซี่ยเจิงพูดถึงเพียงแค่แม่ของเขา
“ถึงแล้ว” เซี่ยเจิงผลักประตูรั้วให้เปิดออก เหมือนเป็นการส่งสัญญาณให้ชวีเสี่ยวปอเดินเข้าไป
ชวีเสี่ยวปอชะโงกหน้ามองเข้าไปข้างใน หลังจากนั้นจึงเดินเข้าไป ข้างในเป็นลานบ้านที่ดูธรรมดาๆ แต่ถูกเก็บกวาดจนสะอาดเรียบร้อยมาก ด้านนอกยังมีเชือกตากผ้าที่แขวนเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้เก็บอยู่อีกสองสามตัว ซึ่งเสื้อผ้าเหล่านี้ล้วนเป็นของเซี่ยเจิง
เซี่ยเจิงเดินเข้าไปจับขากางเกงที่แขวนอยู่ตัวหนึ่ง แล้วก็พูดกับตัวเองว่า “ทำไมยังไม่แห้งอีกละเนี่ย” ทั้งยังดีดนิ้วไปยังชวีเสี่ยวปอหนึ่งครั้ง “เอาแต่ยืนตรงนั้นทำไม เข้าบ้านกันเถอะ”
ความจริงแล้วทันทีที่รถแท็กซี่จอด ชวีเสี่ยวปอก็เดาเอาไว้อยู่แล้วว่าพื้นเพสภาพบ้านของเซี่ยเจิงคงจะไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่หลังจากที่เขาเข้าบ้านมาแล้ว ชวีเสี่ยวปอก็แอบตกใจไปไม่น้อย
ถ้าเทียบกับห้องของตัวเองแล้ว ห้องของเซี่ยเจิงนั้นถึงจะเรียกว่าความเรียบง่ายที่แท้จริง เพราะมันมีเพียงแค่เตียง ตู้เสื้อผ้า โต๊ะหนังสือ และไม่มีอย่างอื่นอีกเลย
ที่จริงแล้วชวีเสี่ยวปอยังมองและประเมินไปที่เตียงของเขาด้วย แม้ว่ามันจะไม่ได้ใหญ่มากแต่ก็พอที่จะเบียดคนสองคนไว้ได้โดยไม่มีปัญหา แต่ว่าตัวเขาเองก็คงจะไม่สามารถเปิดปากขอร้องให้เซี่ยเจิงนอนเตียงเดียวกับเขาได้ ในห้องนี้ไม่มีแม้ตัวเก้าอี้สักตัว แล้วอีกเดี๋ยวเขาจะไปนอนไหนล่ะ?