“พาแม่ฉันกลับบ้านไปก่อน” เซี่ยเจิงหยุดเดินและหันกลับไปพูดกับชวีเสี่ยวปอ
“เซี่ยเจิง เดี๋ยวฉัน…” ชวีเสี่ยวปออยากจะพูดว่าเดี๋ยวฉันอยู่เป็นเพื่อนเอง แต่เมื่อเห็นดวงตาอันแดงก่ำของเซี่ยเจิงแล้ว ชวีเสี่ยวปอจึงผงะไปทั้งยังหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้น และคิดว่าตัวเองคงทำได้แค่ตอบออกไปว่า “โอเค”
“ผมบอกคุณแล้วไงว่าอย่ามาที่นี่อีก” เซี่ยเจิงพยายามที่จะพูดให้เสียงไม่สั่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาไม่อยากเผยความอ่อนแอให้เซี่ยรุ่ยเซินเห็นเลยแม้แต่นิดเดียว
“พ่อมาหาลูก ไม่ได้เลยเหรอ? ” เซี่ยรุ่ยเซินยื่นหน้าออกไปอีกทาง “แล้วก็เมียของพ่อด้วย”
นานๆ ครั้งเซี่ยรุ่ยเซินจะมาที่นี่เพื่อเล่นละครก่อความวุ่นวาย ชาวบ้านที่อยู่บริเวณนั้นก็เริ่มที่จะเห็นจนชินตาแล้ว และแน่นอนว่าคนที่มามุงดูบ้างก็รู้สาเหตุอยู่แล้ว พวกเขาจึงพูดกระซิบกระซาบเล่าความเป็นมาของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เสียงกระซิบที่ผสมปนเปกันมากมายดังเข้ามาในหูของเซี่ยเจิง จนทำให้เขาได้ยินไม่ชัดเลยสักนิด แต่เขากลับรู้สึกว่าตัวเขาได้ยินทุกประโยคอย่างชัดเจน
“เลิกแกล้งทำเป็นคนโง่สักที” เซี่ยเจิงกำมัดแน่น อดกลั้นความรู้สึกที่อยากจะต่อยหน้าเซี่ยรุ่ยเซินเอาไว้ “ผมไม่ได้ต้องการให้คุณมาหาผม แม่ผมก็ไม่ต้องการ”
สายตาของเซี่ยรุ่ยเซินค่อยๆ มองต่ำลงมา ทำราวกับว่าไม่อยากที่จะเชื่อคำพูดเมื่อครู่ : “ทำไม นี่คิดจะต่อยฉันเหรอ? ”
เซี่ยเจิงเม้มริมฝีปากไว้แน่น ไม่ได้พูดอะไรออกไป
“ทุกคนดูสิ! ลูกที่ฉันเลี้ยงมากับมือ กำลังจะต่อยพ่อแท้ๆ ของตัวเองแล้ว! ” ทันใดนั้นเซี่นรุ่ยเซินก็ตะโกนเสียงดังโวยวายออกไปให้ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นได้ยิน “เวรกรรมจริงๆ !”
เซี่ยเจิงผงะไปชั่วขณะ ตัวเขาเองคงประเมินความหน้าไม่อายของคนคนนี้ต่ำเกินไปจริงๆ หลังจากนั้นเขาจึงเข้าไปคว้าแขนของเซี่ยรุ่ยเซิน “คุณต้องการอะไรกันแน่? ”
“พูดแบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบเรื่อง? ” เซี่ยรุ่ยเซินหัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ หลังจากนั้นก็หยุดตะโกนออกมาทันที ทั้งยังยิ้มจนเผยให้เห็นฟันเหลืองๆ ของเขา ในดวงตาที่ขุ่นมัวนั้นเต็มไปด้วยความโลภ “ฉันต้องการเงิน”
“ผมไม่มี” เซี่ยตอบกลับไปทันที
“เป็นไปไม่ได้” เซี่ยรุ่ยเซินน้ำเสียงเปลี่ยนไปอีกครั้ง จับไปที่มือของเซี่ยเจิงที่กำลังจะสะบัดออกจากแขนของเขา แล้วขอร้องอ้อนวอนออกไปว่า “ลูกชาย ลูก ถือว่าพ่อขอร้องล่ะ ครั้งสุดท้ายแล้ว ให้พ่อใช้หนี้ครั้งนี้หมดก็พอแล้ว”
“ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่มี !” เซี่ยเจิงออกแรงดึงมือให้หลุดออกมา แล้วจึงถอยหลังไปสองสามก้าว “คุณเล่นพนันต่อไปเถอะ จะเป็นหรือตายก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผม”
“ลูกพูดอะไรของลูก? ” เซี่ยรุ่ยเซินกระโจนตัวไปข้างหน้าหวังที่จะจับเซี่ยเจิงแต่ก็ไม่ได้ผล เขายิ้มออกมาด้วยใบหน้าที่ประจบสอพอจนทำให้คนที่เห็นรู้สึกสะอิดสะเอียนไม่น้อย “ลูกชาย ขอร้องล่ะ ถ้าพ่อไม่มีเงินไปให้พวกเขาพ่อก็จะถูกตีจนขาหักเลยนะ ลูกทนได้เหรอ? ”
เซี่ยรุ่ยเซินพูดคำว่าลูกชายออกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนทำให้เซี่ยเจิงรู้สึกว่าสองคำนี้เป็นเหมือนก้อนหินก้อนใหญ่ที่ตกลงมาจากฟ้าแล้วขว้างใส่ตัวเองอย่างแรงครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เขาก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงไปไหนได้ ทำได้เพียงปล่อยให้มันตกใส่จนกระทั่งหัวแตกเลือกออก
เซี่ยเจิงสูดหายใจเข้าไป “งั้นก็ให้พวกเขาตีจนหักไปเลย” หลังจากพูดจบก็หันหลังเดินจากไป
“ให้ตายเถอะไอ้เซี่ยเจิง ไอ้ลูกสัตว์เดรัจฉานไม่มีหัวใจ !”
ในขณะที่เซี่ยรุ่ยเซินตะโกนด่าออกไป ในใจของเซี่ยเจิงก็พูดขึ้นว่า “ไปตายซะ” อยู่เหมือนกัน แต่พอคิดดูดีๆ แล้วมันก็ยิ่งน่าขันเข้าไปใหญ่ คนเรามีวิธีที่จะทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ตั้งเยอะตั้งแยะ แต่ถ้าเทียบกับชีวิตที่ตกต่ำย่ำแย่เช่นนี้ ความตายก็คงจะเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายที่สุดล่ะมั้ง?
ทว่าจู่ๆ เซี่ยรุ่ยเซินก็เงียบไปในทันที
ชวีเสี่ยวปอแทบจะใช้ความเร็วสูงสุดของเขาวิ่งสวนกับเซี่ยเจิงออกมา ทันใดนั้นเขาก็ยกขาขึ้นเตะเซี่ยรุ่ยเซินจนไปนอนกองอยู่กับพื้น
“พูดให้มันดีๆ หน่อย !” ชวีเสี่ยวปอพูดออกไปด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง
ขาข้างนี้ของเขาค่อนข้างที่จะแข็งแรง เซี่ยรุ่ยเซินนอนขดตัวอยู่กับพื้น ปากก็ยังสบถคำด่าออกมาไม่หยุด แต่เป็นเพราะว่าความเจ็บปวดเข้าเล่นงานเลยพูดได้ไม่จบประโยค
ชวีเสี่ยวปอมองเขาด้วยความเย็นชาไปทีหนึ่ง แล้วเดินกลับมาตบไหล่ของเซี่ยเจิงเบาๆ การกระทำที่ระมัดระวังและอ่อนโยนนี้ดูราวกับเป็นคนละคนกับเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง “ไปกันเถอะ กลับบ้านกัน”
ทั้งสองคนเดินตามกันเข้าบ้านไป ถึงแม้ว่าเสียงตะโกนด่าของเซี่ยรุ่ยเซินจะดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่สักพักก็ค่อยๆ เงียบลงไป
เมื่อเซี่ยเจิงเดินเข้ามาในบ้านก็ยืนเฉยอยู่ตรงนั้น ไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อนทั้งยังไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ เหมือนกับว่าจะยืนอยู่เช่นนี้จนฟ้ามืดอย่างไรอย่างนั้น ชวีเสี่ยวปอก็ยืนมองเขาอยู่ด้านหลังอย่างเงียบๆ และรอจุดนั้นเกิดขึ้น
จุดที่เซี่ยเจิงจะระเบิดออกมา
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว จนกระทั่งชวีเสี่ยวปอได้ยินเสียงหายใจกำลังที่ควบคุมอารมณ์โกรธเอาไว้
ชวีเสี่ยวปอไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกตอนนี้ว่าอย่างไรดี แต่ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมตอนที่เซี่ยเจิงเล่าถึงเรื่องราวความโชคร้ายของตัวเองถึงได้สงบนิ่งมากถึงขนาดนั้น
คำอธิบายเพียงหนึ่งเดียวก็คือ เขาดิ้นรนผ่านความลำบากยากเข็ญมาแล้วเกือบจะทุกรูปแบบ ได้ลิ้มลองรสชาติมาแล้วหลากหลายรสชาติ ทั้งยังรู้อย่างชัดเจนด้วยว่าเขาเคยชินกับเรื่องโชคร้ายเช่นนี้ไปซะแล้ว ส่วนคนอื่นก็จะเป็นเพียงคนที่ยืนดูอยู่ด้านข้างสำหรับเขาตลอดไป
พ่อที่พึ่งพาไม่ได้ แม่ที่สภาพจิตใจอ่อนแอ และชีวิตที่อัตคัดขัดสน
ทุกสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เซี่ยเจิงต้องลืมตาตื่นมาเผชิญในทุกๆ วัน
ชวีเสี่ยวปอคิดว่าเซี่ยเจิงจะร้องไห้เสียงดังออกมา แต่เขากลับไม่ได้ทำเช่นนั้น
เซี่ยเจิงทำเพียงแค่ก้มหัวลง ไหล่ของเขาสั่นราวกับควบคุมไม่ได้ นอกจากเสียงหายใจก็ไม่ได้มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาอีกเลย จนกระทั่งเสียงหายใจด้วยความโกรธสงบลงแล้ว ชวีเสี่ยวปอจึงได้หยิบกระดาษทิชชูที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเดินเข้าไปหาเขาอย่างเงียบๆ
“เป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย ถึงต่อให้หล่อแค่ไหน แต่พอร้องให้เสร็จก็จะขี้เหร่ขึ้นมาเลย” ชวีเสี่ยวปอหยิบทิชชูออกมาสองแผ่นแล้วกดไปบนหน้าของเซี่ยเจิง ปิดไปตรงตาที่บวมเป่งและจมูกอันแดงแจ๋ของเขา “แต่ว่านายอดทนเก่งกว่าที่ฉันคิดเอาไว้อีก”
“นี่นายชมฉันหรือว่าฉันกันแน่” เซี่ยเจิงเช็ดหน้าตัวเอง เสียงที่พูดออกมาก็ดูขึ้นจมูกหน่อยๆ
“ก็ชมนายน่ะสิ” ชวีเสี่ยวปอถอดหายใจออกมา “นี่ เราสองคนจะนั่งลงกันได้ยัง? พอนายไม่นั่งฉันก็ไม่กล่านั่งไปด้วยเลย”
“นายนั่งก่อนเลย ฉันไปล้างหน้าก่อน” เซี่ยเจิงผายมือออกไป จากนั้นจึงเดินเข้าลานบ้านไป
ในลานบ้านมีก๊อกน้ำอยู่ เพื่อให้สะดวกในการล้างมือล้างผักในช่วงหน้าร้อน ชวีเสี่ยวปอยืนอยู่ในบ้านแต่สายตามองออกไปยังด้านนอก เซี่ยเจิงวักน้ำใส่หน้าอย่างลวกๆ สองครั้ง หลังจากนั้นเขาก็เอาศีรษะมุดเข้าไปใต้ก๊อกน้ำปล่อยให้น้ำไหลแรงลงรดมาทั้งศีรษะของเขา
“บ้าเอ๊ย” ชวีเสี่ยวปอก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วยื่นมือไปคว้าคอเสื้อของเซี่ยเจิงดึงขึ้นมา “อยากจมน้ำตายนักหรือไง”
“แค่นี้จะจมน้ำตายได้ยังไง” น้ำบนศีรษะของเซี่ยเจิงไหล่หยดลงมายังคอของเขา “ฉันแค่อยากให้ตัวเองรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นสักหน่อยก็เท่านั้นเอง”
“งั้นก็ไม่ต้องเปิดน้ำแรงขนาดนั้นก็ได้นี่” ชวีเสี่ยวปอมองไปยังเสื้อผ้าของเซี่ยเจิงที่เริ่มเปียก “ตอนนี้มันอุณหภูมิเท่าไหร่ ถ้าพรุ่งนี้เช้านายตื่นมาแล้วไม่อยากได้หัวสมองของตัวเองแล้ว นายเอาให้ฉันก็ได้นะ”
“ฝันไปเถอะ” เซี่ยเจิงเปิดก๊อกน้ำอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เขาใช้สองมือวักน้ำขึ้นมา แล้วสาดไปยังชวีเสี่ยวปอ “งั้นนายก็มาเย็นสบายไปด้วยกันเถอะ”
“เซี่ยเจิงนายมันไม่ใช่คน !” ชวีเสี่ยวปอหลบออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังโดนสาดเข้ามาเต็มด้านหลังอยู่ดี เขาไม่ยอมแพ้ จึงโจมตีกลับในทันที และถึงแม้ว่าสงครามในครั้งนี้จะดูแปลกประหลาดไปสักหน่อย แต่มันก็เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนต่อสู้กันไปมาโดยมีก๊อกน้ำตั้งอยู่กิ่งกลางเป็นเวลายาวนาน จนกระทั่งแทบจะเปียกไปหมดทั้งตัวสงครามในครั้งนี้จึงได้จบลง
ชวีเสี่ยวปอเดินเข้ามานั่งตรงขั้นบันไดโดยเอามือกุมท้องตัวเองไว้ เนื่องจากเมื่อครู่หัวเราะเยอะเกินไปจนเขารู้สึกเจ็บเข้าที่ช่องท้อง
เซี่ยเจิงก็ยืนอยู่ด้านข้างของเขาในท่าทางเอนตัวลงมาจับเข่าตัวเอง หลังจากนั้นจึงยื่นเท้าออกไปเตะเข้าที่ปลายรองเท้าของชวีเสี่ยวปอ
“นายสาดฉันให้ตายไปเลยเถอะ” ชวีเสี่ยวปอเงยหน้าขึ้นไปมองเขา ไม่มีแรงที่จะเล่นต่อแล้วจริงๆ “ฉันยอมแล้ว ฉันยอมแพ้แล้วโอเคไหม นายเคยเข้าร่วมงานเทศกาลสงกรานต์มาใช่ไหมเนี่ย”
“ชวีเสี่ยวปอ” เซี่ยเจิงไม่ได้ตอบเขากลับไป แต่กลับเรียกชื่อเขาออกไปเบาๆ
ชวีเสี่ยวปอไม่รู้สาเหตุ “ฮ่ะ? ”
“ขอบคุณนะ”