หลังจากวันนั้น ฉันก็ได้อาศัยอยู่ที่โรงแรมที่ห่างจากกิลด์ไปสองช่วงตึก และ ต้องเข้ารับบทเรียนพื้นฐานของนักผจญภัยเป็นเวลา 2 วัน
และวันนี้คือวันที่จะได้รับภารกิจแรงค์ C เป็นครั้งแรก เอี๊ยด! เสียงประตูไม้ที่ถูกดันออก
“คุณมิยะสวัสดีค่ะ”
ฉันโบกมือทักทายคุณมิยะที่กำลังนั่งอ่านรายงานอยู่เคาน์เตอร์ เธอยิ้มให้ก่อนจะก้มหน้าอ่านรายงานต่อ ฉันเดินไปดูบอร์ดประกาศภารกิจ
“อืม! จะทำอะไรดีเนี่ย ”
“นี่ !” คนที่เดินมายืนข้างฉันคือ กิลด์มาสเตอร์ ฉันยังจำการต่อสู้วันนั้นได้ ไม่อยากเชื่อเลยว่าคน ๆ นี้ใช้เพียงพลังกายในการเอาชนะเรา
“อ…อะไรเหรอคะมาสเตอร์” เขาดึงใบประกาศเควสยื่นมาให้ “ไปทำเควสนี้ให้ทีสิ”
“เอ๊ะ! แต่นี่มัน” เควสที่เขายื่นให้คือ ช่วยดูแลเด็กที่ไปเก็บสมุนไพรในป่าใกล้เมือง เป็นเควส E แรงค์
“อย่าได้คิดว่าเควสแรก จะไปไล่ฆ่ามอนสเตอร์ตัวเป้งในป่า เอาแค่เควสนี้ให้มันรอดก่อน กลับมาค่อยว่ากัน”
จากนั้นเขาก็เดินจากไป ถ้าสังเกตดี ๆ ดวงตาของเขาดำขลับทั้งเส้นผมที่ยุ่ง ๆ นั่นยังเป็นสีดำ ช่างเป็นเอกลักษณ์โดยแท้
ยังไงก็เป็นงานที่กิลด์มาสเตอร์เลือกให้ไปทำหน่อยแล้วกัน “เอ้าซีฟานจัง จะไปทำเควสอะไรเหรอ” คุณมิยะเงยหน้าขึ้นมาพอดีก่อนที่ฉันจะเดินไปถึงเคาน์เตอร์
“เอ่อ เควสนี้ค่ะ” ฉันยื่นใบประกาศแบบเก้ง ๆ กัง ๆ “หืม กิลด์มาสเตอร์สินะ”
ทำไมถึงรู้ได้ทันทีขนาดนี้กันนะ
“ค..ค่ะพอดีกิลด์มาสเตอร์วานให้ไปทำน่ะ”
คุณมิยะยิ้มให้ฉันก่อนจะยื่นใบเควสกลับมาให้
“ดีแล้วจ่ะ ยังไงก็พยายามเข้านะจ๊ะ”
เวลาคุณมิยะยิ้มนี่ ช่างดูสวยมากเลยจริง ๆ รอยยิ้มแบบนั้นเข้ากับผมสีแดง ตาสีทองมากเลย
จากนั้นฉันได้เดินไปตามข้อมูลที่เขียนไว้ในกระดาษ แต่ก็นานพอควรเลยล่ะกว่าจะมาถึง
เมืองใหญ่นี่ช่างน่าปวดหัวกับเส้นทางเสียจริง
พอเดินมาถึงหน้าสถานที่ในใบประกาศถึงได้รู้ว่าเป็นสถานเลี้ยนเด็กกำพร้า
“สวัสดีค่ะคุณอัศวิน ไม่ทราบว่ามีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”
คุณแม่ชีคนหนึ่งเดินออกมา ผมสีฟ้าอ่อนปล่อยยาวถึงสะเอว มีผ้าคลุมที่หัว ดวงตาเปล่งประกายสีทองอย่างกับดวงดาวแถมรอยยิ้มที่ยิ้มให้ช่างน่าหลงไหล
“อ…อะ..ค่ะ…เอ่อคือกิลมาสเตอร์ให้มาทำเควสที่นี่น่ะค่ะ”
ฉันยื่นใบประกาศให้เธอ
“แหม! หายากนะเนี่ยที่เขาจะให้คนอื่นมาทำแทน”
เธอใช้มือจับที่แก้มทำท่าทางสงสัย
“เอ๊ะ ถ้างั้นทุกครั้งใครเป็นคนทำเหรอคะ”
ทำไมเธอพูดเหมือนกิลด์มาสเตอร์มาทำเองเลยล่ะ
“เดี๋ยวเข้าไปคุยกับข้างในดีกว่านะจ๊ะ” เดี๋ยวบอกกันก่อนสิคะคุณเเม่ชี
ฉันเดินตามเธอผ่านสวนที่เด็กกำลังเล่นกัน น่าจะประมาน 15 16 คนได้ ส่วนมากยังเป็นเด็กเล็กอยู่เลย
พอถึงโต๊ะคุณแม่ชีได้นำเค้กพร้อมน้ำชามาเสิฟ
“ทานได้ตามสบายเลยนะจ๊ะ เดี๋ยวฉันขอไปตามเด็กที่จะไปกับเธอมาก่อน”
จากนั้นเธอก็เดินหายไปแต่ที่ต่างคือ เด็ก ๆ พวกนี้มาจากไหนเนี่ย!
“เน่ ๆ พี่สาวมาจากไหนเหรอ”
“พี่สาวจะพาพวกพี่ริช ไปเที่ยวอีกแล้วเหรอ”
“ทำไมถึงไม่พาเราไปด้วยล่ะ เน่ ๆ ให้เราไปด้วยนะ”
เด็ก 3-4 คนมากอดตรงขาของฉันจากนั้นก็เริ่มโวยวายเรื่องที่เราก็ยังไม่รู้เรื่องเลยด้วยซ้ำ
“นี่อย่าทำให้พี่สาวเขาลำบากใจสิ”
เสียงของเด็กหนุ่มที่เดินออกมาทางฝั่งที่คุณแม่ชีที่เพิ่งออกไป
สายตานิ่งขรึมรูปร่างดูเหมือนจะมีกล้ามเล็กน้อย
“สวัสดีครับ ผมชื่อริช ส่วนนี่ นีน่าและเอลซ่า พวกเราสามคนจะไปเก็บสมุนไพรในป่าครับ น่าที่ของคุณคือช่วยดูแลเราจนกว่าจะกลับมาถึงที่นี่ ทำได้ใช่มั้ยครับ”
เอ๊ะเด็กนี่มันอะไรกัน ทำไมฟังดูเหมือนว่าเราโดนดูถูกยังไงไม่รู้
“ด…ได้อยู่แล้วน่า เห็นแบบนี้ฉันก็อยู่แรงค์ C เลยนะแรงค์ C ”
แล้วทำไมเราต้องรนลานด้วยล่ะเนี่ย
“หืม!!” เด็กสาวที่ชื่อนีน่า ยื่นหน้าเข้ามาไกล้พร้อมหลี่ตาลง
“เอาเถอะ” เอ๊ะ อะไรคือเอาเถอะแล้วนี่ตกลงมันยังไงกันเนี่ย
หลังจากที่แนะนำตัวกันและเตรียมของเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้นพวกเราสี่คนก็ได้ออกเดินทาง
ใช้เวลาประมานชั่วโมงกว่า ๆ ก็มาถึงชายป่า นี่คือป่าที่ไกล้เมืองที่สุด
“นี่ทำไมเธอถึงพกดาบด้วยล่ะ”
ฉันสังเกตว่า เด็ก ๆ พวกนี้พกดาบสั้นคาดที่หลังสะเอวกันทั้งสามคน หรือจะใช้เพื่อเก็บสมุนไพรกัน
“ก็เพื่อป้องกันตัวสิถามได้”
“มีชั้นอยู่ทั้งคน ไม่เห็นเป็นไรเลย”
ฉันพูดขึ้นทันควันโดยไม่ทันคิดให้ถี่ถ้วนก่อน และคำที่ได้กลับมาคือ
“หน้าที่คุ้มกันมันก็หน้าที่คุณอยู่แล้ว แต่ใครจะรู้ล่ะว่าได้สักแค่ไหน”
โอ้ยยยย!! ขอสักป๊าบได้มั้ยเนี่ย ฉันรู้สึกว่าตรงหัวจะมีเส้นเลือดปูดขึ้นเลยล่ะค่ะ
“เดี๋ยวพวกเราจะเข้าไปเก็บ สมุนไพรแถวนั้นนะคะ”
เด็กสาวที่ชื่อเอลซ่าวิ่งตรงไปยังไกล้ ๆ ถ้ำ ดูเหมือนพวกเธอจะคุ้นเคยกับแถวนี้ดีพอควร
“มีอะไรให้ชั้นช่วยมั้ยจ๊ะ”
ฉันเดินเข้าไปหานีน่าที่กำลังนั่งมองหาสมุนไพรอยู่ก่อนที่ริชจะพูดขึ้นมาว่า
“คนคุ้มกันมีหน้าที่คอยระวังความเรียบร้อยและปลอดภัย ถ้าคนคุ้มกันมาเก็บสมุนไพรใครจะเป็นคนคอยระวัง นี่พี่โซไม่ได้สอนเหรอไง”
อึ๋ย! นี่มันเด็กอะไรกันเนี่ย บอกทีเถอะว่าอายุ 13 จริง ๆ ฉันนึกว่าผู้ใหญ่ร่างเด็ก
“ต….แต่ชั้นเคยอยู่ในหุบเขามาก่อนนะ ฉันรู้จักกับสมุนไพรเยอะแยะเลยล่ะ”
เราอาศัยอยู่ในป่ามาตั้งแต่เด็กเรื่องพวกนี้น่ะเราถนัดจะตายไป
“เหรอ? งั้นนี่คืออะไร” ริชหยิบต้นอะไรสักอย่างออกมาจากตระกร้า
“ต้นหญ้ารักษา”
“แล้วนี่ล่ะ” จากนั้นเขาหยิบอีกต้นขึ้นมา “หญ้าถอนพิษ” “นี่ล่ะ” “ต้นหัวใจสไลม์” “นี่ล่ะ” “ต้นหางมังกร” ………..
พวกเราทำแบบนั้นอยู่สักพักใหญ่จนนี่น่าและเอลซ่าเหมือนมานั่งดื่มน้ำดูโต้วาที
“แล้วนี่ล่ะ” “หญ้าน้ำค้างแข็ง”
“หืม! ถือว่าใช้ได้”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
เอ๊ะ! เดี๋ยวนะนี่เหมือนเราเป็นเด็กที่ถูกวัดความรู้เลยนิ เจ้าเด็กนี่มัน…..
หลังจากพักเหนื่อยพวกเราได้เข้าไปลึกขึ้นอีกนิดหน่อย
“แถวนี้มีหมาป่าด้วยนะคะพี่ ซีฟาน”
แถวนี้ดูเป็นป่าทึบจะมีหมาป่าก็คงไม่แปลก แต่ถ้าออกมาเดี๋ยวชั้นจะโชว์ฝีมือให้พวกเธอได้เห็นจนต้องพูดว่าชั้นสุดยอดให้ดูเลย ฮุฮุ
“ถ้าเกิดมันโพล่มาฉันจะจัดการให้เอง” ฉันใช้มือค้ำสะเอลสองข้างยืดอกขึ้น
“ให้มันจริงเถอะ!”
หึ่ย ทำไมยิ่งนานไปดูเหมือนเด็กนี่ยิ่งเสียดสีเก่งขึ้นจังเลยนะ
ตะวันเริ่มคล้อยต่ำลง ดูเหมือนวันนี้จะได้เวลากลับกันแล้วสินะ
“เอาล่ะวันนี้คงพอแล้วล่ะครับ กลับกันเถอะ”
เห้อ! การคุ้มกันไม่เหนื่อยหรอก ที่เหนื่อยคือหาวิธีรับมือเด็กนี่ต่างหาก
พวกเราเดินกลับออกมาทางเดิมก่อนจะมาหยุดที่หน้าถ้ำ
แสงตะวันเริ่มกลายเป็นสีส้มอ่อน ๆ แล้วตอนนี้ พอค่ำลงถ้ำที่เคยคิดว่าปกติก็ดูเหมือนน่ากลัวขึ้นเหมือนกันนะเนี่ย
“วันนี้ก็ได้เยอะเหมือนเคยเลยนะเนี่ย”
“ถ้าเป็นแบบนี้คงได้อีกสักอาทิตย์กว่า ๆ เลยล่ะ”
เอลซ่า นีน่าเดินคุยคิกคักอย่างสนุกสนาน โดยมีรีชเดิมตามส่วน ฉันเป็นคนเดินรั้งท้าย
ในตอนไกล้ที่จะเดินถึงชายป่านั้น ตรงหน้าของทั้งสองก็ปรากฏเงาของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ ค่อย ๆ เดินตะคุ่ม ๆ เข้ามา
สัญชาตญานของฉันมันบอกได้ทันทีว่าเจ้าสิ่งนั้นอันตราย
ก่อนที่มันจะเผยตัวออกมาฉันรีบพุ่งตัวไปด้านหน้าของทั้งสอง พร้อมกับชักดาบตั้งท่าเตรียมพร้อม
“อย่าออกห่างจากฉันนะเด็ก ๆ”
สีหน้าของทั้งสองดูตกใจมาก ก่อนจะพยักหน้าและกุมมือกันไว้มืออีกข้างแตะที่ด้ามดาบ
ส่วนริชก็ชักดาบออกมายืนประกบด้านหลัง
เงาสีดำค่อย ๆ เข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ นั่นจึงทำให้รู้ว่าเจ้านี่ตัวใหญ่มากขนาดไหน
“อิ๊กกี้ ฝากพวกเขาด้วย” กิ้ว นกน้อยตัวสีเหลืองออกจากกระเป๋าบินขึ้นไปจับบนหัวของเอลซ่า
ร่างสีเทาสูงประมาน 2 เมตร ค่อย ๆ โพล่ออกมาจากพุ่มไม้ตรงหน้า
สันจมูกของมันมีเขาเหมือนกับแก้วคริสตัลตั้งชี้ขึ้นสะท้อนกับแสงอาทิตย์ สายตาที่จ้องมาที่เราแข็งกร้าว เสียงครางในลำคอที่สั่นเป็นจั่งหวะพร้อมกับเขี้ยวที่แยกออกมา
ฉันรับรู้ได้ทันที่ว่าเจ้านี่เตรียมพร้อมที่จะพุ่งเข้ามาทุกเมื่อ ทำยังไงดีถ้าเกิดมันพุ่งเป้าไปยัง เด็กพวกนี้เราจะกันได้มั้ย
“ต้องโจมตีก่อน อั๊ค ”
กิ้งก่าสีแดงโพล่ออกมากลางอากาศลอยอยู่บนไหล่ข้างขวา ฉันสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะพุ่งเข้าใส่หมาป่าตัวนั้น
ไฟเยอร์เบลด!
ในจังหวะที่ไฟกระทบกับตัวหมาป่าฉันพุ่งไปทางด้านซ้ายเพื่อล่อให้มันหันมา
ฉันตัดสินใจกระโดดถีบตรงช่วงลำตัวของมัน ก่อนที่จะกระโจนถอยหลังกลับมา
พอได้รับแรงกระแทกเจ้าหมาป่าก็หันมาสนใจเราจนได้
” อิ๊กกี้ สร้างอานาเขตสายฟ้า”
นกตัวน้อยกางปีออกก่อนจะมีกรงรูปร่างเป็นกระแสไฟฟ้าคลุมพวกเด็ก ๆ ไว้
ย้าก! ฉันตัดสินใจพุ่งเข้าใส่มัน แน่นอนเจ้านั้นคำรามลั่นก่อนจะพุ่งตรงมาพร้อมอ้าปากกว้างเขี้ยวของมันดูใหญ่เกือบจะเท่าด้ามดาบ เรียงกันพร้อมที่จะขย้ำ ในจังหวะที่ปากของมันเข้ามาไกล้กับดาบของฉัน
“ไฟเยอร์เบลด” เอาไฟร้อน ๆ เข้าปากไปเลย
เจ้านั้นงับปากลงก่อนจะใช้มือตะปบมาโดนสีข้างของฉัน แรงกระแทกทำให้ตัวฉันพุ่งชนกับต้นไม้อย่างจัง อััก!
ให้ตายเถอะแรงอะไรกันเนี่ย มันอ้าปากอีกครั้งก่อนจะมีลำแสงพุ่งออกมาจากปากของมัน
“แย่แล้ว”
ฉันม้วนตัวหลบไปทางด้านซ้าย หลังจากสังเกตแล้วเจ้านี่ไม่ใช่มอสเตอร์หมาป่าธรรมดาแน่นอน ทั้งขนาดและพลังจากการแค่ปล่อยลำแสงทีเดียวเล่นเอาก้อนหินทะลุได้เนี่ย
มันน่าจะระดับ B แล้วมั้ง คงต้องทุ่มสุดกำลังแล้วล่ะ
“อั๊ค สวมเกราะ!”
เปลวไฟค่อย ๆ โอบล้อมรอบ ๆ ตัวจากขาขึ้นมาสะเอล และหุ้มเป็นก้อนกลม ก่อนจะแตกออก
จากชุดเกราะสีเงิน ตอนนี้กลายเป็นสีแดง ผมที่เคยมัดหางม้าตอนนี้ถูกรวบห่อเป็นเหมือนช่อดอกไม้อยู่หลังหัว
“ต้องจบให้ได้ ภายใน 5 นาที”
ฉันพุ่งเข้าใส่มันเต็มกำลัง พละกำลังของฉันหลังจากใช้ร่างนี้จะเพิ่มเป็นสองเท่า
แต่ต้องแลกมาพร้อมกับการผลาญพลังเวทมากเลยทีเดียว เหมือนว่าเจ้านั้นจะรู้ตัวมันกระโจนถอยหลังก่อนจะมีแสงเปล่งขึ้นตรงเขาของมัน
โบร๊ว!!!
“แสงมัน!” แสงสีขาวสว่างจ้าทั่วทั้งพื้นที่
แย่แล้วแบบนี้เรามองไม่เห็นอะไรแน่ ในตอนที่คิดแบบนั้นอยู่อุ้งเท้าอันใหญ่ตบมาที่ข้างลำตัวของฉันอย่างจัง
ปัก!
แต่มันไม่เหมือนคราวก่อนหรอกนะ ฉันใช้แขนคว้าขาของมันไว้ก่อนจะจับมันทุ่มลง
เอ๊ง!
สันหลังของมันโดนทุ่มกระแทกพื้นเผยให้เห็นหน้าท้องที่เป็นจุดไร้การป้องกัน
ฉันกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้า ยกดาบขึ้นเหนือหัวเปลวไฟโอบล้อมรอบใบดาบ “ไฟเยอร์เบลด เอ็กโพชั่น!”
จากนั้นดิ่งตรงพุ่งใส่เจ้าหมาตัวนั้น ตู้ม!
แรงกระแทกทำให้ฉันต้องกระโจนถอยหลังออกมาเล็กน้อย และรอดูผลลัพธ์ของสิ่งที่เกิดขึ้น
มือและขาของเราเริ่มสั่นแล้ว นั่นเป็นตัวบอกว่ามานาใกล้หมด
เขม่าควันค่อย ๆ จางไป ก่อนจะเผยให้เห็นร่างของเจ้าหมาป่าที่ยืนตระหง่านไร้รอยขีดข่วน
“อะไรกันโดนไปขนาดนั้นแล้วแท้ ๆ ”
แรงของเราใกล้หมดแล้ว อย่างน้อยต้องช่วยเด็กพวกนั้นให้ได้
ฉันหันไปหาพวกเด็ก ๆ ที่ห่างออกไปประมานหนึ่ง
“พวกเธอชั้นจะยื้อมันไว้ พวกเธอวิ่งให้เร็วที่สุดซะ ฝากพวกเขาด้วยนะอิ๊กกี้”
จากนั้นนกน้อยปลดกรงออกก่อนจะร้องแล้วบินนำทางพวกเด็ก
“รีบไป!”
จนกว่าพวกนั้นจะออกไปจากป่าได้ฉันจะเล่นกับแกเอง
ย้าก! เราเข้าห้ำหั่นกันต่อไปอีกสักพัก ดูเหมือนเจ้านี้จะสร้างโล่มานาได้ด้วย นี่มันไม่ใช่มอสเตอร์ธรรมดาแล้ว
ห่างจากจุดต่อสู้ไม่ไกลนัก
“นี่ ริชพี่ซีฟานจะเป็นอะไรรึเปล่า”
นีน่าหยุดวิ่งทำหน้าท่าทางกังวลเหมือนจะร้องให้
“เอาเถอะน่ายังนั่นบอกให้วิ่งก็วิ่งไปก่อนเถอะ”
“แต่ว่า ดูเหมือนพี่เขาจะฝืนตัวเองอยู่นะ”
“ไม่เป็นหรอกยังไงยัยนั้นก็ไม่ตายหรอกน่า”
จากนั้นเขาก็พลัก นีน่าและวิ่งไปที่ชายป่า
กลับมายังจุดต่อสู้
“ให้ตายเถอะ ไม่เคยเจอมอสเตอร์แบบนี้มาก่อนเลย”
ดูเหมือนมานาเราจะหมดแล้วด้วย ชุดเกราะก็กลับเป็นแบบเดิมแล้วครึ่งตัว
“คงมาได้แค่นี้สินะ แต่ชั้นไม่ยอมแพ้หรอก”
อาจจะคิดไปเองก็ได้แต่พอเห็นเจ้านี่แยกเขี้ยวแล้ว เหมือนมันกำลังยิ้มใส่เราอยู่เลย
“คงต้องใช้ท่าสุดท้ายแล้วสินะ”
นี่เป็นสกิลที่ฉันถูกคุณย่าสอนมาตั้งแต่เด็ก เป็นสกิลที่ยืมพลังของธรรมชาติโดยรอบเพื่อกักเก็บไว้ในตัวให้ได้มากที่สุด แล้วปล่อยออกไปในที่เดียว เป็นพลังที่แรงที่สุดของชั้นแล้ว แต่ต้องแลกมาด้วยร่างกายต้องรับภาระหนักจนไม่สามารถขยับตัวได้
ฉันปักดาบลังพื้นก่อนจะมีแสงสีทองเปล่อล้อมรอบตัว
เจ้าหมาตัวนั้นมันกลับไม่กระโจนเข้ามา แต่มันกลับยืนจ้อมมายังเรา ก่อนที่มันจะตั้งท่า
“ดูเหมือนแกก็จะตัดสินด้วยท่านั้นสินะ”
เขาของมันเปล่าแสงสีเเดง ขนของมันตั้งขึ้นทั้งตัวก่อนจะอ้าปากกว้าง ลำแสงครั้งนี้ดูท่าจะแรงกว่าเดิม
ร่างของฉันเริ่มเปล่งแสงสีทอง ผมสยายลอยปลิวไสว เสียงกระเพื่อมของพลังงานรอบ ๆ ตัวเริ่มดังแรงขึ้นก่อนที่ตัวของฉันจะลอยขึ้นกลางอากาศ
“นี่คือทั้งหมดของชั้น!” พลังงานสายธานสีทองพุ่งหมุนรอบตัวโอบอุ้ม และหมุนเร็วขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนที่ทั้งหมดจะไปรวมเข้าที่ดาบ
“overload!” ฉันฟาดดาบลงกลางอากาศพลังทั้งหมดพุ่งตรงใส่เจ้าหมาป่า
ในเวลานั้นเจ้านั่นก็ปล่อยลำแสงสีแดงออกจากปากพุ่งตรงมากที่ฉันเช่นกัน
แรงปะทะของพลังทำให้ต้นไม้แถวนั้นทนรับไม่ไหวสลายหายไปเหลือเพียงพื้นที่ว่าง ๆ แม้เเต่ต้นหญ้าสักต้นก็ไม่มี
“ถึงขนาดนี้ยังเอาแกไม่ลงอีกเหรอ?” หมาป่าตัวนั้นยังยืนตั้งตระหง่าน ไร้รอยขีดข่วนเหมือนเดิม
มีเพียงตัวเราที่กำลังร่วงจากท้องฟ้า “หายตายเถอะ ใครว่างานคุ้มกันมันง่านกันนะ”
ภาพสุดท้ายที่เห็นคือหมาป่าตัวนั้นพุ่งกระโจนมาใส่ตัวเราด้วยความเร็ว
“อา ขอโทษด้วยค่ะอาจาร์ยหนูคงรออาจาร์ยกลับมาไม่ได้แล้วล่ะค่ะ”