มืดจังเลย ที่นี่ที่ไหนน่ะ นุ่มจังเลย
“นี่ เธอจะไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”
เสียงใครน่ะ
“ไม่เป็นอะไรหรอกเราได้ใช้พลังของเรารักษาเธอแล้ว”
เสียงที่ทั้งใหญ่และนุ่มละมุน ดูเป็นเสียงขอพ่อผู้อบอุ่น ดังอยู่ข้างหูของฉัน
“แล้วเธอจะฟื้นเมื่อไหร่เหรอ”
และเสียงที่คุ้นเคยเหมือนเสียงของเอลซ่าเลย ฉันค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอยย่างช้า ๆ
“อีกสักพักคงฟื้นแล้วล่ะ เธอแค่ฝืนตัวเองไปหน่อยน่ะ”
ตรงหน้าของฉันมองเห็นภาพลาง ๆ เป็นหมาตัวใหญ่ที่กำลังนอนใช้ตัวโอบล้อมฉันอยู่
พร้อมกับเอลซ่าและ นีน่าที่นั่งกุมมืออยู่ข้าง ๆ
“เอลซ่า นี่น่า พวกเธออยู่ที่นี่ได้ยังไง”
ฉันพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง
“เจ้าหมดสติไปกลางอากาศน่ะ”
เสียงใหญ่นุ่มลึกนั่นดังมาจากด้าหลัง พอฉันหันกลับไป ถึงกับผงะ
ตรงหน้าคือเจ้ามาป่าตัวใหญ่ตัวนั้น ฉันกระโจนออกจากกอ้อมกอดของมันโดยสัญชาตญาณ
“ไม่ต้องกลัว เราไม่ทำอะไรเจ้าอยู่เเล้ว และก็ไม่ทำอะไรพวกเด็ก ๆ ด้วย”
แม้มันจะพูดแบบนั้นแต่ความระแวงของฉันก็ไม่อาจลดลง
จนนีน่า และ เอลซ่าเดินมาจับมือของฉันไว้
“ไม่ต้องกล้วนะคะพี่ ซีฟาน เขาเป็นเพื่อนของพวกเราเอง”
“เอ๊ะ เพื่อนงั้นเหรอ”
แม้ทั้งสองจะพยายามดึงตัวฉันกลับไปหาเขาแต่ด้วยร่ากายที่แข็งทื่อทำให้เด็กทั้งสองดึงไม่ไป
“ไม่…เป็น…ไร…แฮก แฮก โอ้ยเหนื่อย” ภาพของเด็กทั้งสองที่พยายามออกแรงกัดฟันดึงมือทั้งสองของฉันให้ตัวฉันขยับเข้าไปไกล้หมาป่าตัวนั้นแม้จะดูน่าตลก แต่ ก็น่าเอ็นดูในเวลาเดียวกัน
ฉันค่อย ๆ เดินตามพวกเธอเข้าไปไกล้ ๆ กับหมาป่าตัวนั้น
“เห็นมั้ยเขาไม่ทำอะไรพวกเราเลยสักนิด”
ฉันยืนเงยหน้ามองไปที่ดวงตาของเขา ตอนนี้้กลายเป็นดวงตาที่เหมือนกับเวลาที่คุณตามองตัวฉันไม่มีผิด
“เราขอแนะนำตัวหน่อยแล้วกัน เรามีนามว่า สการ์ เผ่าพันธ์ุหมาป่าเงามังกร”
เขาค่อยยืนขึ้น ภาพที่เขายืนตระหง่านสะท้อนแสงอาทิตย์สีส้มยามเย็นให้ความรู้สึกดั่งหมาป่าผู้แข็งแกร่ง แต่กลับอยู่อย่างเดียวดายอะไรแบบนั้น
และที่เขาบอกว่า หมาป่าเงามังกร นี่มัน
“หมาป่าเงามังกร”
ฉันที่่ยังสะลึมสะลืออยู่ค่อย ๆ ได้สติก่อนจะสติแตกอีกครั้ง
“เดี๊ยวนะ! หมาป่าเงามังกร!”
ฉันตะโกนเสียงหลง
“พี่ซีฟาน หูพวกเราจะแตกเอานะคะแบบนั้น”
ทั้งสองคนที่อยู่ข้าง ๆ เอามือปิดหูทำหน้ามุ่ย
“ม…หมาป่าเงามังกร ในตำนานนั่นน่ะนะ”
หากเฟนริล คือหมาป่าศักสิทธิ์ในตำนาน หมาป่าเงามังกรก็เปรียบเหมือนขั่วหตรงข้ามเป็นสัตว์ปีศาจความอันตราย SSS นี่เราต้องกำลังฝันอยู่แน่ ๆ
จากนั้นก็ตบหน้าตัวเองไปฉาดหนึ่ง
“อูย~~~เจ็บแฮะ”
“ก็ต้องเจ็บสิ คนบ้าอะไรตบหน้าตัวเอง”
เสียงที่ได้ยินจากด้านหลังคือ ริธ ที่ถือกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำมา
“เอ้าดื่มซะหน่อย จะได้หายเพี้ยน”
ไอ้เด็กนี่คนเขาจะเป็นจะตายยังเสียดสีได้เหมือนเดิมเลยนะ
“เอาล่ะ ไหน ๆ ก็จะค่ำแล้วเดี๋ยวเราจะเล่าให้ฟังขณะที่ไปส่งพวกเจ้าแล้วกันขึ้นมา”
เขาค้อมตัวหมอบลงยื่นขาด้านหนึ่งออกมาให้พวกเด็ก ๆ กระโดดขึ้นไป
“เจ้าก็ขึ้นมาด้วยสิ”
เขามองมาที่ฉันที่ยืนเก้ง ๆ กัง ๆ ทำอะไรไม่ถูกอยู่ไกล ๆ
“ใจเสาะเกินจะเป็นคนคุ้มกันแล้วมั้ง”
“ใครใจเสาะกันย๊ะ”
พอได้ยินริชพูดคำนั้น เหมือนความกลัวของฉันมันจะเปลี่ยนนเป็นความโกรธทันทีเลยค่ะ
ฉันกระโดดขึ้นไปบนหลังของเขาทันที
“จับดี ๆ ล่ะ”
จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ เดินออกจากป่าอย่าง ช้า ๆ
เขาเล่าว่าสาเหตุที่เขาต้องทำแบบนั้นเพราะะเป็นคำขอของกิลด์มาสเตอร์ว่า ให้ทดสอบฉันอีกทีเพราะว่า ตอนที่สู้กับเขาฉันไม่ยอมใช้พลังทั้งหมดที่มี นั้นจึ้งเป็นสาเหตุที่เขาแกล้งให้พวกเด็กหลอกฉันมาที่นี่ และ ก็แกล้งให้คุณ สการ์ จู่โจมฉัน
“งั้นทั้งหมดก็เป็นแผนการของกิลด์มาสเตอร์เหรอคะ”
“ใช่แล้ว เจ้านัั้นน่ะพูดแบบนี้”
[ไม่ต้องยังมือหรอกนะ คนเราถ้าไม่ถึงสถานการอันตราย จะพยายามเก็บพลังไว้ไม่ยอมใช้ แต่เมื่อเวลาที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย พวกเขาจะใช้ทุกอย่างเพื่อให้รอดจนได้]
“เพราะฉนั้นข้าก็ ต้องขอโทษด้วยแล้วกัน”
“ม..ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ มันเป็นคความผิดของฉันเองที่ไม่ยอมแสดงพลังให้เขาเห็น”
แม้จะเป็นเรื่องจริงที่เราไม่ได้แสดงพลังทั้งหมดให้เขาเห็น แต่เขารู้ได้ยังไง
“เอ๊ะ หรือว่า จดหมายจากอาจาร์ย”
ฉันเผลอหลุดปากอุทานออกไป
“ก็คงจะแบบนั้น เจ้าเป็นศิษย์ของ อาโนล สินะ ถือว่าไม่เลว คนที่ทนต้านพลังของเราได้นั้นมีไม่ค่อยเยอะหรอกนะ เราขอชื่นชม”
แน่สิ นักผจญภัยธรรมดาที่ไหนจะไปทนพลังที่ทำลายได้เกือบทั้งป่าในการโจมตีเดียวได้ล่ะคะ
เรื่องนั้นไม่สำคัญเท่าไหร่ แต่ที่สงสัยที่สุดคือกิลด์มาสเตอร์ไปรู้จักกับสัตว์ปีศาจบบนี้ได้อย่างไร
“เจ้าคงสงสัยว่าเรารู้จักกับ โซ ได้อย่างไรสินะ?”
“นี่คุณ สการ์ คุณมีเวทย์อ่านใจเหรอคะเนี่ย”
“หน้าเจ้ามันฟ้องน่ะแม่หนู”
จากนั้นเขาได้เล่าถึงเหตุการณ์เมื่อ 5 ปีก่อน
ในตอนที่ข้านั้นเร่ร่อนออกมาจากทวีปปีศาจ
เดินทางขึ้นเหนือหวังหาที่พักพิง แต่หาใช่ไม่
ทุกที่ ที่ข้าผู้นี้ไปล้วนรังเกียจตัวตนของข้า ผู้ถูกขนานนามว่า ผู้นำหายนะ
ที่ใดที่พบเห็นเผ่าพันธ์ุเรา ที่นั่นย่อมมีเภทภัย นั่นคือสิ่งที่พวกเขาคิด
ผู้คนต่างตั้งค่าหัวข้า ไล่ล่าข้า หวังกำจัดข้าผู้นี้ แน่นอนว่าหากข้าต้องการเพียงลมหายใจเดียวก็ทำให้พวกมันหายไปได้
แต่นั่นจะทำให้พวกที่ไล่ล่าข้าก่อนหน้านี้ รู้ที่อยู่ที่แน่นอนของข้า จึงเป็นสาเหตุให้ข้าต้องย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยโดยไร้จุดหมาย
จากเหนือสุดข้าได้ตัดสินใจค่อย ๆ มาฝั่งตะวันออก เรื่อย ๆ ผ่านป่าเขาน้อยใหญ่ ถิ่นที่อยู่ของเหล่าเอลฟ์ เหล่าคนแคระ ลงมายังสุดปลายใต้ของทวีปทางเหนือ ในระหว่างที่ข้าจะข้ามมายังทวีปทางตะวันออก
ข้าก็ได้พบกับเธอ ผู้หญิงที่ข้าจำไม่มีวันลืม ผมสีน้ำเงินเข้มไปทางสีดำ ดวงตาสีทับทิม รอยแผลเป็นตรงแก้มซ้าย
มัดผมหางม้ายาวประบ่า มีดาบยาวคาดที่สะเอว ใส่เพียงเกราะเบา ชิ้น 2 ชิ้น
ตัวข้านั้นไม่ได้คิดจะสู้กับเธอแม้แต่น้อย แต่ดูเหมือนฝั่งนั้นจะไม่ใช่
เธอกระโจนเข้าหาข้าโดยไร้ความลังเล ฟาดฟันดาบที่เรียวยาวอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกับรอยยิ้มอันน่าหวาดหวั่น
ดูเหมือนเธอกำลังสนุกที่ได้เจอกับคู่ต่อสู้ ที่ทนไม้ทนมือเธอได้
ข้าจึงตัดสินใจทุ่มกำลังเข้าห้ำหั่นกับเธอสักครั้ง
จนกระทั่งเวลาผ่านไป จากที่ตะวันอยู่เหนือหัวตอนนี้กลับเป็นพระจันทร์
เราทั้งสองฝ่ายเริ่มเหนื่อยหอบ ก่อนที่เธอจะปล่อยดาบแล้วทิ้งตัวลงนอน
นั่นทำให้ข้าแปลกใจยิ่งนัก
“เห้ออออ!!! พอแล้วสนุกชิบหายเลย”
ทำเอาข้าที่ตั้งท่าพร้อมสู้อยู่ถึงกับนั่งลงเหมือนกัน
“เนี่ย ถ้าไม่ติดที่แกเสียปีกสองข้างไป บางที่ฉันอาจแพ้ไปนานแล้วก็ได้”
นางลุกขึ้นนั่งขัดตะหมาด สายตามองมาทางข้า
“เจ้ารู้ด้วยเหรอว่าข้าเป็นตัวอะไร”
“ในโลกนี้มีหมาป่าไม่กี่เผ่าพันธุ์หรอกที่มีขนสีดำ ตาสีแดง และมีเขาเป็นคริสตัลตรงสันจมูกน่ะ แล้ว!นายไปโดนอะไรมาล่ะ”
ข้าได้คลายความหวาดระแวงออกและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นางฟัง
เมื่อได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดนางจึงพูดขึ้นว่า
“เรื่องแบบนี้ฉันไม่ถนัดหรอก แต่มีคนที่ถนัดกว่าอยู่ เอ้า”
นางยื่นบางอย่างให้ข้า
“ตามหาเจ้าของกลิ่นนี่ให้เจอ แล้วบอกว่า แอสเทอรี่ บอกให้มาหา เดี๋ยวหมอนั่นจะเข้าใจเอง”
ข้าสูดกลิ่นนั่นเข้าจมูก เป็นกลิ่นพลังที่แปลกประหลาด
เพราะหากเป็นสิ่งของที่ถูกใช้ของผู้คน ต้องมีไอพลังเวทจาง ๆ แต่นี่กลับไม่มีแม้แต่กลิ่นของพลังเวทย์
ในคืนนั้น เราสองคนได้เล่าเรื่องราวการเดินทางของพวกเราให้กันและกันฟัง
และรุ่งเช้าก็มาถึง
“ฉันยังมีเรื่องที่ต้องทำที่ทางเหนือ เพราะงั้น แล้วเจอกัน”
“ขอให้เจ้าโชคดี”
ในตอนที่เราทั้งสองหันหลังเดินจากกันนั้น
“นี่! นายชื่ออะไรน่ะ” นางได้ตะโกนมาจากทางด้านหลัง
“สการ์”
“งั้นไว้เจอกันที่ ซินเนสทีเซียนะ สการ์! อ้อ เจ้านั่นอาจจะออกมาหานายช้าหน่อย แต่อย่าทำร้ายใครเข้าล่ะ”
จากนั้นเราทั้งสองก็ได้เดินตามเส้นทางที่ต้องไป
ข้าได้เดินทางมาตามเส้นทางในป่าเขาเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาผู้คน
จนได้มาถึงป่าแห่งนี้ ที่มีกลิ่นของคนที่แอสเทอรี่บอกให้ข้าตามหา
แต่ด้วยร่างกายอันใหญ่โต และกลิ่นอายอันน่าหวาดหวั่นของข้า จึงไม่อาจเข้าใกล้เมืองได้
ข้าจึงอาศัยอยู่ในป่าใกล้ ๆ กับเมืองเพื่อหวังว่าจะเจอใครสักคนผ่านมา
และในตอนนั้นข้าก็ได้พบ
นักผจญภัยคนหนึ่งที่เข้ามาใกล้ถ้ำที่ข้าอาศัยอยู่
ข้าตัดสินใจออกไปพบเขาเพื่อจะถามหาคนผู้นั้น
“นี่ มนุษย์ ข้าต้องการพบใครคนหนึ่ง”
แต่กลับได้การตอบรับเป็น
“ไอ้ปีศาจ อย่าเข้ามานะ ไอ้บ้าเอ้ย!”
ทั้งที่ข้าก็พูดกับเขาดี ๆ แท้ ๆ
จากนั้นเขาได้วิ่งหนีไป สอง สามวัน ผ่านไปผู้คนก็เริ่มเข้ามาหวังจะจัดการข้า
แต่ก็ไม่มีผู้ใด้ทำได้แม้แต่รอยขีดข่วน ทั้ง ๆ ที่ข้านอนให้พวกเขาโจมตีแท้ ๆ
พวกเขาไม่ยอมฟังแม้กระทั่งคำพูดของข้า เพราะเหตุที่ว่าข้าคือสัตว์ปีศาจ
วันที่ 4 วันที่ 5 ผ่านไป คนผู้เป็นเจ้าของกลิ่นก็ไม่ยอมโผล่มา
ข้าคิดว่าหากข้าปล่อยให้ผู้คนมาหาข้าเยอะขึ้นเขาจะโผล่มา แต่กลับไร้เงา
ในวันที่ 7 ความอดทนข้าก็เหลืออด ข้ากลายเป็นเป้านิ่งให้เจ้าพวกนี้ลองสกิลมานานพอแล้ว
ข้าตัดสินใจยืนขึ้นสูดหายใจเข้าลึกสุดปอด และอ้าปากกว้าง
“ข้าต้องการพบกับ คนผู้ที่รู้จักกับ แอสเทอรี่ นางเป็นคนบอกให้ข้ามาที่นี่!!”
ข้าอัดพลังเวทย์เข้าไปในการตะโกนเพื่อให้มันดังขึ้น
ผู้คนที่ อยู่รอบ ๆ ต่างลงไปนอนกับพื้นกันหมด
“หากเขายังไม่โผล่มา ข้าจะเป็นคนเข้าไปหาเขาเอง”
ข้าแผ่ออร่าพลังเวทย์ออกมาเพื่อขู่พวกเขา จนพากันวิ่งหนีกันไปคนละทิศทาง
และข้าคิดว่าข้าน่าจะทำแบบนี้ตั้งแต่แรก เพราะในที่สุดข้าก็ได้พบกับเขา
เจ้าของกลิ่นที่ข้าเฝ้าตามหา เป็นคนที่แปลกประหลาด ทั้ง ๆ ที่ข้าไม่สามารถสัมผัสพลังเวทย์จากเขาได้
แต่กลับมีความรู้สึกที่บอกข้าว่าเขาแข็งแกร่ง
“เอ่อ คนที่สนิทกับยัยนั่นที่สุดน่าจะเป็นฉันนี่แหละ แล้วความแค้นแบบไหน”
เขาเกาหัวอันยุ่งกระเซอะกระเซิงของเขา พร้อมส่งสายตาที่เหมือนบอกเป็นในว่าพร้อมจะสู้
ข้าได้บอกเขาเกียวกับเหตุการที่ข้าเจอและสิ่งที่ แอสเทอรี่ บอกให้ข้ามาหาเขา
“อะไรกันนึกว่าเรื่องอะไร งั้นนายก็อยู่ในป่านี่แหละ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะเอาของที่จำเป็นสำหรับนายมา”
จากนั้นเขาก็เดินจากไป
และกลับมาในวันถัดมาพร้อมกับของสิ่งหนึ่ง เป็นสิ่งที่มีพลังเวทย์อันแข็งแกร่งอบอวลห้อมล้อมอยู่
“ใช้สิ่งนี้รวมเข้ากับเขี้ยวของนายซะ”
เขาโยนมันมาตรงหน้าข้า ท่าทางข้าที่งุนงงทำให้เขาเอ่ยปาก
“เห้ออออ นี่เป็นเขี้ยวของสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งกว่านาย มันจะไปกลบกลิ่นพลังเวทย์ของนาย ทำให้ไม่สามารถสัมผัสได้ รีบ ๆ ทำซะ แล้วก็อาศัยอยู่ที่นี่แหละ ส่วนเรื่องของนายฉันบอกคนในเมืองแล้วว่าเป็นสัตว์เลี้ยงของ แอสเทอรี่ เพราะฉนั้นนาน ๆ ที่จะเข้าเมืองไปก็ไม่เป็นอะไร ฉันไปล่ะ”
และนั่นคือครั้งเเรกที่เราพบกัน
“แอสเทอรี่ นี่ ใครเหรอคะ”
ฉันถามขึ้นมาด้วยความไม่รู้
“อะไรกัน นี่พี่ซีฟานไม่รู้จักงั้นเหรอคะ”
“ยัยนี่จะไปรู้อะไร ขนาดโดนหลอกยังไม่รู้ตัวเลย”
“ขอโทษแล้วกันค่ะที่ไม่รู้อะไรค่ะ พอใจนายรึยังคะห๋าาา!!!”
ฉันทำหน้ามุ่ยใส่ ริช ก่อนจะหันมาหานีน่า
“สรุปแล้วคุณ แอสเทอรี่ นี่คือใครเหรอจ๊ะ”
“ก็อันดับ 1 ของกิลด์ซินเนสทีเซียไงล่ะคะ”
………………………………………………………………………………………………………………………………
ชื่อ:สการ์
เพศ: ผู้
น้ำหนัก: — ก.ก.
ส่วนสูง: 250 ซ.ม.
อายุ: 3651 ขวบ
เผ่า: หมาป่าเงามังกร
ความสามารถพิเศษ,สกิล: ความเร็วเสียง,ลมหายใจเงา,จำแลงมังกร,ฮีล,???,???,???
ฉายา: ผู้ถูกทิ้ง,ผู้ถูกเนรเทศ
สิ่งที่ชอบ: เผ่าหมาป่าเงามังกร,แอสเทอรี่
สิ่งที่เกลียด: การทรยศ
ความฝัน: รวมฝูงอีกครั้ง