ตอนที่ 754 โปรโมชั่นที่ตลาดฮุ่ยหมิน
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ ลูกเขยทั้งสองก็รีบไปล้างจาน พ่อไป๋สุภาพผิดปกติและพูดเพียงไม่กี่คำ ก่อนจะปล่อยพวกเขาไป
พ่อไป๋ขอให้ไป๋ลู่อยู่ดูแลทารกน้อยทั้งสองในห้องรับประทานอาหาร
เขาพาไป๋เหยียนพี่สาวของหลินม่ายไปที่ห้องนั่งเล่น ก่อนที่ไป๋เซี่ยจะเดินตามเข้ามา
จากนั้นพ่อไป๋ก็ลดเสียงลงพลางถามไป๋เหยียนว่าหลังร้านขายขนมของหล่อนมีรายได้สูงขนาดนี้ พ่อแม่สามีของหล่อนมีความคิดเห็นอย่างไร?
เขาต้องการถามคำถามเหล่านี้ที่โต๊ะอาหารค่ำ แต่คิดว่าลูกสาวคงไม่สะดวกที่จะตอบ
ไป๋เหยียนพูดอย่างหดหู่ “ไม่มีใครมาทำอะไรได้หรอกค่ะ โชคดีที่อาจิ้นคิดเหมือนฉัน ไม่ว่าแม่ของเขาจะต้องการเงินมากแค่ไหน เขาก็ซื้อของขวัญและมอบให้พวกเขาในช่วงเทศกาลเท่านั้น นอกจากนี้เขาแค่ให้เซาปิ่งไส้เนื้อสองชิ้นและนมถั่วเหลืองสองถ้วยแก่แม่ของเขาทุกวัน”
ไป๋เซี่ยประหลาดใจ “แม่สามีของพี่ไปที่ร้านทุกวันเพื่อขอเซาปิ่งไส้เนื้องั้นเหรอ? เป็นแม่สามีที่น่าขันอะไรขนาดนี้ ลูกชายเปิดร้านขนม นอกจากไม่ช่วยแล้วยังขอกินฟรี หน้าหนาเกินไปแล้ว!”
ไป๋เหยียนกล่าว “ฉันเคยหยิบไปให้ห้าชิ้น แม่เขาก็รับไปทันที ก่อนนำสามชิ้นไปให้ลูกชายสุดท้องและลูกสะใภ้ พี่เขยของแกเลิกกินเซาปิ่งไส้เนื้อไปครึ่งเดือนแล้ว เพราะต้องเอาไปแบ่งให้พ่อแม่ของเขากินเป็นอาหารเช้า บอกว่าครอบครัวน้องชายไม่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ ฉันไม่รู้ว่าน้องสะใภ้ไม่พอใจและพยายามยุยงเรื่องนี้ หรือว่าคุณย่าของเถียนเถียนกำลังจับผิดพวกเรากันแน่ อย่างไรก็ตามตอนที่พ่อปู่แม่ย่ามาขอค่าเลี้ยงดู พี่เขยก็ปฏิเสธไป”
พ่อไป๋ถาม “พ่อแม่สามีของลูกต้องการค่าเลี้ยงดูเท่าไหร่?”
“100 หยวนค่ะ”
“เยอะขนาดนั้นเลย? พวกเขาคิดจะปล้นกันรึไง!” ไป๋เซี่ยพูดด้วยความโกรธ
พ่อไป๋ตบไหล่เขา “พี่เขยของลูกไม่ได้ให้เงินจำนวนนั้น ลูกจะโกรธไปทำไม?”
จากนั้นความขุ่นเคืองบนใบหน้าไป๋เซี่ยก็เลือนหายไป
หลินม่ายขัดจังหวะ “พี่เขยไม่จ่ายค่าเลี้ยงดู แล้วแม่สามีของพี่จะยอมแพ้ง่ายๆ หรือ?”
ไป๋เหยียนเม้มริมฝีปาก “พวกเธอคิดว่าแม่สามีของฉันเป็นช่างพูดหรือไง? แน่นอนว่าหล่อนต้องไม่ยอมโดยง่าย! และกำลังจะฟ้องร้องดำเนินคดี! แต่พี่เขยของเธอบอกหล่อนไปว่าอยากทำอะไรก็ทำ เขาจะจ่ายตามที่ศาลสั่งให้จ่าย มิฉะนั้นเขาจะไม่ยอมจ่ายให้คู่สามีภรรยาเฒ่าที่อายุต่ำกว่า 60 ปี”
พ่อไป๋ถาม “แล้วพ่อแม่สามีของลูกไปฟ้องศาลแล้วหรือยัง?”
“ยังไม่ได้ไปค่ะ ศาลกำหนดให้ทายาทจ่ายค่าเลี้ยงดูแก่บิดามารดาที่อายุครบ 60 ปีเท่านั้น แน่นอนว่าถ้าอายุไม่ถึง 60 ปีและไม่มีรายได้ เขาต้องจ่ายค่าเลี้ยงดู แต่พ่อสามียังไม่เกษียณอายุ เขาได้รับเงินเดือนตลอด แล้วใครควรดูแลภรรยาเฒ่าของเขากันคะ? คู่สามีภรรยาเฒ่าจะไปที่ศาลเพื่อฟ้องร้องก็ได้ แต่มันไม่มีทางเป็นคดีความหรอกค่ะ!”
พ่อไป๋พูดไม่ออก “แม่สามีของลูกเกินคำบรรยายจริงๆ”
ไป๋เหยียนยิ้ม “แม้ว่าแม่สามีจะน่ารำคาญไปบ้าง แต่สถานการณ์ของครอบครัวยังคงดีอยู่นะคะ ฉันมีเพื่อนร่วมงานผู้หญิงหลายคนที่สามีเข้าข้างแม่ตัวเอง พวกหล่อนต่างก็ถูกต่อว่าอย่างไม่เป็นธรรม”
ลูกเขยทั้งสองล้างจานเสร็จแล้วก็เดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่น ทำให้พ่อไป๋และคนอื่นๆ เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
หยางจิ้นไม่สามารถนั่งเฉยอยู่ได้ ไม่นานเขาลุกขึ้นและขอตัวจากไป
พ่อไป๋ถามด้วยความประหลาดใจ “ยังเช้าอยู่เลย ทำไมถึงรีบออกไปนักล่ะ?”
หยางจิ้นไม่พูด เพียงมองไปที่ภรรยาของเขา
ไป๋เหยียนอธิบายด้วยรอยยิ้ม “เขาอยากไปที่ร้านเพื่อดูแลธุรกิจค่ะ”
พ่อไป๋พูดด้วยความประหลาดใจว่า “ปีใหม่นี้ยังไม่ทันได้พักผ่อนเลย”
หยางจิ้นถูมือทั้งสองพลางกล่าวตอบ “ธุรกิจดำเนินได้ดีเป็นพิเศษในช่วงปีใหม่ มูลค่าการซื้อขายในหนึ่งวันจะมากเท่ากับหนึ่งสัปดาห์ในเวลาปกติน่ะครับ”
หลังจากที่พ่อไป๋ได้ยินเรื่องนี้ เขาไม่คิดรั้งอีกฝ่ายไว้ เพราะการหาเงินเป็นเรื่องใหญ่
หลังจากที่หยางจิ้นจากไป พ่อไป๋ถามไป๋เหยียนว่า “ธุรกิจยุ่งมากในช่วงปีใหม่แบบนี้ หยางจิ้นจะจัดการทุกอย่างคนเดียวได้หรือ?”
ไป๋เหยียนตอบ “เขาจ้างเพื่อนมาค่ะ”
ได้ยินแบบนี้พ่อไป๋ก็โล่งใจ
หิมะเริ่มโปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง
พ่อไป๋กลัวว่าหิมะจะตกหนักจนไป๋เหยียนและพี่น้องอาจพาครอบครัวกลับบ้านได้ยาก ดังนั้นเขาจึงขอให้พวกเขากลับบ้านก่อนเวลา
เมื่อส่งพวกเขาออกไป พ่อไป๋ก็บอกหลินม่ายว่าพรุ่งนี้หิมะตกเบาบาง เขาจะกลับไปบ้านปู่ย่าเพื่ออวยพรวันปีใหม่
เขากลัวว่าหลินม่ายจะไม่มีความสัมพันธ์อันดีกับปู่ไป๋ จึงอยากไปสวัสดีพวกเขาในวันปีใหม่
หลินม่ายพยักหน้าเห็นด้วย
หลังจากออกจากบ้านของพ่อไป๋ หลินม่ายและสามีขับรถตรงไปยังตลาดสดฝูตัวตัวเพื่อซื้อเครื่องเคียง
ที่บ้านมีปลา เนื้อ และไข่บ้างแล้ว แต่ผักต่างๆ โดยเฉพาะผักใบเขียว หลินม่ายไม่ได้ซื้อตุนไว้
ผักใบเขียวต้องกินสดๆ หากซื้อมากเกินไป มันจะไม่อร่อยหลังจากผ่านไปแล้วสองถึงสามวัน
เธอจึงต้องการซื้อเพื่อนำไปกินวันนี้
ทันทีที่เข้ามายังตลาดสดฝูตัวตัว หลินม่ายรับรู้ได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ ในตลาดมีลูกค้าเดินซื้อของน้อยมาก!
เธอพึมพำอย่างสงสัย “ทำไมมีลูกค้าน้อยขนาดนี้?”
ฟางจั๋วหรานยืนอยู่หน้าแผงลอยพลางเลือกซื้อมะเขือเทศ “บางทีผู้คนอาจซื้อเนื้อและผักจำนวนมากเมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนนี้ก็เลยมีคนออกมาซื้อของน้อยลงมั้ง”
หลินม่ายยังคงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ “มันไม่ควรเป็นแบบนั้นสิ ต่อให้ฉันจะชอบซื้อของคราวละเยอะๆ แต่ก็ยังออกมาซื้อของบางอย่างเพิ่มเติมช่วงเทศกาล ตลาดสดฝูตัวตัวของเราในเมืองเจียงเฉิงเปิดตัวมาสองปีแล้ว มีปีไหนในช่วงเทศกาลที่ไม่แออัดบ้าง?”
“บางทีเมืองเจียงเฉิงคงแตกต่างจากปักกิ่ง อุณหภูมิในเมืองเจียงเฉิงช่วงฤดูหนาวสูงกว่าในปักกิ่งมาก คุณเลยคิดว่าผู้คนในเมืองเจียงเฉิงออกมาซื้อของอย่างครึกครื้นตลอด แต่มันตรงข้ามกับที่นี่ ตลาดผักฝูตัวตัวของคุณไม่ได้ปิดในช่วงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ นั่นหมายความว่าพวกเขายังสามารถมาซื้อของได้ในช่วงปีใหม่ แล้วทำไมผู้คนต้องซื้อของจำนวนมากในครั้งเดียวล่ะ? ซื้อเยอะไปก็อาจกินไม่ทัน ในเมื่อไม่ได้ตุนอาหารไว้มากมาย จึงออกมาจับจ่ายใช้สอยช่วงเทศกาลได้ ทำให้ดูเหมือนว่ามีลูกค้าจำนวนมาก แต่เมืองหลวงนั้นต่างออกไป อาหารมักถูกซื้อเป็นจำนวนมากก่อนวันปีใหม่และแขวนไว้ใต้ชายคา ใช้อากาศที่หนาวเย็นเป็นการถนอมอาหารและยืดอายุออกไปได้ ในเมื่อตุนอาหารเพียงพอแล้ว ลูกค้าจึงออกมาซื้อของในช่วงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิน้อยลง”
หลินม่ายยังคงงุนงง “ตลาดสดของเราไม่เพียงแต่ขายปลา ไข่ และผักเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสินค้าปีใหม่ด้วย ชาวบ้านทั่วไปมักน้ำตาลทรายแดง น้ำตาลทรายขาว และขนมขบเคี้ยวเป็นของขวัญไม่ใช่เหรอ?”
“น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลทรายขาว และขนมขบเคี้ยวมีจำหน่ายในร้านค้าของรัฐ ตั๋วน้ำตาลและตั๋วขนมขบเคี้ยวที่ประชาชนทั่วไปได้รับ พวกเขาจึงไปซื้อที่ร้านค้าของรัฐ ซึ่งแพงกว่าเราไม่มาก ในวันที่หิมะตกหนัก ทำไมผู้คนถึงต้องถ่อมาซื้อของที่ตลาดสดของเราแทนที่จะไปร้านค้าของรัฐใกล้บ้าน?”
หลินม่ายรู้สึกว่าคำพูดของฟางจั๋วหรานมีเหตุผล เธอจึงคลายความสงสัยและช่วยเขาเลือกมะเขือเทศ
ในเวลานี้ หญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งกำลังคุยกันขณะซื้อผัก
หญิงวัยกลางคนร่างท้วมพูดอย่างเหยียดหยาม “ฉันคิดไว้แล้ว เหตุผลที่ตลาดสดฝูตัวตัวติดประกาศว่าพวกเขาจะไม่ปิดในช่วงปีใหม่ พวกเขากำลังวางกับดักเราจริงด้วย”
หญิงวัยกลางคนผมสั้นด้านข้างถามอย่างไม่เข้าใจว่า “พวกเขาวางกับดักเรายังไง?”
หล่อนหยิบต้นกระเทียมขึ้นมาหนึ่งกำมือ “ต้นอ่อนกระเทียมนี้เคยขาย 4 เหมาต่อ 1 ชั่งก่อนปีใหม่ แต่ตอนนี้ขึ้นราคาเป็น 5 เหมาแล้ว หัวไชเท้าสีขาวราคา 1 เหมา 5 เฟินต่อ 1 ชั่ง ตอนนี้มีราคาเพิ่มขึ้นเป็น 2 เหมา ฉันรู้ว่าราคาจะต้องเพิ่มขึ้น จึงตุนอาหารไว้จำนวนมากก่อนวันปีใหม่ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องจ่ายราคาแพงเพื่อซื้อตอนนี้”
หญิงวัยกลางคนผมสั้นกล่าว “หิมะตกหนัก มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่ตลาดสดฝูตัวตัวจะขนส่งผัก จึงเป็นเรื่องปกติที่จะขึ้นราคา”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หลินม่ายรีบตรวจสอบป้ายราคาของสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ และแน่นอนว่าสินค้าจำนวนมากเพิ่มราคาขึ้นอย่างน้อย 5 เฟินถึง 1 เหมา
ไม่ต้องพูดถึงว่ามีหิมะตกหนัก ถึงแม้จะไม่มีหิมะตก แต่แท้จริงเป็นเรื่องปกติที่ราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงปีใหม่
พนักงานทำงานล่วงเวลาช่วงปีใหม่ จึงต้องได้รับเงินเดือนและอั่งเปาเพิ่มเป็นสองเท่า
แล้วเงินมาจากไหนล่ะ แน่นอนมันมาจากการขึ้นราคา
ในเวลา หญิงวัยกลางคนที่เดินในตลาดแต่ไม่ได้ซื้อของพูดแทรกขึ้น “มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่ตลาดสดฝูตัวตัวจะขนส่งผัก แต่มันกลับง่ายสำหรับตลาดฮุ่ยหมินงั้นเหรอ? ทำไมผักและปลาของพวกเขาถึงราคาถูกกว่าตลาดสดฝูตัวตัวอีกล่ะ? ยิ่งไปกว่านั้น ปลาและเนื้อล้วนผ่านการแปรรูปแล้ว คุณสามารถรับประทานได้ทันทีหลังจากซื้อและนำไปอุ่นร้อน ท้ายที่สุดตลาดสดฝูตัวตัวก็ใจร้ายใจดำเกินไป ที่มารีดไถลูกค้าราวกับแกะอ้วนแบบนี้”
หญิงวัยกลางคนสองคนหันไปมองอีกฝ่ายพร้อมกัน
หญิงวัยกลางคนร่างท้วมพูดขึ้น “เป็นไปไม่ได้ เนื้อและผักของตลาดฮุ่ยหมินจะถูกกว่าตลาดสดฝูตัวตัวได้ยังไง? ฉันเคยไปเลือกซื้อสิ่งของที่นั่น สินค้าของพวกเขาแพงกว่าตลาดสดฝูตัวตัวเสมอ!”
หญิงวัยกลางคนที่ขัดจังหวะตอบกลับ “ฉันก็เคยคิดแบบนั้นแหละ แต่หลังจากเปรียบเทียบราคาของตลาดฮุ่ยหมินและตลาดสดฝูตัวตัว ฉันพบว่าสิ่งของที่ขายในตลาดสดฝูตัวตัวกลับแพงกว่าตลาดฮุ่ยหมิน!”
หญิงวัยกลางคนร่างท้วมและหญิงวัยกลางคนผมสั้นวางจานสิ่งของที่เลือก ก่อนเดินจากไปด้วยกัน
พวกเขาพูดว่า “เชื่อมั่นในสิ่งที่ทำ อย่ากลัวแม้ตอนนี้มันยังไม่เป็นจริง ลองไปตรวจสอบดูก่อน ถ้าเนื้อและผักในตลาดฮุ่ยหมินถูกกว่าจริงๆ เราจะได้ซื้อจากที่นั่น”
หลินม่ายกระซิบข้างหูฟางจั๋วหราน “นี่คงเป็นเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมตลาดของเราถึงขายไม่ดี”
เธอไม่สนใจที่จะเลือกซื้ออาหารอีกแล้ว จากนั้นก็เดินไปยังสำนักงานของทังอี้
ฟางจั๋วหรานจึงเดินเลือกซื้ออาหารคนเดียว
ทังอี้กำลังคุยโทรศัพท์กับจ้าวเลี่ยง เมื่อเขาเห็นหลินม่ายเดินเข้ามา เขาจึงพูดกับโทรศัพท์ว่า “คุณจ้าว ประธานหลินมาหาผม งั้นเราค่อยคุยกันวันหลัง”
เมื่อทังอี้วางสาย หลินม่ายถามเขาอย่างตรงไปตรงมา “คุณรู้เรื่องที่ว่าอาหารสดที่แปรรูปจากตลาดฮุ่ยหมินมีราคาถูกกว่าอาหารสดที่ยังไม่แปรรูปของเราไหม?”
ทังอี้พยักหน้า “ผมรู้ ผมได้ไปตลาดฮุ่ยหมินเพื่อตรวจสอบมันแล้ว”
“แล้วคุณยังขึ้นราคาสินค้าอีกเหรอ?” หลินม่ายงุนงง “มันเป็นไปไม่ได้ที่จะขึ้นราคาสินค้าในช่วงวันหยุดปีใหม่ แต่ตลาดฮุ่ยหมินกำลังลดราคา ดังนั้นเราจึงไม่สามารถขึ้นราคาสิ่งของได้ แต่ถ้าเราไม่ลดราคาลงด้วยจะเป็นอย่างไร? มันคงทำให้พวกเขามีโอกาสที่จะกลับมายืนหยัดอีกครั้ง”
ทังอี้กล่าว “เป็นเพราะผมไปดูด้วยตาตัวเองมาแล้วต่างหาก ถึงได้เพิ่มราคาให้สูงขึ้น”
หลินม่ายไม่เข้าใจ “คุณหมายความว่ายังไง?”
“อาหารสดที่พวกเขาขายนั้นไม่มีความสดใหม่เลย ทั้งหมดเป็นของสดที่ขายไม่ออกแล้วนำมาแปรรูปก่อนขายอีกครั้ง จึงไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะขายในราคาต่ำได้ ส่วนผักของเราขายหมดภายในวันเดียวกัน แม้ว่าปลาจะขายไม่หมดในวันเดียว แต่ปลาที่เหลือจะถูกนำไปใส่ในช่องแช่แข็งเมื่อตลาดปิด และจะเอาออกมาขายนานสุดแค่สองวันเท่านั้น เพื่อรับประกันความสดใหม่ของวัตถุดิบ จากราคาปัจจุบันของเรา ผมคิดว่าสมเหตุสมผลแล้ว”
เขาพูดอย่างมั่นใจ “ลูกค้าที่ไปตลาดฮุ่ยหมินเพื่อซื้ออาหารสดจะค้นพบว่าพวกเขาถูกโกง จากนั้นพวกเขาจะกลับมาซื้อสินค้าจากเรา”
หลินม่ายไม่คิดเช่นนั้น
ในอดีตผู้คนที่มักซื้ออาหารหมดอายุในร้านค้าของรัฐและซื้อผักเน่าเสียในตลาดผักของรัฐ ทำให้มีความสามารถในการปรับตัวของกระเพาะอาหารได้ดี
แม้ว่าวัตถุดิบที่พวกเขาซื้อมาจะไม่สดหรือเน่าเสีย พวกเขาก็ยังกินมันได้ตราบใดที่ราคาถูก
อย่างไรก็ตามยังมีคนรวยบางส่วนที่ไม่ขอกินของเก็บเก่าหรือเน่าเสียในราคาถูก
เช่นนั้นคงต้องเฝ้ารอดูสักสองวัน ว่าคนรวยเหล่านั้นจะกลับมาหรือไม่
หากว่าไม่ เธอคงต้องลดราคาลงอีก
ในเวลานี้ ตลาดฮุ่ยหมินในเขตเจ้าหยางมีผู้คนเนืองแน่น
ลูกค้าเห็นว่าปลารสเผ็ดมีราคาเพียง 5 เหมาต่อ 1 ชั่ง หมูสามชั้นตุ๋นราคา 6 เหมาต่อ 1 ชั่ง ซึ่งถูกกว่าเนื้อหมูและปลาแช่แข็งที่ขายในตลาดสดฝูตัวตัว ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจซื้อในทันที
ผู้จัดการเฉียนยืนดูอยู่ไม่ไกลพลางยิ้มแย้มแจ่มใสด้วยความยินดี
ทว่าแม่บ้านผู้เฉลียวฉลาดสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ หล่อนหยิบปลารสเผ็ดขึ้นมาดมพร้อมขมวดคิ้วมุ่น
จากนั้นหยิบหมูตุ๋นอีกชิ้นขึ้นมาดม ก่อนที่คิ้วทั้งสองจะขมวดเป็นปมกว่าเดิม
หล่อนเม้มปากและพูดว่า “ฉันคิดไว้แล้วว่าทำไมถึงขายราคาถึงถูกนัก ปลาและเนื้อพวกนี้มีกลิ่นเหม็นทั้งคู่”
หินก้อนหนึ่งทำให้เกิดคลื่นนับพัน ลูกค้าจำนวนมากโน้มตัวเข้าไปใกล้เพื่อดมกลิ่น ซึ่งมันมีกลิ่นเหม็นจริงๆ
ลูกค้าบางคนที่เพิ่งซื้อปลาเผ็ดหรือหมูตุ๋น พวกเขาพลันเปิดถุงและชิมตรงนั้น
แม้ว่าเกลือและเครื่องปรุงรสจะเข้มข้น แต่ก็ยังได้กลิ่นที่ไม่ดีอยู่
ลูกค้าหลายรายเริ่มโวยวายและขอคืนสินค้า
ซูอวี้อิ๋งที่เพิ่งกลับมาจากบ้านเกิดกลอกตาด้วยความเหยียดหยาม
คนยากจนเหล่านี้เคยกินแม้แต่ผักกาดเน่าๆ แต่กลับจู้จี้จุกจิก อาหารมีกลิ่นนิดหน่อยก็ทำเป็นรังเกียจ
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผู้จัดการเฉียนเข้าไปคุยกับลูกค้าที่กำลังโกรธ “ต่อให้ปลาและเนื้อของเราจะเสียนิดหน่อย แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะครับที่พวกคุณจะหาซื้อปลาและเนื้อสัตว์ราคาดีขนาดนี้ คุณภาพสินค้าย่อมเป็นไปตามราคา ไม่ต้องกังวลถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์ พวกคุณกินมันได้อยู่แล้ว! คุณสามารถเลือกซื้อได้หากต้องการ และหากคุณไม่พอใจกับการซื้อของคุณ คุณสามารถคืนสินค้าได้ ตราบใดที่คุณจะไม่เสียดายในภายหลัง ปลารสเผ็ดและหมูตุ๋นราคาถูก ถ้าไม่ซื้อในวันนี้ พรุ่งนี้คุณจะหาซื้อไม่ได้แล้วนะครับ”
สิ้นเสียงผู้จัดการเฉียนถอยออกไป แต่ลูกค้าเหล่านั้นเกิดความลังเล
ปลาและเนื้อแปรรูปเหล่านี้ราคาถูกจนน่าขัน
แม้ว่ามันจะเน่าเสียและไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ แต่ก็สามารถทำให้อิ่มท้อง
กรณีที่แย่ที่สุดก็แค่ท้องเสีย ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ท้ายที่สุดไม่เพียงผู้คนไม่ส่งคืนสินค้า แต่ยังกวาดซื้อสินค้าแปรรูปราคาถูกเหล่านั้นจากตลาดอีกด้วย
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ต่อให้ตอนนี้ขายดี แต่เชื่อว่าอีกไม่นานตลาดเจ๊งแน่ เพราะจะมีแต่คนมาฟ้องร้องหลังกินไปแล้วป่วยขึ้นมา
ไหหม่า(海馬)