“เจ้าพวกนั้นคือแมลงกินซากสัตว์ อย่าได้แตะต้องพวกมันเชียว ทันทีที่เจ้าแตะต้องพวกมัน เจ้าจะไม่สามารถสลัดมันออกได้” ผู้เฒ่าหลี่ลดเสียงลงจนทำให้ทุกคนอดรู้สึกหนักใจไม่ได้
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง
แต่ในเวลานั้น หนีเฟิ่งผู้เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลหนีที่เงียบมาตลอดกลับเอ่ยแสดงความคิดเห็นขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า ”ผู้เฒ่าหลี่ ท่านหมายถึงแมลงกินซากศพหรือ”
“ใช่แล้วขอรับ” ผู้เฒ่าหลี่หันหน้าไปมองนางด้วยสีหน้าราวกับเห็นทางสว่าง ”ข้าไม่อยากเชื่อเลยขอรับว่าคุณหนูหนีจะรู้เรื่องแมลงกินซากศพด้วย ช่างรอบรู้จริงๆ!”
หนีเฟิ่งยิ้มออกมาเล็กน้อย ผ้าไหมสีขาวโปร่งแสงที่ปิดบังใบหน้าของนางเผยความงามราวกับเทพธิดาออกมาให้เห็นอย่างแจ่มชัด ”ไม่หรอก ในฐานะของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายแล้ว นี่เป็นเพียงความรู้ทั่วไปเท่านั้น”
ผู้เฒ่าหลี่รู้ว่านางกำลังถ่อมตัว ดูจากปฏิกิริยาของผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่อยู่รอบตัวเขาแล้ว เขาก็สามารถบอกได้ว่าสุสานธรรมดาคงไม่มีแมลงกินซากศพด้วยเหตุผลสองประการ ประการแรกคือเพราะสุสานแห่งนั้นยังขุดลึกลงไปไม่พอ และประการที่สองคือเพราะระยะเวลาก่อตั้งสุสานยังไม่นานพอ
การที่นางรู้เรื่องนี้จึงนับว่าผิดปกติทีเดียว เพราะมีแต่คนที่เข้าไปในสุสานเป็นประจำเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้เจอกับแมลงกินซากศพ
แต่ผู้เฒ่าหลี่ก็มองข้ามความสงสัยที่เขามีในใจก่อนหน้านี้ไป
อาจเป็นเพราะเขาผ่านทางปล้นสุสานมามากเกินไป จึงทำให้เขาเข้าใจผิดไปเองเช่นนี้
พระชายาตัวจริงอยู่ตรงหน้าเขาแท้ๆ แต่เขากลับยังรู้สึกว่าเด็กหนุ่มหน้าตาบริสุทธิ์งดงามคนนั้นดูคล้ายผู้มีพระคุณที่ปรากฏตัวขึ้นในความฝันของเขามากกว่า
นี่… คงเป็นเพราะเขาแก่มากแล้ว สมองของเขาถึงได้เลอะเลือน
ผู้เฒ่าหลี่ส่ายหน้า แต่ไม่ได้ตอบอะไรต่อ เขาก้าวออกไปข้างหน้า แล้วยกคบเพลิงในมือขึ้นส่องทางเดินที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกับทิ้งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายกลุ่มหนึ่งที่ยังง่วนอยู่กับการสรรเสริญหนีเฟิ่งไว้ข้างหลัง
“สมกับที่ถูกขนานนามให้เป็นพระชายายิ่งนัก แม้กระทั่งเรื่องนี้ท่านก็ยังรู้จัก หากในครั้งนี้ท่านนำพระสรีระกลับมาได้ กลุ่มของเราย่อมเต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้ แม้ว่าเราจะต้องแพ้ให้กับคุณหนูหนี แต่การเดินทางครั้งนี้ก็นับว่าคุ้มค่า”
ทันทีที่ได้เห็นภาพนี้ หนีหู่ที่หน้าซีดอยู่ก็เผยรอยยิ้มออกมา หางคิ้วของเขาแฝงไปด้วยความภาคภูมิใจ เขามองไปที่พวกเฮ่อเหลียนเวยเวย ก่อนเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ ว่า ”พี่สาวของข้าเป็นคนรอบรู้แต่รู้จักถ่อมตน ไม่เหมือนคนบางคนที่นี่ที่มีความรู้เพียงเล็กน้อยแต่กลับเอาแต่อวดภูมิ คนประเภทนั้นอาจเก่งแต่ปาก แต่หลังจากนี้ตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์จริง พวกเขาอาจจะกลัวจนหยุดหายใจเลยก็ได้ ดูอย่างแมลงกินซากศพพวกนี้สิ บางคนยังปวดหัวกับพวกมัน และหาทางสลัดพวกมันออกจากตัวอยู่เลย”
ฟังจากคำพูดของเขา ทุกคนก็สามารถบอกได้ว่าเขากำลังพาดพิงถึงใคร
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายต้องยอมรับว่าหนีหู่พูดได้น่าคิดทีเดียว อย่างไรเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ก็เกิดจากปัจจัยทางด้านสิ่งแวดล้อมของสุสานโบราณแห่งนี้ และมันก็เอื้อต่อการทำให้กลุ่มของจูเก่ออวิ๋นที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาดูเฉลียวฉลาดขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครเคยได้เห็นพวกเขาแสดงความสามารถออกมาเลยแม้แต่คนเดียว
แต่กลุ่มของเฮ่อเหลียนเวยเวยกลับดูไม่ได้สนใจคำดูถูกของหนีหู่แต่อย่างใด โดยเฉพาะองค์ชาย ในสายตาของเขามีแต่เฮ่อเหลียนเวยเวย และมีเพียงนางคนเดียวเท่านั้น ส่วนมนุษย์คนอื่นนั้น พวกเขาเป็นเพียงแค่อาหารที่สามารถแจกจ่ายกันได้ แม้แต่วิญญาณของพวกเขาก็ไม่สามารถทำให้เขาสนใจที่จะทำลายได้ เพราะกลิ่นของพวกมันไม่หอมหวานเอาเสียเลย
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เข้าใจว่าทำไมสีหน้าขององค์ชายถึงได้ดูเหมือนเจ้าแมวจอมจู้จี้จุกจิก ทั่วร่างของเขาล้อมรอบไปด้วยความสง่างาม มันทั้งสูงส่งและเย่อหยิ่งเหมือนกับตัวเขาตอนเด็ก สมัยที่ยังเป็นองค์ชายตัวน้อยน่ารัก นางรู้สึกอยากอุ้มเขาขึ้นแล้วบีบแก้มเขายิ่งนัก
เฮ่อเหลียนเวยเวยทำตามที่คิด
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมีสีหน้างุนงงตอนที่นางบีบแก้มเขา เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับเผยความชั่วร้ายออกมา ”เจ้าอยากให้ข้าช่วยถอดเขี้ยวเล็บให้เจ้าอีกครั้งหรือ”
ดวงตาเป็นประกายแต่กระจ่างใสของเฮ่อเหลียนเวยเวยเจือไปด้วยรอยยิ้มซุกซน ”เปล่าเสียหน่อย ข้าแค่อยากจูบท่าน แต่น่าเสียดายที่มีคนอยู่รอบตัวเรามากถึงเพียงนี้” นางรู้ว่าองค์ชายไม่ชอบถูกคนอื่นมอง นางจึงไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเขา ’ลอบโจมตี’ เอาได้ และควรใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้จีบเขาให้หนำใจ
“เจ้าดูอารมณ์ดีทีเดียวนี่” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาเต็มไปด้วยความเย้ายวน
“อือฮึ” เฮ่อเหลียนเวยเวยเดินต่ออย่างอารมณ์ดีพร้อมกับคิดว่าองค์ชายคงไม่มีโอกาสทำอะไรนางได้ เรื่องนี้ทำให้นางนึกถึงความทรงจำแสนสุขจากการแกล้งองค์ชายในสมัยนั้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้หยุดนาง และทำเพียงแค่โน้มตัวลงมาเล็กน้อยเท่านั้น จากมุมนี้ทุกอย่างดูปกติดี แต่อันที่จริงแล้วเขากลับเข้ามาใกล้เฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างมาก แพขนตายาวหนาก่อตัวเป็นเงาตามการเคลื่อนไหวของเขา มันดูน่าหลงใหลอย่างมาก ”เจ้ารอก่อนเถอะ รอจนกว่าจะไม่มีใครอื่น แล้วข้าจะสนองความปรารถนาให้เจ้าเอง”
เฮ่อเหลียนเวยเวยตัวแข็งทื่อ
คนที่แกล้งเขาควรจะเป็นข้าไม่ใช่หรือ ทำไมตอนนี้ถึงให้ความรู้สึกกลับกันเสียแล้วล่ะ
ยิ่งกว่านั้นนางก็ยังรู้ว่าองค์ชายเป็นคนพูดจริงทำจริง…
“อะแฮ่ม” เฮ่อเหลียนเวยเวยลดเสียงลงจนได้ยินกันเพียงแค่สองคนเท่านั้น แล้วพูดว่า ”อันที่จริง ท่านไม่จำเป็นต้องเติมเต็มความปรารถนานี้ให้ข้าก็ได้”
“ในฐานะปีศาจรับใช้ของนายท่าน ข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ เพิ่มเสียงขึ้นในตอนท้าย เสน่ห์อันเย้ายวนทะลักออกมาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าของเขา ”ดังนั้นแน่นอนว่าข้าย่อมพร้อมที่จะเติมเต็มความต้องการของผู้เป็นนายทุกเมื่ออยู่แล้ว”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่ท่านก็จูบข้าไม่ได้อยู่ดี
ไม่สิ ไม่ใช่อย่างนั้น
อย่างไรนายน้อยอวิ๋นก็ยังเดินตามหลังพวกนางอยู่ตลอด
ดังนั้นองค์ชายย่อมไม่มีโอกาสได้ลงมือแน่…
“ท่านแม่ของพวกเราเชื่อในตัวของท่านพ่อเกินไป” ทารกที่ตัวเล็กกว่าลืมตาตื่นขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อเขาได้ยินเสียงจากด้านนอก น้ำเสียงอันแผ่วเบาของเขาแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
ทารกที่ตัวโตกว่ายื่นมือออกไปปกป้องคนตัวเล็กกว่า พร้อมกับถามกลับอย่างไม่แยแสว่า ”ท่านพ่อของพวกเราเคยมีจริยธรรมอย่างคนอื่นเขาด้วยหรือ”
ทารกที่ตัวเล็กกว่า : …
พี่ชายของเขาเกลียดผู้เป็นพ่อเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงเริ่มพูดจาแดกดันอีกฝ่ายอย่างรุนแรง…
เมื่อเทียบกับครอบครัวสี่คนพร้อมหน้าที่กำลังมีความสุขอย่างล้นเหลืออยู่นั้น คนอื่นๆ ก็เหมือนกับแมลงวันไร้หัวที่ทำได้เพียงแค่ยืนอยู่นิ่งๆ ไม่รู้จะไปทางไหน
ที่เป็นเช่นนี้เพราะพวกเขาพบทางเข้าสี่ทางมุ่งหน้าไปยังทิศหลักทั้งสี่ แต่ละเส้นทางมีรูปแกะสลักหินของสัตว์อสูรชื่อดังในประวัติศาสตร์ตั้งอยู่ ไม่ว่าจะเลือกเส้นทางใด ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ดูจะไม่ได้เป็นไปตามที่พวกเขาปรารถนานัก
แต่ตอนนั้นนั่นเองที่มีคนตะโกนขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า ”เสี้ยวจื่อกับกัวจื่ออยู่ไหน พวกเขา… พวกเขาหายไปไหนแล้ว”
เสี้ยวจื่อและกัวจื่อคือศิษย์สองคนของตระกูลหนีที่เพิ่งตายไปเมื่อครู่นี้
ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หันกลับไปมองทันที ร่างสองร่างที่เคยนอนอยู่บนพื้นหายไปแล้วจริงๆ อีกทั้งยังไม่ทิ้งร่องรอยอันใดเอาไว้อีกด้วย
พวกเขาหายตัวไปได้อย่างไร เป็นไปได้หรือเปล่าว่านอกจากพวกเราแล้ว ในสุสานแห่งนี้ยังมีคนอื่นอยู่อีก
หรือพวกเขาจะกลายเป็นผีดิบไปแล้ว?
แต่ถึงจะเป็นผีดิบ อย่างไรพวกมันก็ต้องมีเงามิใช่หรือ
เช่นนั้นพวกเขาหายไปไหนล่ะ
มีคำถามเกิดขึ้นคำถามแล้วคำถามเล่า
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่มีประสบการณ์ไม่รู้สึกกังวลเลยสักนิดเดียว อย่างไรถ้าพวกเขากลายเป็นผีดิบไปแล้วจริงๆ พวกเขาก็ยังมียันต์คอยรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้อยู่
ตรงกันข้ามกับหนีหู่ผู้อ่อนประสบการณ์ เขารู้สึกเย็นวาบไปถึงสันหลังจนไม่ทันได้สังเกตเลยว่าขาของตัวเองบังเอิญสัมผัสเข้ากับแมลงกินซากศพที่อยู่ด้านหลังรูปแกะสลักเข้า จากนั้นเสียงดังเอี๊ยดก็พลันก้องกังวานไปทั่วทุกทิศทาง!