“เสียงอะไรน่ะ” เดิมทีหนีหู่ก็รู้สึกหวาดกลัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มาตอนนี้เมื่อเขาได้ยินเสียงนั้น เขาก็รีบก้าวถอยหลังแล้วหันไปมองยังต้นเสียง
ดวงตาของบรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายต่างค่อยๆ เบิกกว้างขึ้นทีละน้อยขณะตะโกนขึ้นมาเสียงดังว่า ”แมลงกินซากศพ! รีบอยู่ให้ห่างจากพวกมันเร็วเข้า!”
หนีหู่สังเกตเห็นพวกมันเช่นกัน ห่างจากเขาไปไม่ถึงสามชุ่น แมลงสีดำตัวหนึ่งที่เดิมทีเคยเกาะอยู่บนรูปแกะสลักหินถูกปลุกให้ตื่นขึ้น หนวดสองเส้นของมันตั้งตรงเหมือนมีดสั้น ก่อนจะพุ่งตัวเข้าใส่เขาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ!
หนีหู่ตกใจแทบสิ้นสติ ขาของเขาอ่อนยวบกลายเป็นวุ้น เขาทำได้เพียงแค่ใช้สองมือยันร่างตัวเองไว้กับพื้นเท่านั้น เขาถอยห่างจากสิ่งนั้นราวกับพยายามหนีเอาชีวิตรอด ขณะเดียวกันก็ตะโกนออกมาสุดเสียงว่า ”ท่านพ่อ ช่วยข้าด้วย!”
ท่าทางตื่นตระหนกสุดชีวิตของเขาช่างดูน่าสมเพชเกินจะกล่าว!
หนีเปียวอยู่ห่างจากเขาพอสมควร ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถช่วยเขาได้ทันเวลา
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่อยู่ใกล้กับหนีหู่ที่สุดไม่มีเวลามาคิดถึงชัยชนะ พวกเขาทนเห็นหนีหู่ตายไม่ได้
พวกเขาโยนเชือกตรึงวิญญาณในมือออกไปแล้วดึงร่างของหนีหู่ขึ้น หลังจากออกแรงดึงอย่างแรง ในที่สุดพวกเขาก็สามารถกันไม่ให้เด็กหนุ่มต้องเสี่ยงถูกแมลงกินซากศพแทะเครื่องในได้
แต่หนีหู่ยังไม่สามารถวางใจได้ในเวลานี้ เพราะแมลงกินซากศพพุ่งเป้ามาที่เขา และเขาไม่รู้ว่าจะกำจัดมันได้อย่างไร
ทันทีที่เท้าถึงพื้น เขาก็รีบเททุกอย่างออกมาจากย่ามของตัวเองทันที แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าจะรับมือกับแมลงกินซากศพได้อย่างไร
ถ้าหนีเฟิ่งไม่เตือนให้เขาใช้ยันต์จุดไฟ เขาก็อาจจะยังไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร
หลังจากหนีหู่พบวิธีตอบโต้ เขาก็ไม่กลัวพวกมันอีกต่อไป เขาหยิบยันต์ทั้งหมดออกมาพร้อมกัน และใช้พลังวิญญาณของตัวเองจุดยันต์นั้น แล้วปาพวกมันไปทางแมลงกินซากศพ!
เสียงดังกรอบแกรบสะท้อนไปในอากาศ!
ไฟที่เขาจุดลุกท่วมไปทั่วตัวของแมลงกินซากศพ ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่อยู่ในสุสาน ดังนั้นมันย่อมถูกกำจัดได้อย่างง่ายดายด้วยการใช้ไฟที่เกิดจากพลังวิญญาณ เมื่อได้ยินเสียงไฟ หนีหู่ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ก่อนจะทรุดกายลงนั่งกับพื้น
แต่ทันใดนั้นผู้เฒ่าหลี่กลับพึมพำกับตัวเองว่า ”ซวย ซวยแล้ว!”
หนีหู่ไม่ทันมีโอกาสได้ถามว่าเกิดอะไรขึ้นเลยด้วยซ้ำ
เพราะสิ่งเดียวที่เขาเห็นก็คือแมลงฝูงใหญ่ที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาราวกับน้ำหลากจากบริเวณด้านหลังของแมลงตัวที่เขาเพิ่งเผาไปหมาดๆ พร้อมกับเสียงร้องแหลมชวนขนหัวลุก
หนีหู่กลัวจนตัวแข็ง ดวงตาของเขาค่อยๆ เบิกกว้างขณะที่ขาก็สั่นอย่างรุนแรง เขาไม่รู้แล้วว่าตัวเองกลืนน้ำลายลงคอไปแล้วกี่ครั้ง
ว่ากันว่าคนเราจะสามารถดึงความสามารถอันสูงสุดของตัวเองออกมาได้เพื่อรักษาชีวิต กรณีของหนีหู่ก็ใกล้เคียงกันกับคำพูดนั้น เขารีบวิ่งไปหลบที่ด้านหลังโดยไม่คิดที่จะลังเล
เขาต้องการตัวตายแทน!
นอกจากนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็กำลังยืนอยู่ข้างหลังเขาพอดี ดังนั้นถ้าเขาวิ่งผ่านชายคนนี้ไป แมลงกินซากศพที่กำลังพุ่งเข้ามาจะต้องกินชายผู้อวดดีคนนี้แทนอย่างแน่นอน!
หากใช้วิธีนี้ ก็คงไม่มีใครมองว่าเขาเป็นคนไร้ประโยชน์!
เพื่อรักษาชีวิตตัวเอง จิตใจของหนีหู่จึงเต็มไปด้วยความคิดชั่วร้ายอย่างที่สุด
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายตกอยู่ในความสับสนทันทีที่เขาออกวิ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงกระจัดกระจายกันไปทั่วบริเวณนั้นอย่างรวดเร็ว!
ทุกคนถือยันต์อยู่ในมือ หนีหู่วิ่งเร็วเสียจนศีรษะของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาลดความเร็วลงหลังจากวิ่งผ่านไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมาแล้ว และรีบหลบไปซ่อนตัวที่ด้านข้างด้วยความว่องไวพร้อมกับวางฝ่ามือทั้งสองข้างของตัวเองลงบนเข่า เขาหอบหายใจขณะจ้องไปที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่กำลังจะเผชิญหน้ากับฝูงแมลงกินซากศพเหล่านั้นตาไม่กะพริบ เขากระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ข้าไม่เชื่อหรอกว่าคราวนี้ข้าจะกำจัดเจ้าไม่ได้!
“พี่เจวี๋ย!” ดวงตาของจูเก่ออวิ๋นเบิกกว้าง เขาคิดจะพุ่งเข้าไปพร้อมกับกระบี่ไม้ท้อในมือ!
แต่ไม่มีเวลาแล้ว
แมลงกินซากศพรุดเข้ามารวดเร็วและดุร้ายเกินไป พวกมันกำลังจะไปถึงขาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแล้ว!
มันสายเกินไปกว่าที่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจะสามารถช่วยเขาได้!
“พี่เจวี๋ย!” จูเก่ออวิ๋นตะโกน!
ทุกคนคิดว่าหนนี้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคงถึงที่ตายอย่างแน่นอน ดวงตาของพวกเขาเริ่มฉายความเห็นใจออกมา
แต่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับกระตุกยิ้มขึ้น เขายิ่งดูงดงามเมื่ออยู่ภายใต้แสงสว่างจากคบเพลิง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังดูชั่วร้ายขึ้นอีกด้วย ร่างของเขาดูเหมือนกับดอกปี่อั้นที่ผลิบานอยู่ในแดนปีศาจ
รูปลักษณ์อันหล่อเหลานั้นยากจะหาใครเทียม
เขาเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางสบายๆ สันกรามล่างดูราวกับอ่าวอันเงียบสงบ บรรยากาศเยือกเย็นและสง่างามที่เขามีเป็นปกตินั้นทำให้ทุกคนยากจะละสายตาออกจากเขาได้
ขนนกสีดำอันเป็นสัญลักษณ์ของบาป ความหม่นหมอง และความละโมบร่วงลงมาอย่างต่อเนื่องในบริเวณที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
บทเพลงแห่งปีศาจบรรเลงขึ้นพร้อมกับเสื้อคลุมตัวยาวที่ลอยอยู่ในอากาศ เสื้อคลุมตัวนั้นราวกับจะสามารถโอบกอดดวงดวงได้อย่างชัดเจน
สายลมพัดเข้ามาจากทุกทิศทุกทางจนผมสีดำราวกับน้ำหมึกของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยุ่งเหยิง แต่เขากลับทำเพียงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่าง ความเย็นชาไม่แยแสและบรรยากาศอันเหนือกว่าของเขาแฝงไปด้วยความชั่วร้ายและแผ่กลิ่นอายแห่งความมืดที่มนุษย์มองไม่เห็นออกมา
เขามองไปที่ฝูงแมลงกินซากศพเหล่านั้นแล้วหรี่ตาลง เสื้อคลุมสีขาวของเขาปลิวไสว ทันทีที่เขาอ้าปากขึ้นทำลายความเงียบภายในสุสาน คำพูดที่ออกมาจากปากเขานั้นเห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยคำเตือน ”ไปให้พ้น!”
มันเป็นคำพูดง่ายๆ เพียงประโยคเดียว แต่กลับเพียงพอที่จะทำให้ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายได้เห็นภาพอันน่าทึ่งที่สุด!
แมลงกินซากศพที่กำลังยื่นหนวดยั้วเยี้ยของพวกมันไปมาหยุดการโจมตีไปอย่างกะทันหันราวกับมีบางอย่างมาขวางทางเอาไว้ พวกมันเริ่มถอยร่นกลับไปคนละทิศละทางอย่างทุลักทุเล แต่ไม่มีตัวไหนเฉียดเข้าใกล้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลยสักตัว!
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายตกตะลึง!
พวกเขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังฝันไป
พลังวิญญาณของคนคนนี้ต้องแข็งแกร่งถึงเพียงใดกันจึงจะสามารถเอาชนะแมลงเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องลงมือต่อสู้ มิหนำซ้ำเขายังไม่ได้ขยับนิ้วแม้แต่นิ้วเดียวเพื่อสั่งแมลงกินซากศพเหล่านี้อีกด้วย
“ไม่มีทาง! มันจะเป็นไปได้อย่างไร”
“เมื่อครู่นี้เขาทำอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”
“ไม่เลย เขาแค่พูดว่า ’ไปให้พ้น’ เท่านั้นเอง!”
จูเก่ออวิ๋นรีบกระตุกแขนเสื้อของเฮ่อเหลียนเวยเวย ”พี่เว่ย ท่านเห็นหรือไม่ขอรับ! พี่เจวี๋ยเพียงพูดว่า ’ไปให้พ้น!’ แล้วแมลงกินซากศพพวกนั้นต่างก็กลัวจนรีบหนีไป อย่างกับว่าพวกมันเข้าใจคำพูดของเขาอย่างไรอย่างนั้นเลยขอรับ!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบจมูกพร้อมกับนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนอยู่ที่น้ำตกซางไฮ่ขึ้นมา เพียงแค่เขาพูดว่า ’ไปให้พ้น!’ สัตว์อสูรผู้ยิ่งใหญ่อะไรนั่นก็กลัวตายแทบแย่แล้วเช่นกัน
ช่างเป็นสัตว์อสูรที่น่าสงสารยิ่งนัก ป่านนี้มันคงซ่อนตัวอยู่ในน้ำและไม่กล้าก่อเรื่องอะไรอีกแน่ๆ
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยเข้าใจความรู้สึกของสัตว์อสูรใต้น้ำตัวนั้นเป็นอย่างดี
แต่สาเหตุที่ทำให้มันไม่ก่อเรื่องอีกนั้นไม่ได้มาจากความกลัวเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นเพราะว่ามันกำลังเสริมหล่อให้ตัวเองอยู่ต่างหาก
ใช่ มันกำลังเสริมหล่อให้ตัวเองอยู่
สัตว์อสูรใต้น้ำตัวนั้นจะว่าเป็นปลาก็ไม่ใช่เป็นไก่ก็ไม่เชิง เวลานี้มันกำลังจ้องมองกระจกสัมฤทธิ์อยู่ใต้น้ำ เมื่อมันคิดว่าตัวเองอาจจะได้พบกับองค์ราชาอีกครั้ง มันก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้!
ตราบใดที่องค์ราชาไม่ได้ทำลายจนข้ากลายเป็นผุยผง ข้าก็ยินดีน้อมรับทุกโทษทัณฑ์จากเขา!
สัตว์อสูรพยักหน้าให้ตัวเองในกระจก ข้านี่มันน่ารักน่าเอ็นดูจริงๆ!
มันไม่รู้เลยว่าในเวลาเดียวกันนั้น ก่อนที่แมลงกินซากศพในสุสานหลวงจะทันได้มีโอกาสมองให้ชัดๆ ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกมันคือใคร ร่างของพวกมันก็รู้สึกปวดร้าวเพราะความกดดันจากพลังปีศาจอันรุนแรง
พวกเขาไม่ใช่มนุษย์ทั้งหมดหรอกหรือ
ทำไมถึงมีสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์อยู่ด้วยล่ะ
แมลงกินซากศพรู้สึกเหมือนพวกมันได้พบกับคู่ต่อสู้ที่ตัวเองไม่สามารถเอาชนะได้ ดังนั้นพวกมันจึงพากันวิ่งหนีด้วยความแตกตื่น พวกมันรีบกลับไปประจำตำแหน่งเดิมของตัวเองอย่างเป็นระเบียบ
พวกมันกลัวว่าถ้าหนีช้าไม่ทันการแล้วจะถูกเท้าของชายคนนี้เหยียบจนบี้แบน!
โอ้ สวรรค์ คนคนนั้นจะน่ากลัวเกินไปแล้ว!
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดอยู่เหมือนกันว่าความเสียหายที่องค์ชายสร้างไว้กับสัตว์อสูรเหล่านี้รุนแรงจนอยู่ในขั้นไร้มนุษยธรรมทีเดียว
แต่จูเก่ออวิ๋นอุตส่าห์ตั้งท่าไว้เสียดิบดี ท่านควรรอให้เขาฆ่าแมลงกินซากศพให้ได้อย่างน้อยสักตัวก่อนแล้วค่อยไล่พวกมันไปมากกว่า…