ตอนที่ 758 ซูอวี้อิ๋งขึ้นราคาสินค้า
จ้าวเลี่ยงดูเป็นกังวลขณะกล่าวคำ “รีบเร่งขนาดนั้น ผมคงหาธัญพืชสิบตันไม่ได้ และก็แทบหาซื้อน้ำมันพืชไม่ได้แม้แต่ครึ่งตัน”
“แล้วตอนนี้คุณเอาอาหารออกมาได้เท่าไหร่?”
“แป้งบวกข้าว รวมเป็นสามตัน” จ้าวเลี่ยงตอบ “นี่คือสินค้าทั้งหมดที่อยู่ในคลังของผม”
หลินม่ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นคุณส่งธัญพืชทั้งสามตันมาที่นี่ แล้วรีบส่งคนไปยังชนบทเพื่อหาซื้อธัญพืชและน้ำมัน”
จ้าวเลี่ยงส่งเสียงตอบรับ หลังจากวางสายโทรศัพท์ เขาก็เริ่มทำสิ่งต่างๆ ตามคำแนะนำของหลินม่าย
หลินม่ายกลับไปยังห้องอาหารเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน
คุณปู่ฟางและคนอื่นๆ นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารขณะรอเธอคุยธุระเสร็จ
หลินม่ายพูดขึ้นอย่างขุ่นเคือง “คุณปู่คุณย่าคะ ฉันบอกตั้งหลายครั้งแล้วว่าให้กินข้าวก่อนเลย ในฤดูหนาวอาหารจะเย็นเร็ว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรอฉัน~”
คุณปู่ฟางยิ้มอย่างร่าเริง “การกินหม้อไฟก็ต้องรอกินพร้อมกันทั้งครอบครัวสิ ถึงจะอร่อย”
คู่สามีภรรยาเฒ่าหยิบหม้อไฟขึ้นมา ส่วนอีกคนเติมถ่านลงในเตา ก่อนที่ไฟจะลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
ทุกคนกินหม้อไฟด้วยกัน
หลังจากกินหม้อไฟแล้ว ขณะที่หลินม่ายยกจานไปล้าง โทรศัพท์ในห้องนั่งเล่นก็ดังขึ้นอีกครั้ง
ปลายสายเป็นทังอี้
เขาบอกหลินม่ายผ่านทางโทรศัพท์ว่า โรงงานนมของรัฐทุกแห่งในเมืองหลวงถูกใครบางคนควบคุมและไม่ยอมขายนมผงให้เขา
หลินม่ายไม่ยอมแพ้ “เสนอราคาที่สูงขึ้น ดูสิว่าพวกเขาจะยอมขายหรือไม่”
ในยุคของการปฏิรูปและการเปิดประเทศ หน่วยงานของรัฐก็เริ่มพูดถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเช่นกัน
หลินม่ายไม่เชื่อว่าโรงงานนมของรัฐเหล่านั้นสามารถต้านทานการล่อลวงด้วยราคาที่สูงได้ เว้นแต่ผู้นำของพวกเขาจะไม่สนใจว่างบการเงินจะดูดีหรือไม่
ทังอี้พูดอย่างหดหู่ “ผมลองแล้วครับ พวกเขายืนยันว่าจะไม่ขายแม้ให้ราคาที่สูงกว่านี้”
เห็นได้ชัดว่ามุ่งเป้ามาที่ตลาดสดฝูตัวตัว
หลินม่ายไม่ใช่คนโง่เขลา เธอรู้อยู่แล้วว่าเรื่องทุกอย่างมีซูอวี้อิ๋งชักใยอยู่เบื้องหลัง
มันชัดเจนแล้วว่าซูอวี้อิ๋งเป็นคนเผยแพร่เรื่องลวงโลกในเขตชานเมืองของเมืองหลวง เพื่อป้องกันไม่ให้เกษตรกรในท้องถิ่นขายสินค้าเกษตรให้กับพนักงานซื้อขายจากตลาดของหลินม่าย
ซูอวี้อิ๋งมีความกล้ามากเกินไป ถึงขนาดแอบอ้างชื่อของรัฐบาลเพื่อจำกัดไม่ให้ผู้อื่นซื้อสินค้าเกษตรและผลิตภัณฑ์จากนม หล่อนคิดว่าพ่อของตัวเองมีอำนาจยิ่งใหญ่ค้ำฟ้าถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
หลินม่ายกล่าว “ฉันจะแก้ปัญหานี้เอง”
ซูอวี้อิ๋งคิดว่าถ้าตัวเองควบคุมโรงงานนมทั้งหมดในเมืองหลวง แล้วหลินม่ายจะทำอะไรไม่ได้งั้นหรือ?
หลินม่ายต่อสายถึงแม่ถ่าน่าและขอให้เธอซื้อนมผงจากซูกั๋วให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ รวมถึงผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ของซูกั๋วด้วย
จำเป็นต้องมีเนื้อวัวและเนื้อแกะมาขาย
แม่ถ่าน่ากล่าว “ไม่มีปัญหาหรอกที่จะหาซื้อนมผงและผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์เพิ่มเติมจากซูกั๋ว ปัญหาคือเรามีพายุหิมะที่นี่แล้วรถไฟก็หยุดวิ่ง ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามวันจึงกลับสู่สภาพปกติ ฉันต้องใช้เวลาสามวันในการขนส่ง”
หลินม่ายพยักหน้ารับรู้ “ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักค่ะ”
หากแม่ถ่าน่าไม่สามารถส่งสินค้าได้ทันเวลา เธอต้องโทรหาจ้าวเลี่ยงและขอให้เขานำนมผงทั้งหมดในคลังสินค้าของเมืองเจียงเฉิงมา
ด้วยความกลัวว่านมผงจะไม่พอขาย หลินม่ายขอให้จ้าวเลี่ยงติดต่ออุตสาหกรรมนมแม่น้ำแยงซี เพื่อซื้อสินค้าคงคลังทั้งหมดของพวกเขา และขอให้ส่งมายังเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด
จ้าวเลี่ยงบอกหลินม่ายว่า ตอนนี้เขาได้ส่งธัญพืชสามตันและน้ำมันพืชครึ่งตันไปนครฉือเจียจวงโดยรถไฟบรรทุกสินค้าด่วนพิเศษ
มันจะไปถึงนครฉือเจียจวงอย่างช้าที่สุดเวลาสี่ทุ่มของวันนี้ และให้พวกเขาเตรียมการจัดส่งต่อทันที
หลินม่ายขอให้เขาแจ้งข่าวกับทังอี้เพื่อให้จัดการเรื่องรับสินค้า
แม้ว่าการซื้อธัญพืช น้ำมัน และนมผงในตลาดสดฝูตัวตัวจะถูกจำกัด แต่สินค้าทุกอย่างก็ขายหมดก่อนบ่ายสองโมง
ผู้คนตื่นตระหนกเกินไปและกว้านซื้อสินค้าจำนวนมาก
ลูกค้าบางคนไม่ทันได้ซื้อ เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดีจึงไม่ยอมออกนอกบ้านเป็นเวลานาน
กระทั่งทังอี้ยืนยันว่าจะมีเสบียงอาหารและน้ำมันเข้ามาเพิ่มในบ่ายวันพรุ่งนี้ ลูกค้าเหล่านี้จึงเริ่มทยอยแยกย้ายกลับไป
เมื่อเห็นว่าตลาดสดฝูตัวตัวไม่มีอาหารและน้ำมันขาย ลูกค้าที่มีฐานะบางส่วนจึงไปยังตลาดฮุ่ยหมิน
วันนี้ในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ มีเพียงตลาดฮุ่ยหมินเท่านั้นที่ขายอาหารสด ทำให้ในตลาดมีผู้คนแวะเวียนมาอย่างคับคั่ง
เวลายังไม่ถึงเที่ยงวัน อาหารสดก็ขายเกือบหมดแล้ว
ซูอวี้อิ๋งมองดูทุกอย่างขณะที่รู้สึกยินดีอยู่ในใจ
หล่อนบอกจี้เจี้ยนจวินผู้เป็นหุ้นส่วนให้พาพนักงานซื้อขายไปยังชานเมืองของเมืองหลวงเพื่อสินค้าเกษตรต่อไป
ในความจริงเพียงส่งพนักงานไปซื้อสินค้าเกษตรในชานเมืองของเมืองหลวงก็เพียงพอแล้ว
แต่ซูอวี้อิ๋งมีเหตุผลที่ขอให้จี้เจี้ยนจวินเป็นผู้นำทีม
ทำไมหล่อนถึงต้องทำงานหนักเพื่อตลาดฮุ่ยหมินทั้งสองสาขา ขณะที่จี้เจี้ยนจวินคอยรับผลประโยชน์อยู่เฉยๆ?
แม้ว่าพ่อของจี้เจี้ยนจวินจะพยายามอย่างมากเพื่อไม่ให้ตลาดสองแห่งนี้ปิดตัวลง แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะนั่งเอนหลังและเพลิดเพลินกับผลประโยชน์โดยไม่ทำสิ่งใด
เมื่อจี้เจี้ยนจวินรับสายซูอวี้อิ๋ง แม้เขาจะไม่พอใจ แต่ก็ทำได้เพียงเชื่อฟังคำสั่ง
หากพูดตามตรงแล้ว ซูอวี้อิ๋งลงแรงพยายามอย่างมากเพื่อตลาดฮุ่ยหมินทั้งสองสาขา และเขาต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้นมันคงเป็นการเอาเปรียบมากเกินไป
เมื่อเห็นว่าเขากำลังออกจากบ้าน ภรรยาจี้เจี้ยนจวินก็ถามว่าเขาจะไปไหน
จี้เจี้ยนจวินบอกหล่อนว่าซูอวี้อิ๋งมอบหมายงานให้เขาไปซื้อสินค้าเกษตรในเขตชานเมืองของเมืองหลวง
ภรรยาจี้เจี้ยนจวินไม่พอใจ “คุณสองคนเป็นหุ้นส่วนกัน ทุกคนล้วนเท่าเทียม ทำไมซูอวี้อิ๋งถึงกล้าสั่งให้คุณทำแบบนั้น?”
จี้เจี้ยนจวินอธิบาย “เพราะเราสองคนเป็นหุ้นส่วนกัน เพื่อไม่ให้อวี้อิ๋งกังวลเกี่ยวกับตลาดทั้งสองสาขามากเกินไป ผมจึงต้องเข้าไปช่วยเหลือบ้าง” สิ้นเสียง เขาออกจากบ้านไปทันที
ภรรยาจี้เจี้ยนจวินวิ่งไล่ตาม “อวี้อิ๋งๆ คุณเรียกหล่อนอย่างรักใคร่เหลือเกินนะ ฉันนึกว่าคุณทำงานหนักเพื่อคนรักวัยเด็กของคุณซะอีก”
จี้เจี้ยนจวินพูดทิ้งท้าย “ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย” ก่อนเดินจากไป
เวลาราวบ่ายสองโมง ทังอี้โทรหาหลินม่ายอีกครั้งและบอกเธอว่า พนักงานซื้อขายหลายคนที่ส่งไปยังชานเมืองรอบนอกเพื่อซื้อสินค้าเกษตรได้กลับมาพร้อมสินค้าแล้ว
โดยได้รับหมูมีชีวิตสามตัว และกำลังจัดการแล่เนื้อมาขาย
นอกจากนี้ยังมีผักกาดขาว แครอท ต้นหอม ผักกาดขาวปลี และกะหล่ำปลีนำเข้าเป็นจำนวนมาก
ในชนบททางภาคเหนือ มีผักเมืองหนาวที่สามารถปลูกได้ในฤดูหนาวไม่มากนัก และมีผักเหล่านี้เพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้น
ซึ่งแตกต่างจากชนบททางภาคใต้ ที่สามารถปลูกผักเมืองหนาวได้หลายชนิด
นอกจากนี้ยังได้ซื้อไก่ เป็ด และไข่กลับมาด้วย
แม้จะหาซื้อผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรมาได้จำนวนมาก แต่ราคาก็ไม่ถูกนัก มันสูงกว่าปกติถึง 50%
หลังจากทังอี้รายงานสถานการณ์ เขากล่าวต่อว่า “ราคาของสินค้าเกษตรทั้งหมดเพิ่มขึ้นขนาดนี้ เราควรปรับราคาอาหารสดให้เหมาะสมและขายในราคาทุนนะครับ ตอนนี้ราคาทุนเท่ากับราคาซื้อบวกค่าน้ำมันและค่าจ้างพนักงานขาย คุณคิดว่ามันจะใช้ได้ไหม?”
หลินม่ายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “เราขายในราคาซื้อกันเถอะ”
ทังอี้เงียบไปครู่หนึ่ง “หากขายในราคาที่ซื้อมา เราต้องจ่ายค่าน้ำมันและค่าจ้างคนขับรถเอง ผมรู้ว่าประธานหลินต้องการบรรเทาความทุกข์ยากกับชาวเมืองหลวง ตราบใดที่ไม่ได้โกงเงินพวกเขามา เรายังคงได้รับความไว้วางใจโดยไม่ต้องยอมขาดทุน นอกจากนี้ธัญพืช น้ำมัน อาหารสด และนมผงที่ขายในตลาดฮุ่นหมินขึ้นราคาเป็นสองเท่า ต่อให้เราขายในราคาทุน ชาวเมืองจะต้องเห็นความมุ่งมั่นของเราที่ต้องการช่วยบรรเทาความทุกข์ยากของพวกเขาแน่นอน”
หลินม่ายตกตะลึง ซูอวี้อิ๋งขึ้นราคาสินค้าตอนนี้ หล่อนกำลังรนหาที่ตายหรืออย่างไร?
เธอครุ่นคิดเพียงครู่จึงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นเอาแบบที่คุณว่า เรามาขายในราคาทุนกันเถอะ”
เนื่องจากราคาสินค้าในตลาดฮุ่ยหมินนั้นสูงมาก แม้ตลาดสดฝูตัวตัวจะขายสินค้าในราคาทุน แต่ก็เพียงพอที่จะกระชากโฉมหน้าอันน่ารังเกียจของตลาดฮุ่ยหมินที่แสวงหากำไรในช่วงวิกฤต และพวกเขาไม่จำเป็นต้องขายแบบขาดทุน
ทังอี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เขากลัวว่าหลินม่ายจะยืนกรานทำตามความคิดตัวเอง หากทำแบบนั้น ตลาดจะต้องสูญเสียอย่างมาก
หลินม่ายถาม “ทำไมคุณถึงซื้อหมูมาแค่สามตัวเท่านั้น มันเพียงพอสำหรับการขายหรือ?”
“แน่นอนว่าไม่พอครับ แต่ผมหาซื้อมากกว่านี้ไม่ได้ หมูสามตัวที่ผมได้รับมาจากคนขายที่เดินทางจากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง”
หลินม่ายรู้สึกประหลาดใจ “ไม่มีทาง มีคนห้ามเกษตรกรไม่ให้ขายหมูงั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่แบบนั้นครับ เกษตรกรส่วนใหญ่ขายหรือเชือดหมูเมื่อปีที่แล้ว ทำให้ยังไม่มีหมูขายในปีนี้”
หลินม่ายลืมคิดเรื่องนี้ไปเลย
หลังจากคุยโทรศัพท์กับผู้จัดการทัง หลินม่ายต่อสายหาการรถไฟของปักกิ่งและถามว่าสถานีรถไฟในเมืองหลวงจะกลับมาเปิดดำเนินการได้อีกเมื่อใด
พนักงานรับโทรศัพท์ตอบกลับอย่างเป็นทางการว่า ขณะนี้ไม่สามารถกำหนดวันเปิดโดยประมาณได้ และทุกอย่างขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ
หลินม่ายจึงโทรหากรมอุตุนิยมวิทยา และถามว่าพายุหิมะจะสิ้นสุดลงเมื่อใด
ในเวลานี้กรมอุตุนิยมวิทยาล้าหลังในทุกด้าน พวกเขาไม่มีดาวเทียมพยากรณ์อากาศ ดังนั้นจะทำนายได้อย่างไรว่าพายุหิมะจะสิ้นสุดลงวันไหน
เจ้าหน้าที่ของกรมอุตุนิยมวิทยาบอกหลินม่ายได้เพียงว่า พายุหิมะอาจไม่หยุดในสัปดาห์หน้า
วันนี้เป็นวันที่สี่หลังปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติ
สำหรับคนทั่วไป ไม่พวกเขาจะตุนเสบียงมากแค่ไหนในช่วงปีใหม่ พวกเขาจะมีเสบียงไว้กินเพียงพอสำหรับหนึ่งสัปดาห์
ในเวลานั้นหากพายุหิมะยังไม่หยุด ชีวิตของผู้คนในเมืองหลวงจะต้องเกิดปัญหา
แม้ว่าคนทางภาคเหนือจะมีนิสัยชอบตุนของในฤดูหนาว แต่ระบบสังคมนิยมยังคงเป็นระบบหลัก โดยเฉพาะธัญพืช น้ำมัน และผัก ซึ่งทั้งหมดได้รับการปันส่วน คนทั่วไปจึงไม่สามารถทำอะไรได้แม้จะอยากตุนเสบียงไว้ในช่วงฤดูหนาว
ปัญหาแรกและสำคัญที่สุดคือ การที่ไม่สามารถรับประกันความต้องการผักสดได้
หลินม่ายตัดสินใจเพิ่มการขนส่งผักตามฤดูกาลและราคาถูก ขณะพยายามสนองความต้องการผักของประชาชนให้มากที่สุด
ดูเหมือนว่าเธอจะต้องโทรหาจ้าวเลี่ยงอีกครั้ง
เธอโทรหาจ้าวเลี่ยงและขอให้เขาซื้อผักกาดขาว ผักกาดขาว กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักโขม แครอท และหัวไชเท้าในปริมาณมากในพื้นที่ชนบทของหูเป่ย… ผักเหล่านี้เป็นผักทั่วไปและมีราคาถูกในช่วงฤดูหนาวของหูเป่ย ผักไร้ค่าถูกส่งไปยังเมืองหลวงในกรณีฉุกเฉิน
ตลาดสดฝูตัวตัวของเธอไม่ได้ขายเฉพาะผักโรงเรือนเท่านั้น
ไม่ว่าผักโรงเรือนจะ ราคาถูกแค่ไหน พวกมันยังคงแพงกว่าผักตามฤดูกาลมาก ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ประชาชนทั่วไปสามารถซื้อได้ทุกวัน
ดังนั้นจึงต้องขายผักตามฤดูกาลราคาถูกให้กับประชาชน
จ้าวเลี่ยงจากปลายสายพูดว่า “ผมคิดเรื่องนี้มานานแล้ว และเพิ่งส่งพนักงานซื้อขายไปยังหมู่บ้านในเมืองเจียงเฉิงและหมู่บ้านโดยรอบ เพื่อซื้อผักตามฤดูกาลเหล่านี้ พอเกษตรกรเหล่านั้นได้ยินว่าเราซื้อผักตามฤดูกาลเพื่อช่วยเหลือคนในเมืองหลวง ก็แทบไม่มีใครขึ้นราคาเลย โดยบอกว่าพวกเขาต้องการช่วยเหลือชาวเมืองหลวงด้วย”
หลังนึกถึงภาพฉากอันน่าประทับใจนั้น จ้าวเลี่ยงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น
ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีเหลือเกินที่ได้รับการสนับสนุนจากทุกทิศทางเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีปัญหา!
หลินม่ายกล่าว “เป็นการดีกว่าที่จะขึ้นราคาซื้อผักจากเกษตรกรเหล่านั้นอย่างเหมาะสม เรื่องที่พวกเขาเก็บผักไว้ให้เราในช่วงปีใหม่ เราต้องจ่ายค่าจ้างล่วงเวลาให้พวกเขาด้วย
จ้าวเลี่ยงตอบรับอย่างเข้าใจ
หลินม่ายถามเขาว่า หมูที่ยังมีชีวิตยังสามารถหาซื้อในพื้นที่ชนบทของหูเป่ยในเวลานี้ได้หรือไม่
จ้าวเลี่ยงกล่าว “ใครจะเก็บหมูไว้ขายหลังปีใหม่ มันไม่ดีกว่าหรือถ้าพวกเขาขายมันในราคาสูงก่อนสิ้นปี?”
หลินม่ายรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย หากเธอไม่สามารถหาซื้อหมูที่ยังมีชีวิตจากหูเป่ยได้ เนื้อหมูที่ขายในตลาดสดฝูตัวตัวก็จะขาดตลาดตั้งแต่วันมะรืนนี้
ได้ยินจ้าวเลี่ยงพูดต่อว่า “อย่างไรก็ตามฟาร์มหมูสองแห่งของเรายังมีหมูอีกหลายร้อยตัว ซึ่งจะนำมาเชือดในกรณีฉุกเฉินเท่านั้น”
หลินม่ายค่อนข้างประหลาดใจ “ครอบครัวของเราเริ่มทำฟาร์มหมูตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมฉันไม่รู้เลย?”
“เราเริ่มทำปีที่ตลาดสดฝูตัวตัวก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรก เพราะคุณกังวลว่าจะไม่สามารถรับหมูมีชีวิตมาได้ในช่วงวันปีใหม่ จึงขอให้พี่เฟิงสร้างฟาร์มหมูชั่วคราวสองแห่ง และรวบรวมหมูที่ยังมีชีวิตจำนวนหนึ่งเพื่อเลี้ยงพวกมันตั้งแต่เนิ่นๆ ต่อมาพี่เฟิงได้พัฒนาฟาร์มหมูชั่วคราวทั้งสองแห่งให้เป็นฟาร์มหมูถาวร ซื้อลูกหมูทุกปี และจ้างคนงานมาเลี้ยงดู เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่สามารถรับหมูที่มีชีวิตได้ในช่วงตรุษจีนหรือหลังปีใหม่ได้ ปีก่อนหน้าเราได้รับหมูเป็นมาเพียงพอ หมูจากฟาร์มทั้งสองแห่งจึงถูกเลี้ยงดูจนมาถึงตอนนี้ ซึ่งสามารถแก้ปัญหาความต้องการเร่งด่วนได้”
หลังจากที่จ้าวเลี่ยงพูดจบ หลินม่ายก็จำเหตุการณ์ตอนนั้นได้ เธอจึงขอให้จ้าวเลี่ยงจัดรถบรรทุกเพื่อส่งหมู 100 ตัวมายังเมืองหลวงก่อน
นอกจากนี้ยังมีไข่ที่ต้องหาซื้อให้ได้มากที่สุด และขนส่งมายังเมืองหลวงโดยเร็ว
เธอกลัวว่าจะไม่สามารถหาซื้อไข่และหมูมีชีวิตจากเขตชานเมืองของเมืองหลวงได้ง่ายดาย
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
แพร่เฟคนิวส์ระวังโดนเด้งออกจากตำแหน่งนะครอบครัวซู สร้างเรื่องทำให้รัฐเสียหายน่ะ
ไหหม่า(海馬)