ปัญหาหลักในเวลานี้ก็คือสิ่งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ทุกคนต่างรู้ว่ายันต์คือสิ่งสำคัญในการออกจาก ’การเดินหลงเป็นวงกลม’ นี้
ถ้าไม่มียันต์ พวกเขาย่อมต้องถูกขังอยู่ที่นี่
แต่สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นกับเสี่ยวหลิงเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าการติดอยู่ในที่ที่เดียวนั้นเป็นเรื่องอันตรายเพียงใด อาจมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับพวกเขาก็ได้ถ้าพวกเขาไม่ออกไปเสียตั้งแต่ตอนนี้!
จูเก่ออวิ๋นเข้าใจดีว่าพวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายถึงชีวิต เขามองเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างหวั่นใจพลางเอ่ยถามว่า ”พี่เว่ย ท่านมีวิธีอันใดหรือไม่ขอรับ”
ทันทีที่ได้ยินคำถามของจูเก่ออวิ๋น ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนก็หันไปมองเฮ่อเหลียนเวยเวยโดยไม่รู้ตัว พวกเขาเริ่มศรัทธาในตัวเฮ่อเหลียนเวยเวยก่อนที่พวกเขาจะทันได้รู้ตัวเสียอีก
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวว่า ”ลองหลับตาเดินกันดีกว่า”
“มันจะไม่ยิ่งอันตรายขึ้นหรือถ้าพวกเราหลับตาเดิน” บรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายไม่ได้สงสัยในความสามารถของเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่มันเป็นเรื่องยากที่จะทำได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ ”สมัยก่อนตอนที่เจ้าหน้าที่บุกค้นสุสาน พวกเขาจะมีกฎอยู่ข้อหนึ่งว่าเวลาเปิดสุสานให้เดินถอยหลังเข้าไป และให้หลับตาถ้าเราไม่รู้ทิศทางเมื่ออยู่ข้างในสุสาน ’การเดินหลงเป็นวงกลม’ คือการที่วิญญาณรบกวนการตัดสินใจของมนุษย์ผ่านทางคลื่นสมอง และทำให้มนุษย์สูญเสียการรับรู้ทิศทางไป วิญญาณมีพลังหยิน ในขณะที่พวกเจ้าทุกคนเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่มีพลังวิญญาณ ดังนั้นวิญญาณพวกนี้จึงต้องการตัวกลางในการทำร้ายมนุษย์ และการสร้างภาพลวงตาในใจมนุษย์ผ่านทางคลื่นสมองก็เป็นวิธีการฆ่าคนที่มีประสิทธิภาพที่สุด เช่นเดียวกันกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเสี่ยวหลิง ถ้าพวกเราเดินหลับตา พวกเราก็จะสูญเสียการตัดสินใจไปในทันที และเมื่อไร้ซึ่งการตัดสินใจ วิญญาณพวกนั้นย่อมไม่มีโอกาสที่จะทำร้ายพวกเราได้ ทั้งยังจะทำให้เราสามารถหลบหนีออกจากสถานการณ์นี้ได้อย่างง่ายดายอีกด้วย”
เสี่ยวหลิงตกตะลึง เขาไม่เคยคิดเลยว่าวิญญาณร้ายพวกนั้นจะมากไปด้วยกลอุบายชั่วช้าเช่นนี้ แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าคลื่นสมองคืออะไร แต่เขาก็รู้สึกชื่นชมคนที่อยู่ตรงหน้าอย่างมาก
“น้องเวยช่างรอบรู้ยิ่งนัก! เจ้าไปเรียนเรื่องพวกนี้มาจากไหนหรือ” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนต่างรู้สึกประทับใจในตัวเฮ่อเหลียนเวยเวยหลังจากผ่านเหตุการณ์ต่างๆ มามากมาย พวกเขาไม่เคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับคลื่นสมองมาก่อน แม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายมาตลอดหลายปีก็ตาม เมื่อพวกเขาลองคิดดูให้ดี วิญญาณก็ใช้รูปแบบดังกล่าวในการทำร้ายมนุษย์จริง
เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบสันจมูก แล้วตอบคำถามของเขาด้วยรอยยิ้ม อย่างไรการบอกว่านางมีความสนใจในเรื่องพวกนี้ และอ่านทั้งนวนิยาย และดูภาพยนตร์เกี่ยวกับพวกมันมามากตั้งแต่ตอนอยู่ที่ศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดก็ฟังดูไม่สมเหตุสมผลแม้แต่นิดเดียว
“เช่นนั้นก็ไปกันเถิดขอรับ!” เสี่ยวหลิงเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้นสนับสนุนเฮ่อเหลียนเวยเวย
จูเก่ออวิ๋นเป็นคนซื่อสัตย์ เขาติดตามเฮ่อเหลียนเวยเวยมาโดยตลอด และยังชื่นชมเฮ่อเหลียนเวยเวยมานานแล้ว
“ไม่ต้องรีบร้อน ที่สุสานแห่งนี้จะต้องมีอันตรายรออยู่อย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเราต้องเตรียมตัวกันให้พร้อมเสียก่อน” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดกลั้วหัวเราะ นางดูมีท่าทางผ่อนคลายราวกับปัญหาที่พวกเขาเผชิญอยู่นี้เป็นสิ่งที่สามารถคลี่คลายได้อย่างง่ายดาย ”สุสานหลวงแห่งนี้มีพลังปราณหยินปกคลุมไปทั่ว ดังนั้นพวกเราต้องขยายปราณหยางของตัวเอง ในเมื่อพวกเรามีกันทั้งหมดเจ็ดคน ข้าจะผูกเชือกสีแดงเส้นนี้ไว้ที่ข้อมือซ้ายของทุกคน พวกเราจะได้ไม่พลัดหลงกัน” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดพร้อมกับหยิบเชือกสีแดงความยาวกว่าหนึ่งร้อยฉื่อออกมา เชือกเส้นนั้นชุ่มไปด้วยเลือดจากสุนัขที่มีพลังหยางบริสุทธิ์
เลือดของสุนัขที่มีพลังหยางบริสุทธิ์ถือเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ในการขับไล่วิญญาณร้ายมาตั้งแต่โบราณ ตราบใดที่ปลายเชือกเส้นนี้ไม่ขาด ทุกคนย่อมได้รับการคุ้มครองจากภยันอันตรายทั้งปวง และจะยังปลอดภัยได้แม้ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งชั่วร้ายก็ตาม
จูเก่ออวิ๋นอาจจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่เขาก็นึกไม่ถึงว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะนำมันมาใช้กับสถานการณ์นี้ได้อย่างรวดเร็ว ”พี่เว่ย ท่านนับผิดหรือเปล่าขอรับ พวกเรามีกันแปดคนขอรับ ไม่ใช่เจ็ด” จูเก่ออวิ๋นบอก
เฮ่อเหลียนเวยเวยหันไปมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยทันทีที่ได้ยินสิ่งที่จูเก่ออวิ๋นพูด นางคิดกับตัวเองว่า ข้าไม่ได้รวมองค์ชายเข้าไปด้วยเพราะเขาไม่ใช่มนุษย์
แผนการนี้จะทำงานได้ก็ต่อเมื่อมีพลังปราณหยางของมนุษย์เท่านั้น ถ้ามีองค์ชายเข้ามาร่วมด้วย มันย่อมล้มเหลวอย่างแน่นอน
เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังคิดอยู่ว่าจะตอบคำถามจูเก่ออวิ๋นอย่างไร เพราะนางไม่สามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้
ทันใดนั้น นางก็ได้ยินน้ำเสียงเยือกเย็นและนุ่มนวลอันเป็นธรรมชาติขององค์ชายดังขึ้น ”เราต้องให้ใครสักคนอยู่ที่นี่ ข้าจะเป็นคนนั้นเอง พวกเจ้าไปกันก่อนก็แล้วกัน”
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น ไม่ใช่เพียงแค่จูเก่ออวิ๋นคนเดียว แต่ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนต่างก็รู้สึกประทับใจและซาบซึ้งในบุญคุณของเขาอย่างมาก ”พี่เจวี๋ย ท่านช่างเสียสละและใจดีเหลือเกิน ถึงได้ยอมทำเช่นนี้เพื่อพวกเรา!”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …
เสียสละหรือ ใจดีหรือ
สองคำนี้ไม่เหมาะจะถูกนำมาใช้อธิบายองค์ชายเอาเสียเลย
จู่ๆ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็นึกถึงคำพูดที่องค์ชายบอกกับบรรดาขุนนางในวันที่เดินทางออกจากวังหลวงขึ้นมาได้ นางละสายตาออกจากองค์ชายอย่างเงียบๆ แล้วเหลือบมองด้านบนของสุสาน
เขาสามารถเอาชนะหัวใจของทุกคนได้ด้วยคำโกหกอันแสนเรียบง่าย และคนที่สามารถทำเช่นนั้นได้ก็มีแค่องค์ชายเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ท่านพ่อเล่นละครอีกแล้ว!” ทารกที่ตัวโตกว่าเยาะขึ้น ”มนุษย์พวกนี้เชื่อเขาลงได้อย่างไร เสียสละหรือ ใจดีหรือ หึ ข้าไม่คิดว่านิสัยของท่านพ่อจะเป็นเช่นนั้นหรอก เขาเป็นคนเห็นแก่ตัวและชั่วร้ายจะตายไป ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายพวกนี้โง่เสียไม่มี!”
ทารกที่ตัวเล็กกว่าไม่ได้พูดอะไร แต่กลับลอบถอนหายใจอยู่ในใจ เขาดูดนิ้วหัวแม่มือของตัวเองต่อพร้อมกับขยับตัวอย่างเงียบๆ พี่ชายของเขาดูถูกคนอื่นเพียงเพราะต้องการว่าร้ายท่านพ่ออีกแล้ว เฮ้อ มันจะเป็นเช่นนี้ไปถึงเมื่อใดหนอ
ทั้งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายและเฮ่อเหลียนเวยเวยต่างก็ไม่ได้ยินบทสนทนาระหว่างทารกทั้งสอง
ทุกคนเริ่มผูกเชือกสีแดงเข้าที่มือตัวเอง แล้วหลับตาลงหลังจากได้ฟังแผนการ
จูเก่ออวิ๋นเป็นคนเดินนำ ส่วนคนอื่นๆ เดินตามเขา
สุสานหลวงทั้งลึกและมืดมิด
ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่ามีเงาขนาดยักษ์แปดขาซ่อนตัวอยู่ในความมืดนั้น มันขยับตัวไปมาอย่างช้าๆ ดวงตาสีแดงราวกับปีศาจของมันเต็มไปด้วยความกระหาย
“ช่างเป็นวิญญาณที่หอมอะไรเช่นนี้ รสชาติของมันจะต้องยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน!” เงาขนาดยักษ์นั้นพึมพำด้วยเสียงทุ้มต่ำ มันพูดกับตัวเองขณะที่อยู่ในแม่น้ำหยินว่า ”แต่มนุษย์คนนั้นฝีมือยากจะหยั่งถึงยิ่งนัก เขาสามารถทำให้ฝูงแมลงกินซากศพกลับมาที่นี่ได้ด้วยตัวคนเดียว ข้าจะออกไปตอนนี้ไม่ได้ ข้าจะต้องรอจนกว่าผู้หญิงคนนั้นจะอยู่คนเดียว แล้วจากนั้นข้าจะฉีกกระชากนางออกเป็นชิ้นๆ ต่อให้ข้าจะต้องรอนานเพียงใดก็ไม่เป็นไร อีกไม่นานข้าจะต้องได้ลิ้มรสมันแน่ มนุษย์พวกนี้ขาดความสามัคคี ข้าเพียงแค่ต้องรอให้ถึงเวลาอันเหมาะสมเท่านั้น”
ใช่แล้ว มันแค่ต้องรออีกครู่หนึ่งเท่านั้น รอจนกว่าพวกเขาจะไม่มีทางหนี
การแข่งขันชิงดีชิงเด่นระหว่างมนุษย์นั้นน่ารังเกียจยิ่งกว่าปีศาจเสียอีก
โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสุสานหลวงแห่งนี้ ยิ่งมีความคิดชั่วร้ายเพียงใด ก็จะยิ่งตายเร็วขึ้นเท่านั้น
ดังนั้นมันจึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อน!
อาหารแสนอร่อยกำลังจะถูกส่งมาถึงปากมันแล้ว
“หึๆๆ” เงานั้นหัวเราะอย่างน่าขนลุก แล้วค่อยๆ เคลื่อนตัวกลับเข้าไปในความมืด