ตระกูลหนีประสบกับการ ’เดินหลงเป็นวงกลม’ ที่อีกฝั่งหนึ่งของสุสานเช่นกัน แต่พวกเขาสามารถรับมือกับมันได้อย่างง่ายดายโดยไร้ปัญหาเพราะพวกเขามียันต์อยู่กับตัว นอกจากนั้น คนส่วนใหญ่ในจำนวนพวกเขาก็เป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่มีประสบการณ์อีกด้วย
แต่พวกเขาไม่ได้รู้สึกตัวเร็วเท่าเฮ่อเหลียนเวยเวย
กว่าหนีเฟิ่งจะสังเกตถึงความผิดปกตินี้ได้ พวกเขาก็เดินวนรอบที่นี่เป็นรอบที่สามแล้ว
คนอื่นๆ ก็ประหลาดใจกับสิ่งที่หนีเฟิ่งพูด แล้วกล่าวชมเชยในสติปัญญาอันเฉลียวฉลาดของนาง
หนีเปียวยิ้มแก้มแทบปริหลังจากได้ยินเสียงชื่นชมบุตรสาว
ตราบใดที่บุตรสาวยังอยู่ที่นี่ คนพวกนี้ก็จะเชื่อใจและให้การสนับสนุนตระกูลหนีต่อไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นพระสรีระหรือโลกใบนี้ ทั้งหมดก็ล้วนแต่ถูกลิขิตให้เป็นของเขาแต่เพียงผู้เดียว!
ในขณะที่หนีเปียวกำลังตกอยู่ในภวังค์นั้น คนคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาหาเขา แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า ”ข้าจัดการทุกอย่างเรียบแล้วขอรับ นายท่าน ข้าเอายันต์ของพวกเขามาหมดแล้ว ป่านนี้คนพวกนั้นอาจจะยังติดอยู่ที่นั่น และยังหาทางออกมาไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“ทำได้ดีมาก” หลังจากรู้สึกหงุดหงิดมาทั้งวัน ในที่สุดหนีเปียวจึงรู้สึกโล่งใจได้ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ในสุสานเช่นนี้ การเสียยันต์ไปย่อมเท่ากับความตาย หากตัดสถานการณ์อื่นออกไป เพียงแค่การเดินหลงเป็นวงกลมก็นับว่าเป็นปัญหามากพออยู่แล้ว เพราะพวกเขาจะต้องถูกบังคับให้เดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ บนถนนเส้นเดิมจนกว่าจะตายเพราะหมดแรง พวกเขาไม่มีวันไปถึงทางออกได้ หรือบางทีสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในสุสานอาจจะยื่นมือออกมาจากใต้ดินแล้วลากพวกเขาลงนรกก่อนที่พวกเขาจะทันได้เหนื่อยเสียอีก!
หนีเปียวไม่สามารถข่มรอยยิ้มบนใบหน้าได้เมื่อเขาคิดถึงการตายของคนพวกนั้น มุมปากข้างหนึ่งของเขากระตุกขึ้นในขณะที่อีกข้างกลับแข็งทื่อราวกับซากศพ ก่อให้เกิดเป็นสีหน้าชวนขนหัวลุก เขามองไม่เห็นสีหน้าของตัวเอง แต่คนที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับเขาพลันรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที ”นายท่าน! เมื่อครู่นี้ท่าน!”
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายร้องเสียงแหลม ทุกคนหันมาจ้องมองพวกเขาด้วยความตกใจ
หนีเปียวขมวดคิ้ว ”เอะอะอะไร เจ้ารีบไปได้แล้ว”
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายตกอยู่ในอาการเหม่อลอย เมื่อเห็นว่าผู้เป็นอาจารย์ไม่ได้มีท่าทางแตกต่างจากก่อนหน้านี้ พวกเขาก็ส่ายหน้า เมื่อครู่นี้ข้าตาฝาดหรือ
“ท่านพ่อ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือ” หนีเฟิ่งเดินเข้ามาหาหนีเปียว ใบหน้าของนางซ่อนอยู่ใต้ผ้าคลุมหน้า ยิ่งเมื่ออยู่ใต้เงามืดจากแสงของคบเพลิงแล้ว ก็ยิ่งไม่มีใครสามารถมองเห็นใบหน้าของนางได้ สำหรับพวกเขาแล้ว นางดูเป็นคนอ่อนแอและเปราะบางอย่างมาก
ร่างของนางเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ ดังนั้นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนจึงรู้สึกสงบใจเมื่อนางเดินเข้ามาใกล้
หนีเปียวมีน้ำอดน้ำทนต่อผู้เป็นบุตรสาวอยู่เสมอ ดังนั้นเขาจึงตอบอ้อมๆ ว่า ”ไม่มีอะไร ก็แค่พวกชั้นต่ำทำตัวไม่รู้ความและชอบสร้างแต่ปัญหาเท่านั้น เฟิ่งเอ๋อร์ เจ้าเองก็ไม่ค่อยสบายอยู่ ดังนั้นเจ้าอย่าได้ห่วงข้าเกินไปเลย เพื่อช่วยพวกเรา เจ้าต้องรู้จักพักเมื่อถึงขีดจำกัดของตัวเอง เราจะได้ไปถึงใจกลางสุสานกันเร็วๆ เข้าใจหรือไม่”
หนีเปียวไม่ได้พูดถึงหนีเฟิ่ง แต่กำลังพูดถึงผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ อยู่
เขาอยากให้พวกเขารู้ว่าที่พวกเขามาได้ไกลถึงเพียงนี้ก็เพราะบุตรสาวสุดที่รักของเขา
หนีเฟิ่งไอขึ้นทันที แล้วโบกมือไปมาเมื่อได้ฟังคำพูดของผู้เป็นบิดา ”ข้าสบายดีเจ้าค่ะท่านพ่อ การอยู่ในสุสานหลวงย่อมมีอันตราย พวกเราควรไปให้ถึงใจกลางสุสานให้เร็วที่สุด” นางเอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวล แต่ก็ฟังดูอ่อนล้า
“เฮ้อ เจ้าก็เอาแต่ห่วงทุกชีวิตบนโลกเกินไป” หนีเปียวมองหนีเฟิ่งอย่างมีเมตตา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสาร
นางเอ่ยต่อพร้อมกับหอบหายใจไปด้วย ”นี่เป็นหน้าที่ของข้าในฐานะพระชายาเจ้าค่ะ”
คนอื่นๆ ยิ่งรู้สึกชื่นชมบูชาตระกูลหนีมากขึ้นเมื่อได้เห็นภาพนี้ แม้กระทั่งความคลางแคลงใจที่พวกเขามีเมื่อครู่ก็พลันถูกขจัดไป พวกเขาเอ่ยชมความเมตตาของหนีเฟิ่งกันอย่างไม่ขาดปาก
ไม่มีใครสังเกตเห็นริมฝีปากของนางที่ขยับไปมาราวกับกำลังเคี้ยวอะไรบางอย่างตอนที่นางก้มหน้า
ส่วนทางหนีเปียว เวลานี้เขาดูเหน็ดเหนื่อยอย่างมาก เขาสะบัดหน้าไปมาเพราะจู่ๆ ก็รู้สึกง่วงขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“นายท่านขอรับ?” ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่ได้รับภารกิจให้ไปขโมยยันต์มาจากพวกเฮ่อเหลียนเวยเวยยังมองเขาอยู่ เขาถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงทันทีที่เห็นม่านตาที่ขยายขึ้นของหนีเปียว ”ท่านเป็นอะไรหรือเปล่าขอรับ”
หนีเปียวได้สติ เขาดูรู้สึกตัวมากขึ้นขณะตอบว่า ”ไม่มีอะไร จะว่าไปทำไมเมื่อครู่นี้เจ้าถึงร้องขึ้นมาเล่า มีอะไรติดอยู่บนหน้าข้าหรือ”
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงส่ายหน้า ”ไม่มีอะไรขอรับ ข้าคงมองผิดไป” ข้าจะพูดได้อย่างไรว่าเมื่อครู่นี้นายท่านเหมือนคนถูกผีสิงไม่มีผิด แต่มันไม่มีทางเป็นเช่นนั้นได้ เพราะนายท่านเป็นผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้าย ดังนั้นย่อมไม่มีภูตผีวิญญาณตนใดสามารถเข้าใกล้เขาได้
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคิดว่าเขาคงจะตาฝาดไปเพราะมีความเป็นไปได้ที่เขาจะรู้สึกสับสนหลังจากเดินหลงเป็นวงกลมอยู่นาน
แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามปลอบใจตัวเองเท่าใด ในหัวใจของเขาก็ยังคงมีเสียงเสียงหนึ่งถามอยู่ตลอดเวลาว่ามันเป็นเพียงแค่ภาพหลอนจริงๆ หรือ เพราะภาพนั้นช่างดูสมจริงเสียนี่กระไร
…
“ถึงทางออกแล้ว!”
ใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นทันทีที่เห็นแสงสลัวๆ ที่อยู่ด้านหน้า
ผู้เฒ่าหลี่มองเขาเป็นการบอกให้เขาลดเสียงลง หลังจากนั้นผู้เฒ่าหลี่จึงเดินนำทุกคนออกจากอุโมงค์แห่งนี้ เขายกคบไฟขึ้นเพื่อจุดตะเกียงน้ำมันที่อยู่บนพื้น
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังปังก้องกังวานไปทั่วอากาศ!
แสงไฟสว่างไปทั่วสุสาน พร้อมกับภาพจิตรกรรมฝาผนังขนาดมหึมาที่ปรากฏเข้ามาในครรลองสายตา
พวกเขารู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าไปในพระราชวังอันโออ่าที่มีทองคำและอัญมณีประดับประดาอยู่ทั่วทุกแห่งบนกำแพง ทุกอย่างดูยิ่งใหญ่อลังการจนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
บรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอดใจไม่ไหวและกำลังจะก้าวขาออกไปเมื่อเห็นเพชรพลอยที่ส่องประกายแวววาวอยู่ตรงนั้น บางทีนี่อาจจะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ พวกเขาล้วนแต่ปรารถนาที่จะร่ำรวย
“อย่าขยับ” ผู้เฒ่าหลี่ตะโกนขึ้นห้ามพวกเขาทันที เขาชี้ขึ้นไปด้านบนแล้วเอ่ยว่า ”พวกเจ้าดูสิว่านั่นอะไร”
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเงยหน้าขึ้นมองจุดที่ผู้เฒ่าหลี่ชี้ พวกเขาเสียวสันหลังวาบทันทีที่ได้เห็นเจ้าสิ่งที่ว่านั่น
สิ่งที่ถูกแขวนไว้บนหลังคาไม่ใช่เครื่องประดับหรือของตกแต่งใดๆ แต่เป็นซากศพ
แต่ที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดก็คือบนนั้นมีร่างของกัวจื่อกับเสี้ยวจื่อที่ตายอยู่ตรงทางเข้าสุสานถูกแขวนไว้ด้วย!
ทุกคนตกอยู่ในอาการหวาดกลัวทันทีที่เห็นศพเหล่านั้น
ทำไมพวกเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ
พวกเขาเข้ามาได้อย่างไร
พวกเขาเป็นผีดิบหรือ
แต่ผีดิบที่ไหนจะเอาตัวเองไปแขวนไว้บนคานแบบนั้นกัน
นอกจากนั้น ท่าทางของพวกเขาก็ยังแปลกประหลาดอย่างมาก มันดูเหมือนกับหุ่นเชิดไม่มีผิด แขนขาและข้อต่อของพวกเขาแอ่นอย่างผิดธรรมชาติ อีกทั้งยังสามารถขยับไปมาได้อีกด้วย พวกเขาจ้องมองคนที่อยู่ข้างล่างด้วยรอยยิ้มชวนขนหัวลุกราวกับจะลืมตาตื่นขึ้นและพุ่งเข้าใส่คนที่อยู่ข้างล่างได้ทุกเมื่อ!
แต่จุดที่น่ากลัวที่สุดคือคำถามที่ผู้ขับไล่วิญญาณทุกคนกำลังสงสัยอยู่ พวกเขาสองคนขึ้นไปอยู่บนนั้นได้อย่างไร
พวกเขาไม่เห็นทั้งสองระหว่างทาง แล้วก่อนหน้านี้ร่างไร้วิญญาณของพวกเขาอยู่ที่ไหน?
พวกเขาต้องมีฝีเท้าที่รวดเร็วมากทีเดียว อย่างน้อยก็ต้องเร็วและคล่องแคล่วกว่าซากศพทั่วไป
ทุกคนรู้ว่าคนตายที่เพิ่งกลายเป็นผีดิบนั้นเดินได้ช้าเพียงใด แม้พวกเขาจะสามารถลุกขึ้นยืนได้ก็ตาม ดังนั้นทั้งสองก็ควรจะทำได้เพียงรั้งท้ายอยู่ข้างหลัง
แต่ตอนนี้ทั้งคู่กลับมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าพวกเขาเสียได้!