บทที่ 739 ซีไปจากแดนบรรพโกลาหล มุ่งหน้าไปยังภพเซียน!
ที่นี่มีฐานตำหนักตั้งอยู่เรียงราย สถานที่ไม่น้อยมีอักขระแปลกประหลาดสลักอยู่ หากได้พินิจดี ๆ จะเห็นว่าล้วนมีความเกี่ยวข้องกับปริภูมิเวลา อักขระทุกตัวต่างมีอำนาจควบคุมปริภูมิเวลา เป็นการแปลงรูปของพลังปริภูมิเวลา เผยให้เห็นในลักษณะอักขระ
ขณะเดียวกัน ยังมีรูปปั้นอสูรศิลามากมายพิทักษ์อยู่รอบ ๆ ฐานตำหนัก บนหน้าผากของอสูรศิลาทุกตัวต่างมีอักขระแปลกประหลาดสลักอยู่ แต่ละตัวตั้งกันคนละมุม หากเชื่อมโยงกันแล้วดูคล้ายค่ายกลบางอย่าง
เสียงดังตู้ม แม่เฒ่าลงมือทันที ชี้ต้นหลิวด้วยไม้เท้าหัวมังกร ประกายเจิดจ้าพวยพุ่ง มังกรยักษ์สีทองตัวหนึ่งพุ่งไปสังหารต้นหลิว
เป็นนักโทษแล้วยังกล้ามาท้าทายอำนาจที่นี่อีกหรือ ต้นหลิวผู้นี้เก็บไว้มิได้แล้ว!
มังกรยักษ์สีทองคำราม เสียงกู่ร้องมังกรดังกึกก้องอยู่ในฟ้าดิน เกล็ดมังกรส่องประกายวาววาม มันพ่นอสนีบาตสีทองออกมา ระเบิดแตกตัวในฉับพลัน
หนานฉงตัวสั่นระริก วิญญาณสั่นสะท้าน เขาทนคลื่นพลังปราณที่แผ่ซ่านออกจากตัวมังกรยักษ์สีทองมิได้ ใกล้เสียสติเต็มที!
ร่างกายของเขาเริ่มมีรอยร้าว โลหิตหลั่งรินออกมา เมื่ออยู่เบื้องหน้ามังกรยักษ์สีทอง ตัวเขาอ่อนแอจนไม่ควรค่าแก่การพูดถึง
เวลานั้นเอง เสียงดังฟึ่บ ก้านหลิวก้านหนึ่งหวดเข้าไป มังกรยักษ์สีทองผู้ดุดันน่ากลัวตัวแหลกลาญไปในบัดดล กลายเป็นเศษธุลีระยิบระยับ!
นอกจากนี้ มีแสงนวลเนียนทาบทับลงบนตัวหนานฉง รอยร้าวบนตัวหนานฉงหายไปหมดเกลี้ยง แรงกดดันที่เคยสัมผัสก็อันตรธานไปเสียสิ้น
ตู้ม!
ร่างทั้งหลายด้านหลังแม่เฒ่าบุกเข้าไป พวกเขาสำแดงวิชาแห่งปริภูมิเวลา หมายจะเปลี่ยนต้นหลิวให้อยู่ในวัยละอ่อน!
ทว่าต่อมา พวกเขาก็ต้องอึ้งงัน
วิชาปริภูมิเวลาที่พวกเขาผนึกกำลังใช้ออกไป เมื่อกระแทกบนตัวต้นหลิวแล้วกลับไม่ส่งผลอันใด!
ต้นหลิวไร้รอยขีดข่วน มิได้ถูกเปลี่ยนให้อยู่ในวัยละอ่อน
พรวด! พรวด! พรวด!
ก้านหลิวก้านหนึ่งหวดใส่ร่างทั้งหลายอย่างรวดเร็ว ร่างเหล่านั้นหมายใจอยากหยุดยั้งเวลา ทว่ากลับทำมิได้!
แม้จะหยุดยั้งเวลาไว้แล้ว แต่ก้านหลิวก้านนั้นไม่ได้รับผลกระทบ ยังคงหวดกระแทกตัวพวกเขาดังเดิม!
ร่างของพวกเขาแหลกลาญในทันที กลายเป็นหมอกเลือด เศษเนื้อสาดกระจายเกลื่อนพื้น!
ดวงตาแม่เฒ่าหรี่ลง คิดไม่ถึงว่าต้นหลิวจะแข็งแกร่งปานนี้!
ร่างทั้งหลายนี้ต่างฝึกฝนจนอยู่ในจุดสมบูรณ์สูงสุดของขอบเขตลอยชายขั้นเก้า ยามผนึกกำลัง สามารถประมือกับผู้บงการได้ด้วยซ้ำ!
ผลสุดท้าย ยามอยู่ต่อหน้าต้นหลิวกลับเปราะบางสิ้นดี ร่างแหลกลาญด้วยการหวดจากต้นหลิวอย่างง่ายดาย เกินความคาดหมายของนางไปไกลมาก!
มิน่า ต้นหลิวถึงฝ่าออกจากซากปริภูมิเวลาได้!
“ฆ่า!”
ร่างชราภาพของนางเปล่งแสงจรัสนับล้าน สำแดงวิชาลับปริภูมิเวลาบางอย่างออกมา ตราประทับปริภูมิเวลาปรากฏ หมายจะสะกดต้นหลิว!
พลังระดับนี้เหนือกว่าพลังที่ร่างทั้งหลายผนึกกำลังกันก่อนหน้านี้มาก แม่เฒ่าเป็นผู้ดูแลที่นี่ ระดับพลังของนางอยู่ในขอบเขตผู้บงการแล้ว!
ขณะเดียวกัน อักขระบนฐานตำหนักเหล่านั้นก็เปล่งประกายเจิดจ้า ร่วงหล่นลงจากฐานตำหนัก บุกสังหารไปหาต้นหลิว!
อักขระเหล่านี้มีความพิเศษเป็นอย่างยิ่ง แฝงไว้ด้วยเต๋าสูงส่ง มาจากเบื้องบนเทวโลก แดนกำเนิดของพวกเขา!
โฮกกก!
รูปปั้นอสูรศิลาก็ ‘มีชีวิต’ ขึ้นมา พวกมันส่งเสียงคำราม สร้างค่ายกลขึ้นมาได้จริง ๆ ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลพิฆาต เป็นด่านปราการสุดท้ายของพวกเขา
“เปล่าประโยชน์!”
ต้นหลิวตวาดเสียงเบา ก้านหลิวฉวัดเฉวียน ลบล้างพลังอาคมทั้งหมดในพริบตา แม่เฒ่ากระเด็นออกไป อักขระฐานตำหนักถูกสะกด ค่ายกลพิฆาตที่เกิดจากอสูรศิลาระเบิดแตกตัว!
แม่เฒ่าคิดไม่ถึงเลยว่าจะกลายเป็นเช่นนี้ เหตุใดต้นหลิวถึงทรงพลังได้ถึงเพียงนี้ มันมาจากที่ใดกันแน่?!
ขอบเขตผู้บงการมีด้วยกันทั้งหมดเก้าขั้นเช่นกัน ต้นหลิวอยู่ขั้นใดในขอบเขตผู้บงการกัน?!
พลังที่ต้นหลิวเผยให้เห็นเป็นพลังที่อยู่เหนือพวกเขาโดยสิ้นเชิง นางสงสัยว่าต้นหลิวอาจบำเพ็ญตนจนอยู่ในขั้นเก้าของขอบเขตผู้บงการแล้ว หรืออาจบรรลุเหนือขอบเขตผู้บงการไปแล้วก็ได้!
เรื่องนี้ไม่ได้สร้างความเหลือเชื่อให้นาง!
ต้นหลิวผู้แกร่งกล้าเช่นนี้ ไม่มีทางถูกส่งตัวมายังซากปริภูมิเวลาโดยไม่เต็มใจ ซากปริภูมิเวลาเป็นเรือนจำที่ก่อร่างสร้างขึ้นสำหรับจักรวาลโกลาหลนานัปการอันอยู่ใต้เบื้องบนเทวโลก พลังเช่นนี้ไม่มีทางส่งผลต่อต้นหลิว
ต้นหลิวตามพลังนั้นเข้าไปในซากปริภูมิเวลา แล้วตามซากปริภูมิเวลามาที่นี่ ต้นหลิวต้องการสิ่งใด
นางรู้สึกว่าบางทีต้นหลิวอาจมิใช่สิ่งมีชีวิตจากเทวโลก
หากต้นหลิวเป็นสิ่งมีชีวิตจากเทวโลก มีหรือต้องทำเรื่องให้ยุ่งยาก ต้นหลิวตรงเข้ามาที่เทวโลกได้เลย ไม่จำเป็นต้องหลากหลายขั้นต้อนขนาดต้องเข้าไปยังซากปริภูมิเวลาก่อน!
เทวโลกนั้นเข้ายาก กระนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าผู้นั้นเป็นใคร
พลังแกร่งกล้าเยี่ยงต้นหลิว หากคิดจะเข้ามาที่เทวโลกมิได้ยากเย็นนัก
และนี่ก็เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อสำหรับนาง!
ต้นหลิวซึ่งมาจากด้านนอกเทวโลก ฝึกฝนอย่างไรให้อยู่ในขอบเขตนี้ได้?!
เรื่องนี้พลิกโลกทัศน์ของนางอย่างสิ้นเชิง เป็นเรื่องที่นางคาดไม่ถึงเลย!
“ที่นี่คือที่ไหน”
ต้นหลิวเข้ามาประชิดตัวแม่เฒ่าพลางถาม
มันอยากรู้ว่าเหตุใดที่นี่ถึงคล้ายกับสถานที่นั่นถึงเพียงนี้!
อย่างที่คิด!
หลังได้ยินคำถามของต้นหลิว แม่เฒ่าหมดข้อสงสัย ต้นหลิวมาจากนอกเทวโลกจริง ๆ!
นางก็ว่าอยู่ หากต้นหลิวเป็นสิ่งมีชีวิตจากเทวโลกจริง ไฉนเลยจะกล้าท้าทายอำนาจพวกเขาเช่นนี้!
“ที่นี่คือเทวโลกชั้นที่หนึ่ง!”
แม่เฒ่าตอบ ทั้งไม่กล้าปิดบังและไม่อยากปิดบัง
นางอธิบายสถานการณ์ในเทวโลกให้ฟังโดยละเอียด ซ้ำยังย้ำถึงความเก่งกาจของกองกำลังปริภูมิเวลาอย่างพวกเขาเพื่อข่มขวัญต้นหลิว ให้ต้นหลิวรู้สึกยำเกรง มิกล้าทำตามอำเภอใจ
“มิน่า…”
ต้นหลิวถึงบางอ้อ
มิน่าที่นี่ถึงคล้ายคลึงกับสถานที่นั้นอย่างยิ่ง ที่แท้ทั้งสองที่ล้วนอยู่ในเทวโลก!
เทวโลกมีอยู่ทั้งหมดเก้าชั้น แต่ละชั้นล้วนกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ใหญ่เสียยิ่งกว่าจักรวาลโกลาหลซึ่งมโหฬารที่สุด และยังมีสิ่งมีชีวิตจากเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ อาศัยอยู่มากมายนับไม่ถ้วน
จากชั้นหนึ่งถึงชั้นเก้า ชั้นที่หนึ่งคือชั้นที่อ่อนแอที่สุด ชั้นที่เก้าแข็งแกร่งที่สุด แต่ละชั้นที่สูงขึ้นจะมีพลังแกร่งกล้าขึ้น เบื้องบนเทวโลกนั้นทรงพลังที่สุด ที่นั่นคือแก่นสำคัญ ทุกสิ่งทุกอย่างในเก้าชั้นนี้ต่างมาจากเบื้องบนเทวโลก
ดินแดนนั้นอยู่บนชั้นที่เก้า เข้าใกล้เบื้องบนเทวโลกมากยิ่งขึ้น สิ่งมีชีวิตในนั้นต่างไม่ธรรมดา เก่งกล้าสามารถอย่างยิ่งยวด!
‘ข้าก็ว่าเหตุใดที่นั่นถึงน่าประหวั่นพรั่นพรึงเพียงนี้!’
ต้นหลิวคิดในใจ
ที่นั่นน่ากลัวเกินไป ด้วยขอบเขตพลังของมันในตอนนี้ยังไปมิได้ เดิมมันอยากรอให้พลังยกระดับขึ้นแล้วค่อยไป เพื่อเป็นการเคี่ยวกรำให้ก้าวหน้าขึ้น
ทว่าบัดนี้ดูแล้ว มันไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นอีก
มันคิดว่าที่แห่งนั้นเป็นเพียงดินแดนหนึ่ง ความจริงกลับมิใช่เช่นนั้น ใต้ดินแดนนั้นยังมีอีกแปดชั้น มันสามารถฝึกฝนไปทีละชั้น แล้วค่อยเข้าไปยังชั้นที่เก้า!
เช่นนี้ การเคี่ยวกรำและความก้าวหน้าที่ได้จากการต่อสู้ย่อมไวกว่าการบำเพ็ญตามลำพังของมันมากนัก มันเชื่อว่า อีกไม่นานมันก็สามารถไปยังดินแดนนั้น กวาดล้างศัตรูทั้งหมด!
จากนั้น มันทิ้งหนานฉงไว้ที่ชั้นนี้ โดยส่งไปยังสถานที่อื่นในชั้น
“สำหรับเจ้า นี่คงเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง ถึงอย่างไรเทวโลกก็ไม่ธรรมดา เจ้าอยู่ที่นี่ จะฝึกฝนได้ดีขึ้นมาก”
ต้นหลิวบอกกับหนานฉง “ทว่าที่นี่ก็อันตรายกว่ามากเช่นกัน หากสุดท้ายแล้วเจ้ารอดมาได้ ข้าจะพาเจ้าไปด้วย”
“ขอบคุณพี่หลิว!”
หนานฉงกล่าวขอบคุณต้นหลิวอย่างจริงจัง
หากมิใช่ต้นหลิว ก่อนหน้านี้เขาคงต้องตายอยู่ในซากปริภูมิเวลาแล้ว
และที่ต้นหลิวว่ามาก็ไม่ผิด เขาได้อยู่ที่ชั้นนี้ต่อ ถือเป็นวาสนาใหญ่หลวงอย่างแท้จริง ต้องรู้ว่า มีสิ่งมีชีวิตที่กระโดดออกจากจักรวาลโกลาหลมากมายอยากเข้ามาในเทวโลก แต่เข้ามาไม่ได้!
แน่นอนว่าภยันตรายก็มากกว่าด้วย
ถึงอย่างไรที่นี่ก็คือเทวโลก แม้จะเป็นชั้นที่หนึ่ง กระนั้นสิ่งมีชีวิตในนี้ที่แข็งแกร่งกว่าเขาก็มีอยู่นับไม่ถ้วน หากเขาไม่ระวังตัวให้มาก อาจจบชีวิตลงได้ทุกเมื่อ
สุดท้าย ต้นหลิวไปจากชั้นนี้
มันผ่านไปชั้นแล้วชั้นเล่า แล้วหยุดตรงชั้นที่หก
เพราะรู้สึกถึงแรงกดดันและภยันตรายได้จากชั้นที่หก มันสามารถฝึกฝนเคี่ยวกรำในสถานที่นี้ได้
…
ภายในแดนบรรพโกลาหล
กาลเวลาผ่านเลยไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ผลัดเปลี่ยนไปแล้วหลายเดือน
ความเร็วในการก้าวหน้าของซีทำให้จ้าวดินแดนต่าง ๆ อาทิจ้าวแห่งตงชิวตกตะลึงอย่างแท้จริง!
ใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือน ซีถึงกับฝึกฝนจนอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นสมบูรณ์ แล้วเหนือขั้นขึ้นไปจากขอบเขตเซียน มาอยู่ในขอบเขตบรรพจารย์เซียน!
เป็นเรื่องน่าตกใจอย่างไม่ต้องสงสัย!
ต้องรู้ว่า ขอบเขตบรรพจารย์เซียนเป็นระดับพิเศษ มิใช่ระดับตามเกณฑ์ทั่วไป ใช่ว่าใคร ๆ ต่างบรรลุมายังขอบเขตนี้ได้ สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่หลังบรรลุขั้นจักรพรรดิเซียนแล้วจะไปถึงขอบเขตโกลาหลโดยตรง
มีเพียงปัจเจกบุคคลผู้มีความสามารถสะท้านโลกาเท่านั้น จึงจะก้าวสู่ขอบเขตบรรพจารย์เซียนที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์!
และระยะห่างระหว่างสองขอบเขตนี้ก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว!
ผู้ที่ก้าวสู่ขอบเขตโกลาหลจากขอบเขตบรรพจารย์เซียน ไม่ว่าพลังด้านใดต่างเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตผู้ก้าวสู่ขอบเขตโกลาหลจากขอบเขตจักรพรรดิเซียนอย่างสิ้นเชิง ซ้ำยังเป็นความเหนือกว่าชนิดบดขยี้!
ในหลายเดือนที่ผ่านมา ซีบรรลุสู่ขอบเขตบรรพจารย์เซียนตั้งแต่ขั้นเซียนสมบูรณ์ ความเร็วระดับนี้แม้แต่ในแดนบรรพโกลาหลก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!
แต่ลองคิดดูแล้ว ซีมีพรสวรรค์เกรียงไกร ไม่ว่าวิชาอาคมเช่นไร นางอ่านเพียงรอบเดียวก็รู้แจ้งได้อย่างถ่องแท้ ซ้ำยังเจอจุดด่างพร้อยในนั้น จนจ้าวแห่งแดนต่าง ๆ อย่างจ้าวแห่งตงชิวเริ่มเฉยชาลง
ความเร็วในการบรรลุระดับนี้จึงจะคู่ควรกับพรสวรรค์เกรียงไกรของซี!
“ขอบคุณการชี้แนะสอนสั่งจากอาวุโสทุกท่าน! ข้าอยากออกไปจัดการธุระนอกแดนบรรพกาลเสียหน่อย!”
ซีบอกกับจ้าวแห่งตงชิว และจ้าวแห่งดินแดนอื่น ๆ
“อย่าได้เอ่ยว่าชี้แนะสอนสั่งเลย! พวกเราช่วยได้ไม่มากจริง ๆ!”
“ใช่แล้ว!”
จ้าวแห่งตงชิว และจ้าวแห่งดินแดนอื่น ๆ เอ่ยเสียงเจื่อน ๆ ชี้แนะสอนสั่งอันใดกัน ซีชี้แนะสอนสั่งพวกเขาสิไม่ว่า
“เจ้ามีธุระอันใดที่ข้างนอกหรือ”
จ้าวแห่งก่วงหลิงเอ่ย “ให้พวกเราไปช่วยดีหรือไม่”
นางกังวลว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดกับซีที่ข้างนอกนั่น ทว่าหลังนางพูดจบ ก็ตระหนักได้ว่าความวิตกของนางนั้นหาได้จำเป็นไม่
จะเกิดเรื่องกับซีได้อย่างไรกัน?
ต่อให้เกิดเรื่องกับนาง ก็ไม่มีทางเกิดเรื่องกับซี!
เบื้องหลังของซีมีท่านผู้นั้นคอยคุ้มครองอยู่นะ!
แม้กระทั่งต้นบรรพจารย์ผู้มาจากแดนกำเนิดพิศวงลางร้ายอย่างแท้จริงยังทำร้ายซีมิได้ แล้วผู้ใดจะแผ้วพานซีได้เล่า!
“แก้แค้น!”
ดวงตาของซีลุกวาว ยามเอ่ยถึงธุระที่นางจะออกไปจัดการข้างนอก
นางต้องการกลับภพเซียน ล้างแค้นให้กับตระกูลของนาง!
นางรอวันนี้มาไม่รู้ตั้งนานเท่าไหร่!
นางลืมบิดามารดาที่ตายอยู่เบื้องหน้านางไม่ลง และลืมคนในตระกูลที่ถูกตระกูลเซียวเข่นฆ่าอย่างอำมหิตไม่ลง เพราะอย่างนั้น หลังนางบรรลุขอบเขตบรรพจารย์เซียน ก็จบการฝึกฝนทันที และตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังภพเซียน!
“ได้!”
“พวกเราจะส่งเจ้าออกไปเอง!”
จ้าวแห่งตงชิว และจ้าวแห่งดินแดนอื่น ๆ มิได้ถามอันใดมาก พวกเขารับรู้ถึงความแค้นเคืองจากตัวซี ซีคงแบกรับหนี้แค้นใหญ่หลวงบางอย่างไว้แน่!
แดนบรรพโกลาหลอยู่ในสภาวะปิดสนิท พวกเขาร่วมมือกันเปิดเส้นทางเส้นหนึ่งให้ซี ทั้งยังบอกซีว่า ยามซีกลับมา ให้ซีติดต่อพวกเขาล่วงหน้า แล้วพวกเขาจะเปิดเส้นทางนี้ขึ้นอีกครั้ง
ในแดนบรรพโกลาหลนี้ มีเส้นทางนี้อยู่เพียงเส้นทางเดียว เป็นเส้นทางที่ถูกสร้างขึ้นโดยบรรพจารย์จากดินแดนต่าง ๆ มีเพียงจ้าวแห่งดินแดนอย่างพวกเขาร่วมมือกันประทับมือลงไปที่แท่น จึงจะเปิดใช้เส้นทางนี้ได้
“ขอบคุณ!”
ซีกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะก้าวสู่เส้นทางนั้น ออกจากแดนบรรพโกลาหล