ตอนที่ 769 แอบซ่อน
เมื่อทั้งสองกลับถึงบ้าน คุณย่าฟางก็ได้เตรียมอาหารกลางวันไว้แล้ว
เห็นพวกเขาทั้งสองเข้ามาในห้องนั่งเล่น คุณย่าฟางก็ดุฟางจั๋วหราน “ใกล้จะถึงเวลาอาหารแล้ว อากาศหนาวขนาดนี้ พาม่ายจื่อไปที่ไหนมา”
ครั้นทั้งสองนั่งลง ฟางจั๋วหรานจึงบอกคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางว่าซูอวี้อิ๋งมาหาเขา
คุณย่าฟางพูดอย่างขยะแขยง “อวี้อิ๋งไร้ยางอายมากขึ้นเรื่อย ๆ หลานทั้งสองคนแต่งงานกันแล้ว หล่อนยังมารบกวนหลานอีก!”
เดิมทีหลินม่ายต้องการบอกจุดประสงค์ของซูอวี้อิ๋งให้สองสามีภรรยาฟัง แต่เธอกลัวว่าพวกเขาจะตื่นตระหนกหลังจากได้ยินเรื่องนี้
ซูอวี้อิ๋งไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากพ่อของหล่อนในเรื่องนี้ แต่ยืนกรานที่จะให้คุณปู่ฟางช่วยเหลือ เห็นได้ชัดว่าหล่อนมีแผนการจะดึงคุณปู่ฟางเข้าสู่ปัญหาด้วยใช่ไหม?
ใครจะยอมให้เป็นแบบนั้น!
เธอคิดว่าคงจะดีกว่าหากคุณปู่และคุณย่าฟางไม่รู้เรื่องนี้ เพราะหากรู้พวกเขาก็อาจโกรธเคือง
หลังอาหารกลางวัน หลินม่ายวางชามพร้อมตะเกียบและกำลังจะไปตลาด
แม้ว่ารัฐบาลได้เปิดร้านขายธัญพืชและน้ำมันของรัฐและเปิดตลาดผักที่ดำเนินการโดยรัฐ ในช่วงที่เกิดพายุหิมะ ประชาชนสามารถซื้อธัญพืช น้ำมัน ผัก ปลา เนื้อ และไข่ได้ แม้จะไม่มีบัตรก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ร้านค้าธัญพืชและน้ำมันของรัฐรวมถึงตลาดมีสินค้าจำกัด ดังนั้นผู้คนจึงไปยังตลาดฝูตัวตัว
ตลาดฝูตัวตัวมีอาหารหลากหลายชนิดและมีปริมาณมาก อีกทั้งอาหารยังสดใหม่
มีลูกค้ามากเกินไปและพนักงานก็ยุ่งอยู่กับงาน แม้หลินม่ายจะเดินทางไปที่นั่นแล้ว ก็ยังไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้มาก
แต่ก่อนที่เธอจะออกไป เธอก็จงใจไปยังประตูหลังเพื่อดูซูอวี้อิ๋ง และเห็นว่าหล่อนยังคงคุกเข่าอยู่ท่ามกลางหิมะ
แต่หลินม่ายไม่ได้รู้สึกแย่แต่อย่างใด หากเธอชอบที่จะคุกเข่าก็ปล่อยเธอไป
หลินม่ายฝ่าพายุหิมะมาถึงตลาดฝูตัวตัว
ก่อนเข้าไปในตลาด เธอได้ยินเสียงผิดปกติจากด้านใน
เธอรีบเดินเข้าไปและเห็นคุณป้าแต่งตัวดี สวมต่างหูทอง ซึ่งเป็นหญิงผมหยิกสั้นกำลังส่งเสียงดังโหวกเหวกลั่นตลาด
ผู้ปฏิบัติงานกลุ่มเล็ก ๆ สองสามคนในปัจจุบันล้วนเผยสีหน้าไร้หนทางพร้อมน้อมรับคำกล่าวหาที่ลูกค้าต่อว่า
แต่ป้าคนนั้นเก่งกาจในการต่อสู้และเก่งเรื่องสร้างปัญหาโดยไม่มีเหตุผล มีคนมากมายมารุมล้อม แต่ก็ไม่สามารถห้ามปรามได้
หลินม่ายเดินเข้าไปหาคุณป้าและถามอย่างใจดี “สวัสดีค่ะคุณป้า ฉันเป็นเจ้าของตลาดฝูตัวตัว หากคุณป้าไม่พอใจกับตลาดของเราในส่วนไหนบอกฉันได้เลยนะคะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนุ่มนวลของหลินม่าย หญิงสูงวัยก็คิดว่ามีคนยอมอ่อนข้อให้หล่อนแล้ว
หล่อนชี้หน้าหลินม่ายด้วยความโกรธและหยิ่งผยอง นิ้วของหล่อนแทบจะแทงทะลุใบหน้าของหลินม่าย
หล่อนพูดอย่างจริงจัง “ตลาดของคุณช่างหลอกลวงปลิ้นปล้อน มีการตกลงร่วมกันว่าผู้พิการ หญิงหม้าย ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยหนักสามารถรับเงินช่วยเหลือได้ฟรีหากลงทะเบียนที่ตลาดของคุณ ฉันลงทะเบียนทางโทรศัพท์ตั้งแต่เช้าตรู่ แต่หลังจากที่อาสาสมัครของคุณมาสอบสวน พวกเขาก็บอกว่าครอบครัวของฉันไม่มีสิทธิ์ ลูกชายคนรองของฉันพิการ ทำไมครอบครัวของเราถึงไม่มีสิทธิ์? คุณบอกหน่อยสิว่าทำไมฉันถึงไม่มีคุณสมบัติ?!”
ผู้ปฏิบัติงานกลุ่มเล็ก ๆ ที่ตลาดฝูตัวตัวโกรธจนหน้าซีด ลูกค้าหลายคนต่างแสดงความไม่พอใจ แต่พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์พูดอะไร
“ประกาศที่เผยแพร่ในหนังสือพิมพ์โดยตลาดฝูตัวตัว ระบุอย่างชัดเจนว่า เฉพาะผู้พิการที่ยากจนมาก ผู้สูงอายุที่ยากจนมาก แม่หม้าย และผู้ป่วยที่ยากจนเท่านั้นที่มีสิทธิ์ลงทะเบียนรับเงินอุดหนุน ดูสิคะ คุณมีแหวนทอง ตุ้มหูทอง แต่งตัวดี ดูอ้วนท้วนสมบูรณ์ ไม่เหมือนกลุ่มคนจน แบบนี้แล้วยังคิดว่าคุณมีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนอีกเหรอคะ?”
หญิงสูงวัยตะโกน “แต่ครอบครัวของฉันลำบาก!”
เมื่อเห็นว่าหล่อนเริ่มเล่นเกมโกงเพื่อจะเอาเงินอุดหนุน ทุกคนต่างก็ส่ายหัวและมองหล่อนด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
ในเวลานี้ เจ้าหน้าที่กลุ่มเล็ก ๆ ของตลาดฝูตัวตัวก็กล่าวอย่างชอบธรรม “อาสาสมัครของเราได้ทำการตรวจสอบแล้ว แม้ว่าครอบครัวของคุณจะมีลูกชายที่พิการ แต่ลูกชายที่พิการของคุณก็มีที่ทำงาน หน่วยงานของเขาจ่ายค่าครองชีพให้เขาทุกเดือน และไม่มีปัญหาในเรื่องอาหารและเสื้อผ้า ทั้งคุณและสามีมีเงินบำนาญ ซึ่งก็ถือเป็นเงินจำนวนไม่น้อย ไม่ถือว่าเป็นครัวเรือนที่ยากจนเลยด้วยซ้ำ”
หญิงสูงวัยตะโกนด้วยความไม่พอใจจนน้ำลายกระเซ็นไปทั่วหน้าเขา “ค่าครองชีพที่ลูกชายฉันได้รับจากโรงงานก็แค่พอกินเท่านั้น ในฐานะผู้ใหญ่ เขาควรจะให้เงินบำนาญเพิ่มไม่ใช่เหรอ? การที่เขาไม่อาจหาเลี้ยงชีพตัวเองได้อีกทั้งยังพิการ ก็ถือว่าเขาเป็นประชากรที่ยากจนมากไม่ใช่เหรอ?”
ทุกคนตกใจกับคำพูดที่ไม่สมเหตุสมผลของหล่อน
มีคนเตือนหญิงสูงวัยด้วยความโกรธ “คุณและสามีของคุณต่างก็มีเงินบำนาญ ยังจะต้องการเงินอุดหนุนไปทำอะไรอีก?”
หญิงสูงวัยพูดอย่างมีเหตุผล “ฉันและสามีมีเงินบำนาญ แต่เงินนั้นก็ถือเป็นเงินของเรา ไม่ใช่เงินที่เราควรเอามาใช้จ่ายเลี้ยงดูลูกชายพิการที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว!”
ทุกคนโกรธจนไม่รู้จะพูดอะไร
หลินม่ายจงใจถามที่อยู่บ้านของหญิงสูงวัยคนนี้
หญิงสูงวัยไม่เข้าใจจึงเอ่ยถาม “เธอจะถามทำไม?”
หลินม่ายกล่าว “ฉันแค่ต้องการทราบหน่วยงานและที่อยู่บ้านของคุณ ถ้าฉันมีเวลา ฉันจะไปสืบด้วยตัวเองเพื่อดูว่าลูกชายของคุณมีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนฟรีหรือไม่”
หญิงสูงวัยลังเลอยู่ครู่หนึ่งและรายงานที่อยู่บ้านของหล่อนพร้อมหน่วยงานก่อนหน้าของหล่อน
หลินม่ายพยักหน้า “โอเคค่ะ ฉันจะไม่มาสอบสวนอีกต่อไป และฉันจะให้เงินอุดหนุนแก่คุณ”
หญิงสูงวัยมีความสุขมาก หล่อนมองทุกคนด้วยสายตาอิ่มเอมใจ
แต่ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นโกรธจัด และพวกเขาก็โพล่งออกมาทันที โดยกล่าวหาว่าหลินม่ายกระทำการโดยไม่มีหลักการ
หลินม่ายกางมือและพูดอย่างหมดหนทาง “พวกคุณกำล้งคิดว่าทำไมฉันถึงให้เงินอุดหนุนแก่ป้าคนนี้ใช่ไหมคะ? เพราะหากฉันไม่ให้หล่อน หล่อนก็จะสร้างปัญหาในตลาดของเราต่อไป ไม่เพียงแต่สร้างปัญหาในวันนี้ แต่ยังสร้างปัญหาในวันพรุ่งนี้และมะรืนนี้ และจะไม่หยุดจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย ฉันยังต้องประกอบธุรกิจและหาเงินให้ได้มากที่สุด เพราะหากหาเงินไม่ได้ฉันจะเอาเงินที่ไหนมาช่วยเหลือคนยากไร้เหล่านั้นคะ?”
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของเธอ พวกเขาต่างเห็นอกเห็นใจเธออีกครั้ง
มันไม่ง่ายเลยสำหรับหญิงสาวตัวเล็ก ๆ ที่อายุยังน้อยต้องมาถูกหลอกลวงอย่างไร้เหตุผลเพื่อทำการกุศล
ลูกค้าบางคนในฝูงชนพูดอย่างโกรธเคือง “งั้นก็อย่าจัดงานการกุศลนี้อีกเลย เพราะพวกที่ต้องการความช่วยเหลือจริง ๆ ก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือ มีแต่กลุ่มคนเห็นแก่ตัวที่ก่อกวนและคว้าเอาผลประโยชน์ไป!”
คำพูดของเขาได้รับการสนับสนุนจากผู้คนมากมาย
หลินม่ายแสร้งทำเป็นครุ่นคิดแล้วจึงกล่าว “สิ่งที่คุณพูดมีเหตุผลมาก ถ้าอย่างนั้นฉันจะยกเลิกงานการกุศลนี้ค่ะ”
หญิงสูงวัยคนนั้นยังคงไม่ลดละ
ทุกคนจึงดุหล่อนด้วยความโกรธ “งานการกุศลถูกยกเลิกไปแล้ว คุณต้องการอะไรอีก?”
หลินม่ายสั่งผู้ปฏิบัติงานกลุ่มเล็กอย่างเย็นชา “พวกคุณไปที่สถานีตำรวจให้ฉันทีค่ะ ฝากถามพวกเขาว่าหากมีลูกค้าในตลาดที่พยายามจะเอาเงินอุดหนุนของเราอย่างไม่ชอบธรรม พวกเขาจะจัดการอย่างไรได้บ้าง”
เมื่อได้ยินดังนั้น หญิงสูงวัยที่ด่าทอเธอก็เดินจากไป
หลินม่ายถามพนักงานที่อยู่เคียงข้างเธอ “ทำไมผู้จัดการทังถึงไม่อยู่ที่นี่?”
เพราะหากเขาอยู่ คงเป็นไปไม่ได้ที่หญิงสูงวัยผู้นี้จะอาละวาดเช่นนี้
เพราะผู้จัดการทังมีความสามารถในการจัดการปัญหาได้ดี
พนักงานคนนั้นตอบกลับ “คุณจ้าวกำลังขนย้ายสินค้าจำนวนมากไปยังเมืองหลวง และผู้จัดการทังก็จัดกำลังคนและยานพาหนะไปที่นครฉือเจียงจวงเพื่อรับสินค้า”
หลินม่ายพยักหน้าเล็กน้อย
ในเวลานี้ อาสาสมัครหลายคนรวมตัวกันและถามหลินม่ายอย่างไม่เต็มใจและผิดหวังว่า จำเป็นต้องยกเลิกงานการกุศลที่ให้เงินอุดหนุนจริงหรือ
หลินม่ายนำอาสาสมัครทั้งหมดไปที่สำนักงานของผู้จัดการทัง
หลังจากปิดประตู เธอก็กล่าวขึ้น “เป็นไปไม่ได้ที่จะยกเลิกงานการกุศล ฉันเพียงพูดเพื่อขับไล่คุณป้าคนนั้นออกไป”
อาสาสมัครผ่อนคลายและยิ้ม
ทุกคนพูดพล่าม “ถ้าคุณหลินเลิกช่วยคนตกทุกข์ได้ยากเพราะผู้หญิงคนนั้นจริง คนที่ต้องการความช่วยเหลือก็น่าสงสาร!”
หลินม่ายพยักหน้า “ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ฉันก็กลัวเหมือนกันว่าพวกวายร้ายจะมาสร้างปัญหา ดังนั้นฉันจึงขอหยุดงานการกุศลนี้ไปก่อนห้าวัน อย่างไรก็ตาม การสำรวจครัวเรือนให้ดำเนินการไปตามปกติ แต่ดำเนินการอย่างลับ ๆ ตั้งแต่สว่างจนถึงความมืด พวกเขาทำเช่นนั้นเพื่อไม่ให้ป้าสูงวัยที่เห็นแก่ตัวกลับมาสร้างปัญหาที่ตลาดอีก คุณทุกคนคงเข้าใจถึงเหตุผลที่ฉันทำแบบนี้”
อาสาสมัครทั้งหมดพยักหน้าอย่างเข้าใจ “เราเข้าใจแล้ว!”
อาสาสมัครคนหนึ่งถามอย่างงุนงง “หัวหน้าหลิน ในเมื่อสามารถแจ้งตำรวจสามารถขับไล่ป้าที่น่ารังเกียจคนนั้นไปได้ ทำไมเราไม่แจ้งตำรวจตั้งแต่แรกล่ะคะ?”
มีเหตุผลที่หลินม่ายไม่ไปหาตำรวจตั้งแต่แรก
กระทั่งความตั้งใจของเธอที่จะยกเลิกงานการกุศลต่อหน้าลูกค้าจำนวนมากในตลาดก็มีจุดประสงค์
เธอวางแผนทุกย่างก้าว วางแผนที่จะสอนบทเรียนที่เจ็บปวดแก่ป้าคนนั้น
วิธีการของเธอค่อนข้างคลุมเครือ และโดยธรรมชาติแล้วเธอไม่ต้องการให้คนอื่นรู้
เธอตอบกลับ “ตอนนั้นฉันไม่ทันคิด มาคิดได้ในภายหลัง พวกคุณก็คิดจะใช้ตำรวจมาข่มขู่หล่อนเหมือนกันใช่ไหม?”
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายสัญญาว่าจะทำกิจกรรมการกุศลต่อไป ทุกคนก็รู้สึกอารมณ์ดีและมีกำลังใจในการทำงานมากขึ้น
อาสาสมัครหลายคนที่รับผิดชอบบริการจัดส่งสินค้าต่างพร่ำบ่น
พวกเขาบอกว่าในขณะที่พวกเขาค้นถุงใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยข้าวของจำเป็นมากมายนำส่งให้ผู้ยากไร้เหล่านั้น พวกเขากลับปฏิเสธจะรับและส่งคืนสินค้า
คนเรานั้นไม่ได้คำนึงถึงความยากลำบากที่พวกเขาต้องขนสินค้าเหล่านี้นำส่งเลย
ทุกครั้งที่พวกเขานำสินค้าไปส่ง ผู้รับก็จะตีกลับอย่างต่อเนื่อง
เมื่อถูกปฎิเสธรับของ อาสาสมัครเหล่านั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องแบกสินค้ากลับ
เหตุการณ์นี้ทำให้พวกเขารู้สึกท้อแท้ใจจนไม่อยากเป็นอาสาสมัครอีกต่อไป
ครอบครัวใดที่ไม่ได้ยากไร้จริงก็มักจะเรื่องมากเมื่อได้รับสินค้า หากสินค้าเหล่านั้นไม่ตรงตามความต้องการของพวกเขา พวกเขาก็จะหาข้ออ้างในการส่งกลับและข้อสินค้าชิ้นใหม่ทันที
แต่ครอบครัวที่ยากไร้จริงก็มักจะสุภาพ เมื่ออาสาสมัครนำของไปส่งถึงบ้าน พวกเขาก็จะมอบเงินค่าจัดส่งให้คนเหล่านี้และขอบคุณอยู่เสมอ
เมื่อได้ยินคำพร่ำบ่นของพวกเขา หลินม่ายจึงตอบกลับ “ทั้งหมดเป็นความผิดของฉันเองที่ไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบ ในอนาคต หากพวกคุณถูกปฏิเสธสินค้าในลักษณะนี้อีก ให้ไปร้องเรียนอย่างคณะกรรมการในสำนักงานของหน่วยงานที่พวกเขาได้รับการคุ้มครองอยู่ หรือไม่ก็ไปร้องเรียนกับสื่อเพื่อขอคำอธิบาย พวกคุณไม่ควรตามใจพวกเขา ต้องรู้จักปล่อยให้พวกเขาชดใช้การกระทำของตัวเองบ้าง!”
เหล่าอาสาสมัครพยักหน้า
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มันก็จะมีพวกเห็นแก่ตัวที่ฉวยโอกาสกอบโกยจากงานการกุศลอย่างนี้อะน้า เพราะมีคนพวกนี้อยู่นี่แหละ คนอื่นๆ ที่ตั้งใจจะทำความดีถึงได้ท้อใจ ส่วนคนรับก็รู้สึกไม่ดีว่าจะมาหลอกหรือเปล่า
ไหหม่า(海馬)