ตอนที่ 784 ผลการประมูล
หลังอาหารเย็น หลินม่ายกลับไปที่ห้องเพื่อพักผ่อน
ในเวลานี้ โทรศัพท์ข้างเตียงก็ดังขึ้น
หลินม่ายหยิบโทรศัพท์ขึ้น ก่อนที่เซิ่งหนิงเฉียวจะถามเข้าประเด็นทันทีว่า “คุณรู้จักอู๋เสี่ยวเจี๋ยนไหม?”
“รู้จักสิ” หลินม่ายถามอย่างงุนงง “คุณถามถึงเขาทำไมหรือ?”
“เขาไปเยี่ยนหลินเพ่ยที่คุกวันนี้”
หลินม่ายไม่ได้แปลกใจเลย
ตั้งแต่ตอนที่เธอเห็นอู๋เสี่ยวเจี๋ยนนอกสถานที่ประมูลของธนาคาร เธอรู้ได้ทันทีที่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนปรากฏตัวในเมืองหลวงก็เพื่อมาพบกับหลินเพ่ย
ความหลงใหลที่เขามีต่อหลินเพ่ยชัดเจนเสียจนมองเห็นได้จากดวงจันทร์
หลินม่ายถาม “คุณรู้ไหมว่าเขาและหลินเพ่ยคุยอะไรกันบ้าง?”
“ผมถามผู้คุมซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ในห้องรับรองในขณะนั้น เขาบอกว่าเสียงของพวกเขาเบามากจนไม่ได้ยินบทสนทนา แต่เมื่อพิจารณาจากพฤติกรรมของพวกเขาแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองนั้นดูแน่นแฟ้นเป็นพิเศษ”
เซิ่งหนิงเฉียวกระซิบกล่าว “ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนเป็นอย่างไรกันแน่?”
“อู๋เสียวเจี๋ยนนับถือหลินเพ่ยเหมือนเทพธิดา ส่วนหลินเพ่ยเห็นว่าเขาเป็นแค่สุนัขรับใช้”
เซิ่งหนิงเฉียวพูดไม่ออกเป็นเวลานานด้วยความประหลาดใจ
หลังจากนั้นไม่นานเขาพูดว่า “หลินเพ่ยนิสัยแย่มาก แต่กลับยังมีคนหลงรักหล่อนได้อีกหรือ? ไม่น่าเชื่อ พระเจ้าตามืดบอดไปแล้วหรือยังไง?”
หลินม่ายกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ต่อให้เป็นตัวร้าย แต่ก็สมควรได้รับความรักไม่ใช่หรือ?”
เซิ่งหนิงเฉียวตอบอย่างตรงไปตรงมา “ก็จริงอยู่”
ในสายตาของเขา คนเลวแบบนี้สมควรถูกฟ้าผ่าตาย นับประสาอะไรกับความรัก!
เขาถามต่อ “คุณคิดว่า ถ้าอู๋เสี่ยวเจี๋ยนรู้เรื่องอุกอาจที่หลินเพ่ยทำ เขาจะคิดได้และทิ้งหลินเพ่ยไปไหม?”
“คงไม่” หลินม่ายตอบอย่างหนักแน่น
เธอรู้จักอู๋เสี่ยวเจี๋ยนเป็นอย่างดี แม้ว่าเขาจะถูกขอร้องให้ฆ่าคนในครอบครัว เขาก็ยอมทำโดยดี
หากขอให้เขาทิ้งหลินเพ่ย เขาคงยอมตายเสียดีกว่า!
แต่เซิ่งหนิงเฉียวไม่เชื่อเรื่องเหลวไหลนี้
จะมีคนงี่เง่าถึงขนาดนี้บนโลกได้อย่างไร แม้รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นแม่ดอกบัวขาว แต่ก็ยังคงชื่นชอบหล่อนเหมือนเดิม
เขาต้องพิสูจน์ให้หลินม่ายเห็นว่า สิ่งที่เธอพูดนั้นผิด
เช้าตรู่วันอาทิตย์ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกินข้าวช้าวที่บ้านของฝูโช่วกุ้ย โดยใช้ข้ออ้างว่าเขาไม่สามารถกินอยู่ที่นี่ฟรี ดังนั้นจึงขอออกจากบ้านไปหางานทำขณะที่ออกตามหาที่อยู่ของไป๋ซวง
แท้จริงเขาค่อนข้างกังวลเล็กน้อย เมืองหลวงที่มีขนาดใหญ่และผู้คนมากมายเช่นนี้ เขาจะตามหาไป๋ซวงได้อย่างไร?
เขาเดินไปตามท้องถนนเหมือนสัมภเวสีที่ไม่รู้จุดหมายปลายทาง
ในเวลานี้ชายร่างสูงใบหน้าเคร่งขรึมเข้ามาขวางด้านหน้าและบอกว่าต้องการคุยกับเขา
ชายคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเซิ่งหนิงเฉีย
เมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนไม่ได้มีเจตนาดี อู๋เสี่ยวเจี๋ยนจึงไม่อยากเสียเวลาคุยกับเขา
แต่แรงกดดันจากอีกฝ่ายมีมากเกินไป เขาไม่กล้าปฏิเสธ และเพียงเดินตามเซิ่งหนิงเฉียวไปที่ข้างถนน
เซิ่งหนิงเฉียวบอกเขาว่าหลินเพ่ยจ้างคนมาข่มขืนไป๋ซวงและถ่ายภาพอนาจารของหล่อน พร้อมทั้งขู่ไป๋ซวงให้ไปทำศัยกรรมพลาสติกเพื่อแสร้งทำเป็นหลินม่าย…
สิ่งเลวร้ายทั้งหมดเหล่านี้ได้บอกกล่าวกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยน
ก่อนจะถามออกอย่างขวานผ่าซาก “หลังจากรู้พฤติกรรมเลวทรามนี้แล้ว คุณจะยังรักหล่อนอยู่อีกไหม?”
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกลับมารู้สึกตัวและถามไปว่า “คุณเป็นใคร? แล้วมาบอกเรื่องพวกนี้กับผมทำไม?”
เซิ่งหนิงเฉียวกล่าวตอบ “ไม่ต้องสนใจหรอกว่าผมเป็นใคร ผมแค่อยากรู้ว่าคุณจะทำยังไงหลังจากที่รู้ธาตุแท้ของหลินเพ่ยแล้ว?”
แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีท่าทางน่าเกรงขาม แต่ก็ไม่ได้มีเจตนาจำทำร้ายเขา ดังนั้นเขาจึงสลัดทิ้งความกลัวในตอนแรกไปบ้าง
เขากลอกตาและตอบกลับไป “ไม่ว่าผมจะทำอะไรก็ไม่ใช่ธุระกงการของคุณ!”
แม้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนจะไม่ตอบคำถาม เซิ่งหนิงเฉียวก็ไม่ได้คะยั้นคะยอถามต่อ เพราะในไม่ช้าเขาก็จะได้รู้คำตอบเอง
เพราะในตอนเที่ยงของวันเดียวกันนั้น อู๋เสี่ยวเจี๋ยนใช้เงินอันน้อยนิดที่มีอยู่ไปซื้อไก่ย่าง เพื่อขอให้ผู้คุมนำไปมอบให้กับหลินเพ่ย
เซิ่งหนิงเฉียวโทรหาหลินม่าย หลังจากนั้นเขาก็พูดอย่างอารมณ์เสีย “คุณพูดถูกจริงด้วย ผมบอกธาตุแท้ของหลินเพ่ยกับผู้ชายคนนั้นแล้ว เขาไม่เพียงคิดได้และทิ้งหล่อน แต่ยังซื้อไก่ย่างไปฝากหล่อนอีกด้วย ผมไม่เข้าใจวงจรสมองของคนประเภทนี้เลย ทำไมเขาถึงหลงชอบนังผู้หญิงเลวคนนั้นได้?”
“เพราะหล่อนต้องการฉกฉวยผลประโยชน์จากเขาและรู้จักพูดจาหว่านล้อม คุณลองคิดในด้านของคนโกหกพวกนั้นสิ เพื่อจะโกงเงินใครสักคน ยังไงก็ต้องใช้คำหวานเพื่อหว่านล้อมอีกฝ่าย”
เซิ่งหนิงเฉียวครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนไม่รู้จักเซิ่งหนิงเฉียว แต่เขาไปหาอีกฝ่ายเพื่อพูดเรื่องเลวร้ายของหลินเพ่ย
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนจึนึกสงสัยว่าหลินม่ายอาจเป็นคนส่งเขามา
ยกเว้นหลินม่ายที่เกลียดขังหลินเพ่ย ก็ไม่มีใครอีกในโลกนี้ที่เกลียดหล่อน ดังนั้นเขาจึงไม่นึกสงสัยว่าคนอื่นส่งให้เขามาพูดจาว่าร้ายหลินเพ่ย
นี่แสดงให้เห็นว่าหลินม่ายยังคงรักเขาอย่างสุดซึ้ง ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อแยกเขาออกจากหลินเพ่ย
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็กระหยิ่มยิ้มย่องกว่าเดิม
ในวันจันทร์ หลินม่ายไปเข้าเรียน
หลังจากมาถึงโรงเรียนไม่นาน เด็กสาวตัวเล็กวิ่งมาหาเธอพร้อมช่อกุหลาบ ก่อนจะยื่นมันให้เธอและวิ่งหนีไปอีกทาง
ในจีนแผ่นดินใหญ่ก่อนทศวรรษที่ 1980 คนหนุ่มสาวที่เป็นสหายกันไม่นิยมส่งดอกไม้ให้กัน ในยุคสมัยข้าวยากหมากแพง ใครกันจะยอมควักเงินซื้อดอกไม้ที่ไม่มีประโยชน์กัน?
มันไม่ดีกว่าหรือที่นำเงินจำนวนนี้ไปซื้อซาลาเปาไส้เนื้อสักสองสามลูกเพื่อให้อีกฝ่ายกิน และคงทำให้พวกเขามีความสุขมากกว่า
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่มีการปฏิรูปและเปิดประเทศ มีการเปิดตัวภาพยนตร์จากต่างประเทศมากมาย ไม่ว่าจะฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน ส่งผลให้คนหนุ่มสาวในจีนแผ่นดินใหญ่เริ่มส่งดอกไม้ให้แก่คนที่ตัวเองชื่นชอบ
แต่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นดอกไม้ประดิษฐ์ การส่งดอกไม้สดหาได้ยาก เนื่องจากดอกไม้สดมีราคาแพงและหาซื้อยาก
เมื่อเพื่อนร่วมห้องเห็นว่าหลินม่ายได้รับดอกไม้จากใครบางคน พวกเขาต่างก็คิดว่ามันจะต้องมาจากฟางจั๋วหราน
ทุกคนกล่าวแซว “นักศึกษาหลินม่าย ฉันไม่คิดคาดคิดเลยว่าสามีของเธอจะโรแมนติกขนาดนี้ แม้จะแต่งงานกันแล้ว แต่เขาก็ยังเลือกส่งดอกไม้ให้เป็นการแสดงความรัก”
หลินม่ายชูช่อดอกกุหลาบไปที่ด้านหน้าของเพื่อนร่วมห้อง เพื่อให้พวกเธอพิจารณนาดูอย่างใกล้ชิด
“ถึงเป็นดอกไม้สด แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสภาพสดใหม่เลย มันจะต้องไม่ได้มากจากร้านดอกไม้แน่นอน ไม่รู้ว่าใครไปเก็บมันมาจากถังขยะหรือเปล่า แล้วนำมาประกอบใหม่เพื่อส่งมาให้ฉัน น่าขยะแขยงชะมัด”
เมื่อทุกคนได้รับฟังถ้อยคำที่หลินม่ายพูด พวกหล่อนก็เห็นว่าช่อดอกกุหลาบไม่ได้ดูดีเท่าไหร่นัก
กลีบดอกที่เหลืองหรือเน่าถูกเด็ดทิ้ง ทำให้ช่อดอกไม่สมบูรณ์ ดูแล้วเหมือนเก็บมาจากถังขยะอย่างที่เธอกล่าว
เพื่อนร่วมห้องพูดด้วยความรังเกียจ “ใครที่ไหนกันถึงหน้าด้านหยิบดอกไม้จากถังขยะแล้วมาให้คนอื่นแบบนี้!”
หลินม่ายคาดเดาอยู่ในใจ คนส่งช่อดอกไม้นี้คงต้องเป็นอู๋เสี่ยวเจี๋ยน เพราะมีเพียงเขาเท่านั้นที่ทำสิ่งเหล่านี้ได้
หลินม่ายโยนช่อดอกกุหลาบซอมซ่อลงถังขยะ ก่อนเดินเข้าห้องเรียนกับเพื่อนร่วมห้อง
หลังต้นไม้ใหญ่ไม่ไกล อู๋เสี่ยวเจี๋ยนเห็นว่าช่อดอกกุหลาบที่เขาเตรียมอย่างระมัดระวัง กลับถูกหลินม่ายโยนลงถังขยะอย่างไร้ความปรานี
เขารู้สึกขุ่นเคืองและนึกตำหนิหลินม่ายที่เป็นหญิงสาววัตุนิยม
อีกเพียงไม่กี่วันก็จะถึงวันพุธ ซึ่งเป็นวันประกาศผลการประมูลของธนาคาร
ทันทีที่เลิกเรียนในตอนเที่ยง หลินม่ายไม่มีความตั้งใจไปกินข้าวเที่ยง เธอจึงขับรถไปยังสถานที่ประมูลของธนาคาร
เมื่อเดินเข้าไปด้านใน เธอเห็นประกาศตัวอักษรสีดำและสีแดงบนกระดานดำขนาดใหญ่
ในประกาศระบุว่าว่านถงกรุ๊ปของเธอชนะการประมูล ซึ่งทำให้หลินม่ายตื่นเต้นมาก
เจ้าภาพจากครั้งที่แล้วกำลังอยู่บนโพเดียมเพื่อคืนเอกสารการประมูลให้กับผู้เข้าร่วมประมูลที่ไม่ชนะ
หลินม่ายหามุมอับสายตานั่งลง วางแผนที่จะเข้าไปกล่าวขอบคุณอีกฝ่ายสักเล็กน้อยหลังจากงานสิ้นสุด
ไม้ว่าเขาจะช่วยเหลือเธอหรือไม่ก็ตาม เธอควรแสร้งทำเป็นว่ายินดีและกล่าวคำขอบคุณเขา
และเธอจะมีความสุขมากหากคราวหน้าเขาคิดช่วยเหลือเธอจริงๆ
ที่หลินม่ายยังไม่ไปหาตอนนี้ เพราะเขาถูกรายล้อมด้วยผู้รับเหมาที่มารวบรวมเอกสารประมูล
การไปกล่าวคำขอบคุณในเวลานี้อาจทำให้ถูกตราหน้าว่ารู้เท่าไม่ถึงการณ์
หากผู้รับเหมาเหล่านั้นเข้าใจผิดว่าเธอมีข้อตกลงส่วนตัวที่ทำให้ชนะการประมูล มันคงเป็นเรื่องไม่ดีใช่ไหม?
ขณะที่หลินม่ายนั่งอยู่ที่มุมอับ เธอได้ยินผู้รับเหมาหลายคนถามว่าว่านถงกรุ๊ปเป็นบริษัทของใครและมาจากไหน
ในยุคสมัยนี้การสืบค้นข้อมูลยังทำได้ยาก แม้ว่าว่านถงกรุ๊ปจะมีชื่อเสียงอยู่บ้างในเมืองเจียงเฉิง แต่ผู้คนในเมืองหลวงแทบไม่เคยได้ยินชื่อเลย
ผู้รับเหมาเหล่านั้นพยายามซักถามข้อมูลอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ข้อมูลอะไร
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
โยนดอกไม้ทิ้งแล้วล้างมือฟอกสบู่หลายๆ รอบด้วยนะคะม่ายจื่อ เดี๋ยวเสนียดติด ไม่เคยเห็นผู้ชายที่ไหนไร้ยางอายได้ขนาดนี้เลยจริงๆ สิ
ไหหม่า(海馬)