หนีเฟิ่งหยุดร้องไห้ทันทีที่ได้ยินสิ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพูด แม้กระทั่งนิ้วที่ยื่นออกมาของนางก็ยังเริ่มเกร็งแน่น นางเอ่ยขึ้นราวกับประหลาดใจ และรู้สึกผิดอย่างยิ่ง ”คุณชายเว่ย ท่านเป็นคนบอกให้ข้าทำ แต่ตอนนี้ท่านกลับตำหนิที่ข้าทำเช่นนั้นลงไป ทุกคนต่างก็เห็นอย่างชัดเจนว่าเมื่อครู่นี้ท่านพ่อของข้าได้กลายร่างเป็นปีศาจโดยสมบูรณ์แล้ว นอกจากการกำจัดเขา ก็ไม่มีทางใดที่จะสามารถทำให้พวกเรามั่นใจได้ว่าเขาจะไม่ถูกพลังปีศาจที่หลงเหลืออยู่กลืนกิน ถึงพวกเราจะนำแก่นชีวิตออกมาจากร่างของเขา แต่ก็ไม่มีใครรับประกันได้ว่าเลือดของเขาจะไม่ติดเชื้อ น้องชายของข้าไม่สามารถลงมือได้จริงๆ เพราะคงไม่มีใครรู้ดียิ่งกว่าพวกเราว่าการสังหารผู้เป็นบิดานั้นยากเพียงใด ข้าไม่อยากให้น้องชายของข้าต้องแบกรับความเจ็บปวดนี้เพราะข้ารู้ว่ามันคงหนักหนาสาหัสเกินกว่าที่เขาจะทนแบกรับเอาไว้ได้ ดังนั้นข้าจึงเลือกที่จะแบกรับภาระนี้แทน! คุณชายเว่ยจะบอกว่าข้าไร้ความเป็นมนุษย์หรือข้าทำเช่นนั้นเพียงเพื่อรักษาชื่อเสียงของตัวเองก็ไม่เป็นไร ข้ายอมรับทุกอย่าง! ตราบใดที่ท่านไม่นำความทุกข์มาสู่น้องชายของข้าอีก ท่านจะพูดเช่นใดก็ได้ตามที่ท่านปรารถนา…”
”คุณหนูหนี…” ผู้เฒ่าหลี่ทนเห็นนางไอไปร้องไห้ไปเช่นนี้ไม่ได้ เขาจึงหันไปทางเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้วกล่าวว่า ”น้องเว่ย คำพูดของเจ้านับว่าล้ำเส้นมากเกินไป พระชายาเป็นคนมีเมตตามาแต่ไหนแต่ไร ไม่เหมือนกับสิ่งที่เจ้ามองเห็นแต่เพียงเปลือกนอก นี่จะต้องเป็นการเข้าใจผิดกันแน่ๆ แม้คุณหนูหนีจะทำเช่นนั้น แต่ในใจของนางก็รู้สึกแย่ยิ่งกว่าผู้ใด!”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของผู้เฒ่าหลี่ ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจึงมองไปทางพี่น้องตระกูลหนีที่ยืนอยู่ติดกัน แล้วจึงเหลือบมองหนีเปียวที่นอนสิ้นใจอยู่บนพื้น พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตระกูลของพวกเขาจะลงเอยเช่นนี้ พวกเขาอดรู้สึกสงสารอีกฝ่ายขึ้นมาไม่ได้
”ลืมเรื่องนี้กันเถอะ อย่างไรตอนนี้พวกเราทุกคนก็ปลอดภัยแล้ว” ใครคนหนึ่งพยายามไกล่เกลี่ยสถานการณ์เพราะเขารู้สึกว่าพวกเขาควรปล่อยเรื่องนี้ไป
แต่แล้วพวกเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยปากขึ้นอีกครั้งอย่างช้าๆ ว่า ”ถ้าการเอาแก่นชีวิตออกจากร่างไม่ได้ผล เช่นนั้นเจ้าก็น่าจะสวดบทสวดพระพุทธคุณขับไล่ปีศาจร้ายกับเขา บทสวดพระพุทธคุณนั้นแตกต่างจากการนำแก่นชีวิตออกจากร่าง เพราะทันทีที่เริ่มสวด บทสวดนี้จะสามารถกำจัดพลังปีศาจที่อยู่ในร่างมนุษย์ได้โดยสมบูรณ์มิใช่หรือ หรือเป็นเพราะว่า…” เฮ่อเหลียนเวยเวยเว้นจังหวะไปเล็กน้อย รอยยิ้มบางแล่นผ่านดวงตาคู่งามของนาง ”หรือว่าเจ้าจะไม่สามารถสวดบทสวดพระพุทธคุณขับไล่ปีศาจร้ายได้? ถ้าแค่บทสวดพระพุทธคุณขับไล่วิญญาณร้ายท่านก็ยังสวดไม่ได้ เช่นนั้นมันจะไม่ได้หมายความว่าเจ้าเป็นพระชายาตัวปลอมหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหงายไพ่ที่นางคว่ำไว้บนโต๊ะด้วยคำพูดเพียงประโยคเดียว!
นางแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกแล้วว่านางไม่มีเวลามาเล่นกับพวกเขา
ทุกคนรวมถึงหนีหู่ต่างก็ตกตะลึงกับประโยคสุดท้ายของเฮ่อเหลียนเวยเวย ปฏิกิริยาแรกที่พวกเขามีต่างเป็นการตรงเข้าไปตวาดใส่นาง
แต่เขาไม่สามารถเข้าใกล้คนคนนั้นได้เลยด้วยซ้ำ
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเวลานี้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำลังยืนจัดชุดของตัวเองอยู่ข้างๆ เฮ่อเหลียนเวยเวยนั่นเอง
ทันใดนั้นหนีหู่ก็รู้สึกเหมือนได้เห็นคนสองคนที่ทำงานสอดประสานกันได้อย่างราบรื่น แม้คนหนึ่งจะดูหล่อเหลาและเย็นชา ส่วนอีกคนจะดูเกียจคร้านและอ่อนโยน แต่แสงวาววับที่เปล่งประกายออกมาจากดวงตาของพวกเขากลับเจิดจ้าจนแสบตา
มันแตกต่างจากปฏิกิริยาก่อนหน้านี้
หนีเฟิ่งตัวแข็งทื่อ ดวงตาและแขนของนางตกลงข้างตัว แม้จะเลือนราง แต่พวกเขาก็สามารถมองเห็นบางสิ่งออกมาจากดวงตาของนางได้
ผู้เฒ่าหลี่เป็นคนสุดท้ายที่เชื่อนาง ”น้องเว่ย เจ้ารู้หรือเปล่าว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่ การเกิดใหม่ของพระชายาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยที่เจ้าจะสามารถตั้งคำถามกับมันได้!”
”ผู้เฒ่าหลี่” น้ำเสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยแจ่มชัดและเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ”ข้ารู้ว่าความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณที่ท่านมีต่อพระชายานั้นแตกต่างจากคนอื่น เพราะนางเคยปรากฏตัวขึ้นในความฝันของท่านมาก่อน แต่ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าการหลับหูหลับตาบูชาสิ่งนั้นรังแต่จะนำอันตรายมาสู่ท่าน และคนที่ได้รับอิทธิพลจากท่าน ถ้าคุณหนูหนีเป็นพระชายาจริงๆ เช่นนั้นก็คงน่ายินดีอย่างมาก แต่ถ้านางไม่ใช่ล่ะ ท่านเคยคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาหรือไม่ ใครบางคนแสร้งเล่นละครเป็นผู้มีพระคุณของท่าน และทำทุกอย่างตามใจตัวเองภายใต้ชื่อของพระชายา ท่านคิดว่าพระชายาตัวจริงจะรู้สึกอย่างไรหากนางรู้เรื่องนี้เข้า”
บางทีอาจเป็นเพราะบรรยากาศแห่งความถูกต้องยุติธรรมที่แผ่ออกมาจากคนที่อยู่ตรงหน้าเขา หรืออาจจะเป็นเพราะแรงกดดันมหาศาลจากสายตาของนาง
เวลานี้ผู้เฒ่าหลี่จึงเริ่มรู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมา
จริงสิ ถ้านางเป็นตัวปลอมล่ะ
มิใช่ว่านางกำลังใช้ชื่อของพระชายาเพื่อควบคุมพวกเขาอยู่หรือ
ที่สำคัญกว่านั้น ก็เหมือนกับที่คนคนนี้กล่าวมา
ถ้าคุณหนูหนีไม่ใช่ผู้มีพระคุณของข้าละก็…
ผู้มีพระคุณตัวจริงของเขาจะไม่รู้สึกผิดหวังและอับจนหนทางกับการกระทำของพวกเราในเวลานี้หรือ
เพราะเขาเอาแต่ปกป้องหนีเฟิ่งมาโดยตลอด
แต่การจะให้เขาทิ้งความพากเพียรและความศรัทธาที่เขามีมาตลอดระยะเวลาหลายปีย่อมไม่อาจเป็นไปได้
”เจ้ามีหลักฐานอันใดหรือที่จะสามารถพิสูจน์ได้ว่าคุณหนูหนีไม่ใช่พระชายาที่กลับชาติมาเกิด” ผู้เฒ่าหลี่ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ก่อนเอ่ยถามขึ้น ”ไม่นับบทสวทพระพุทธคุณขับไล่วิญญาณร้าย เพราะเวลานี้คุณหนูหนีอ่อนแอมาก หากนางสวดบทสวดนั้นละก็ นางย่อมต้องใช้เวลากว่าครึ่งปีเพื่อพักฟื้น ข้าจะไม่ปล่อยให้ใครต้องเสี่ยงเช่นนั้นแน่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ตา วิธีการนั้นเป็นวิธีการที่ง่ายที่สุด แต่เพราะผู้เฒ่าหลี่ปฏิเสธ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงแก้ไขปัญหานี้ด้วยวิธีที่ต่างออกไป
”ข้ามีหลักฐาน แต่จำเป็นต้องทำการสอบสวนอย่างละเอียด” เฮ่อเหลียนเวยเวยเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับกำลังเล่านิทาน ”ก่อนอื่น ข้ามีความลับจะเล่าให้ทุกคนฟัง ความลับนี้เป็นความลับเกี่ยวกับตระกูลหนี เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อเจ็ดปีก่อน ที่สวนหลังบ้านของตระกูลหนีเคยมีซากศพกองทับถมกันอยู่ มันเป็นฝีมือของอาจารย์หนี และข้าคิดว่านายน้อยหนีก็คงเคยเห็นมันมาแล้วเช่นกัน”
”ไม่ ข้าไม่เคยเห็น! ข้าไม่เคยเห็นมันมาก่อน!” หนีหู่ตะโกนพลางยกมือขึ้นกุมศีรษะตัวเอง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้วเมื่อเห็นภาพนี้ ”แต่จากปฏิกิริยาของท่านไม่เหมือนคนที่ไม่เคยเห็นมันมาก่อน แต่ถึงนายน้อยหนีจะปฏิเสธไปก็เท่านั้น เพราะยังมีอีกคนหนึ่งที่เคยเห็นสิ่งนั้นมาก่อน และคนคนนั้นก็คือนายน้อยอวิ๋น”
จูเก่ออวิ๋นพยักหน้า แล้วทวนสิ่งที่ตัวเองบอกเฮ่อเหลียนเวยเวยก่อนหน้านี้ให้ทุกคนฟังด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด
”ในเวลานั้น อาจารย์หนีอ้างว่ามีสัตว์อสูรอยู่ในนั้น และห้ามไม่ให้ทุกคนเข้าใกล้มัน ทั้งยังไม่อนุญาตให้นายน้อยอวิ๋นเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังอีกด้วย” น้ำเสียงของเฮ่อเหลียนเวยเวยแผ่วเบา ”อันที่จริง เมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าคิดว่าทุกคนก็น่าจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดเขาจึงไม่อนุญาตให้ทุกคนเข้าใกล้ที่แห่งนั้น”
ทันทีที่เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดจบ หนึ่งในผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจึงเอ่ยขึ้น เสียงของเขาสั่นด้วยความไม่เชื่อ ”เขาใช้ศพเพื่อหล่อเลี้ยงผีดิบ! หนีเปียวต้องการเลี้ยงผีดิบด้วยศพพวกนั้น!”
ประโยคที่ว่า ’ใช้ศพหล่อเลี้ยงผีดิบ’ สร้างความโกลาหลให้เกิดขึ้นในหมู่ฝูงชนโดยรอบทันที
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับเมินเฉยต่อเรื่องนี้ แล้วเอ่ยต่อ ”ถูกต้อง เขาใช้ศพพวกนั้นเพื่อเลี้ยงผีดิบ ในตำราต้องห้ามของการขับไล่วิญญาณร้ายมีบันทึกเอาไว้ว่าหากต้องการเปิดใช้อาคมนี้ สถานที่นั้นๆ จะต้องเต็มไปด้วยกลิ่นอายของซากศพ แน่นอนว่ามันย่อมไม่ใช่เพียงแค่นั้น ที่ข้าต้องการจะพูดก็คือในเวลานั้น ห้องที่อยู่ติดกับซากศพพวกนั้นก็คือห้องของคุณหนูหนี”
”แล้วอย่างไร!” หนีหู่ตะโกนขึ้นอย่างเดือดดาล ”ท่านพ่อของข้าเป็นคนทำเรื่องนี้ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพี่สาวของข้าหรือ แค่นางมีสุขภาพย่ำแย่มาตั้งแต่ยังเด็ก นั่นก็นับว่าน่าสงสารมากพออยู่แล้ว แต่ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะนางเป็นพระชายาที่กลับชาติมาเกิดใหม่ต่างหาก ทำไมเจ้าต้องปรักปรำนางเพราะความผิดของท่านพ่อของข้าด้วย?!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยชำเลืองมองเขา แล้วเอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า ”ในเมื่อพี่สาวของเจ้าสุขภาพไม่ค่อยดี เขาก็ควรให้นางอยู่ที่อื่นแทนที่จะอยู่ใกล้กับศพถึงเพียงนั้น นอกเสียจากว่า… ผีดิบที่ท่านพ่อของเจ้าพยายามเลี้ยงดูอยู่จะเป็นพี่สาวของเจ้าเอง”