ตอนที่ 304 วิชาจับชีพจรไท่ซู่ทำนายชะตา
เพื่อเห็นแก่หน้าอาจารย์สืออวิ๋น ฉินหลิวซีไม่ได้ทำให้เถิงเทียนฮั่นต้องลำบากใจ นั่งรถกลับเมืองไปพร้อมกับเขา ส่วนเรื่องที่เขามาขอร้อง ก็เพื่อบุตรชายคนเดียวของเขา
ฉินหลิวซีมองดูโหงวเฮ้งของเขาอย่างละเอียด ก่อนจะเอ่ย “บุตรชายของท่านเป็นอะไรหรือ โหงวเฮ้งของใต้เท้าก็ดูไม่เหมือนว่าในบ้านมีคนป่วยหนัก ตำแหน่งจื่อหนี่ว์ที่ใต้ตาก็ไม่ได้มีความหม่นหมอง”
เถิงเทียนฮั่นประหลาดใจ “ท่านดูโหงวเฮ้งเป็นด้วยหรือ”
“ทำไมหรือ อาจารย์สืออวิ๋นไม่ได้บอกใต้เท้าถึงความสามารถของผู้ที่มีวาสนาต่อท่าน แต่ใต้เท้าก็กล้ารอเช่นนี้ มั่นใจหรือว่าจะได้พบอย่างแน่นอน” ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย
เถิงเทียนฮั่นเอ่ยตอบ “แม้ว่าข้าจะไม่ได้บวช แต่ก็นับเป็นครึ่งลูกศิษย์นอกสำนักของท่านอาจารย์สืออวิ๋น เมื่อตอนที่ข้ายังเด็กได้เคยรับใช้ท่านอาจารย์มาหลายปีและได้ฟังคำสั่งสอนของเขา”
ฉินหลิวซีเหลือบมองลูกประคำแวววาวบนข้อมือของเขา เอ่ย “ที่แท้ก็มีวาสนากับพุทธศาสนา ท่านเลิกเรียกข้าว่าท่านได้แล้ว ข้าเป็นนักพรตอารามชิงผิงในเมืองหลี มีสมญานามเต๋าว่าปู้ฉิว ด้วยเหตุนี้จึงพอรู้ศาสตร์การดูโหงวเฮ้งอยู่บ้าง”
เถิงเทียนฮั่นยกมือขึ้นประสาน “ขอรับท่านอาจารย์” เอ่ยต่อไปว่า “บุตรชายของข้าไม่ได้ป่วยหนัก แต่เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ ตั้งแต่คลอดออกมา บวกกับนิสัยของเขา…”
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง คิดถึงพฤติกรรมของบุตรชาย หว่างคิ้วของเขาดูไร้เรี่ยวแรง
“ดังนั้นท่านจึงอยากขอรับการรักษา”
เถิงเทียนฮั่นพยักหน้า
ฉินหลิวซีเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ย “ข้ามีวิชาหนึ่ง เป็นวิชาการจับชีพจรไท่ซู่ ซึ่งสามารถรู้ถึงสิ่งที่เคยเกิดขึ้นและทำนายโชคลาภและโชคร้ายล่วงหน้าได้ เพียงแค่จับชีพจรของคนเป็นพ่อก็จะรู้ถึงดวงของบุตรชายได้ ใต้เท้ากล้าให้ข้าจับชีพจรหรือไม่”
เถิงเทียนฮั่นชะงักไปครู่หนึ่ง เขาขอรับการรักษาให้แก่บุตรชายคนเดียวของเขา แต่อีกฝ่ายกลับต้องการจับชีพจรของเขางั้นหรือ
เถิงเทียนฮั่นซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามเทพเจ้าแห่งการไขคดี ยากที่จะแสดงสีหน้าซึ่งแตกต่างจากปกติที่มีสีหน้าสงบนิ่งและเย็นชาโดยสิ้นเชิง เขาจ้องมองไปยังฉินหลิวซี เอ่ยว่า “จับชีพจรของข้าก็จะรู้ถึงชะตาของบุตรชายข้าอย่างนั้นหรือ”
เห็นบิดาก็รู้ถึงบุตร มีอะไรน่าประหลาดหรือ
แม้ว่าเถิงเทียนฮั่นจะมีวาสนาต่อพุทธศาสนา และเป็นขุนนางมาหลายปี เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเขาได้รับเลื่อนยศเป็นเส่าชิงแห่งศาลต้าหลี่ เรื่องศาสตร์การทำนายอย่างเช่นแม่หมอหรือนักเล่นแร่แปรธาตุจอมหลอกลวง เขาก็เห็นมาไม่น้อย แต่การที่จับชีพจรแล้วบอกได้ถึงชะตาของบุตรชายนั้นกลับไม่เคยได้ยินมาก่อน
ส่วนเด็กที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้า อีกฝ่ายก็ยังมีอายุไม่มากนัก ตัวเขาเองสามารถเป็นพ่อของอีกฝ่ายได้ด้วยซ้ำ
นักเล่นแร่แปรธาตุน้อยผู้นี้ มีความสามารถเช่นนั้นจริงๆ หรือ
ฉินหลิวซีมองตาเขาอย่างไม่หลบเลี่ยง เอ่ยว่า “ใต้เท้าเถิงเป็นพ่อม่ายใช่หรือไม่”
ปลายนิ้วของเถิงเทียนฮั่นที่ขดอยู่ในแขนเสื้อสั่นเล็กน้อย แต่สีหน้ากลับไม่ได้เปลี่ยนแปลง
หากคนขับรถม้าที่อยู่ข้างนอกรู้ถึงที่มาของเขา เช่นนั้นก็คงจะรู้ว่าเขาสูญเสียภรรยาไปหลายปีแล้ว ตอนนี้บุตรชายเพียงคนเดียวของเขาเกิดจากภรรยาที่จากไปด้วยภาวะคลอดบุตรยาก
เขายื่นมือขวาออกมา
ฉินหลิวซียิ้ม สูญหายใจเข้าเล็กน้อย ยื่นสองนิ้วไปสัมผัสชีพจรของเขา ขณะที่ในใจท่องคาถาจับชีพจรไท่ซู่ มืออีกข้างก็ร่ายคาถาด้วยเช่นกัน
วิชาจับชีพจรไท่ซู่ยึดสี่หลักคือ เบา ชัด หนัก ขุ่น เป็นหลักในการทำนาย ผู้ที่มีชีพจรเบาแต่ชัดเจนเป็นผู้สูงส่ง ผู้ที่ชีพจรเต้นหนักแต่ยุ่งเหยิงนั้นเป็นคนชั้นต่ำ ส่วนชีพจรของชายผู้นี้ขึ้นอยู่กับตับ เห็นได้ว่าเป็นผู้ที่มีชื่อเสียง ความมั่งคั่ง และเกียรติยศ
ชีพจรของเถิงเทียนฮั่นเบาและชัดเจน แม้ว่าจะมีโรคเล็กน้อยแต่ก็ยังคงชัดเจนไม่ขุ่นมัว
เขาเกิดในตระกูลขุนนาง สอบติดบันฑิตจิ้นซื่อเมื่ออายุสิบเก้าปี เมื่ออายุครบยี่สิบปีก็แต่งงานมีครอบครัว เขาเริ่มต้นจากการเป็นผู้ว่าการอำเภอและไต่ระดับขึ้นมาทีละขั้นสู่ตำแหน่งขุนนางระดับสี่อย่างทุกวันนี้ ปีนี้เขาอายุเพียงสามสิบสองปี เส้นทางราชการยังไม่ถึงจุดสิ้นสุด เขาจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นขุนนางระดับสองเมื่ออายุห้าสิบปี
ฉินหลิวซีไม่แม้แต่จะลืมตา มือหนึ่งจับชีพจรพลางบอกถึงที่มาและอนาคตของเขา
สายตาเถิงเทียนฮั่นแฝงไว้ด้วยความตกตะลึง
“…ชีพจรไหลลื่นเหมือนลูกปัดโดยไร้เหตุผล ลงนิ้วหนักก็ยอดเยี่ยม ยกนิ้วขึ้นก็สมบูรณ์ แต่ชีพจรของใต้เท้าไหลลื่นอยู่สามส่วน พลังงานตับไม่เพียงพอ ในวันปกติก็จะรู้สึกปวดบริเวณตับเล็กน้อยใช่หรือไม่ แม้ว่าใต้เท้าจะยุ่งกับหน้าที่ราชการ แต่ก็ต้องใส่ใจเรื่องการล้างพิษและบำรุงตับด้วย มิเช่นนั้นเมื่อเวลาผ่านไปความเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ จะกลายเป็นโรคเรื้อรัง ต่อให้ร่ำรวยแค่ไหน ทุกวันก็อยู่ได้ด้วยยา กระทั่งเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาหายขาดได้” เสียงของฉินหลิวซีชัดเจนเป็นพิเศษในรถม้าขนาดเล็ก
เมื่อเถิงเทียนฮั่นได้ยินเช่นนี้ก็สีหน้าเคร่งขรึมมากขึ้น
มีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ ด้วย
หมอหลวงในวังก็ยังเคยจับชีพจรให้เขา บอกว่าตับและม้ามของเขาไม่ลงรอยกัน เขาเคยกินยา แต่เนื่องจากยุ่งกับหน้าที่ทางราชการและกังวลเรื่องบุตรชายคนเดียวของเขาจึงไม่ได้ใส่ใจดูแลรักษา
ฉินหลิวซีร่ายคาถาตรวจดูต่อ ปลายคิ้วยกขึ้นเล็กน้อยแล้วผ่อนคลายอีกครั้ง ผ่านไปสักพักใหญ่จึงได้ดึงสองนิ้วกลับมา
เถิงเทียนฮั่นยื่นผ้าเช็ดหน้าให้อีกฝ่ายเช็ดมือ “เป็นอย่างไรบ้าง”
“มีสองข่าว ข่าวดีและข่าวร้าย ใต้เท้าอยากฟังเรื่องใดก่อน”
เถิงเทียนฮั่นใจสั่น เอ่ยว่า “เกี่ยวกับบุตรชายของข้าหรือ”
“ใต้เท้ากับบุตรชายของท่านมีบุญสัมพันธ์น้อย ในวันปกติที่ได้เจอกันพวกท่านก็ไม่ได้สนิทสนมกัน”
เถิงเทียนฮั่นแย้งว่า “เขาสูญเสียมารดาไปตั้งแต่ยังเด็ก ซ้ำยังป่วยออดๆ แอดๆ ทำให้อารมณ์ของเขาแตกต่างจากคนทั่วไป หากร่างกายของเขาดีขึ้น บางที…”
ฉินหลิวซีส่ายหน้าก่อนจะเอ่ย “ใต้เท้า ชีพจรโกหกไม่ได้ ท่านกับคุณชายน้อยมีบุญสัมพันธ์น้อย”
สีหน้าของเถิงเทียนฮั่นดูแย่ขึ้นมาเล็กน้อย
พ่อลูกมีบุญสัมพันธ์น้อยหมายความว่าอย่างไรเขานั้นเข้าใจดี อาจเป็นบิดากับบุตรตัดขาดกัน หรืออีกคนหนึ่งเสียแล้ว หรือไม่ก็ต่างคนต่างอยู่
“ส่วนข่าวดีก็คือใต้เท้าจะได้แต่งภรรยาใหม่ ครอบครัวเจริญรุ่งเรือง มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ “นอกจากนี้ในปีที่ใต้เท้าอายุห้าสิบปีจะมีเคราะห์กรรมเรื่องการเข่นฆ่า หากสามารถผ่านไปได้ก็จะอายุยืนยาว การฆ่าล้างโคตรไม่สามารถทำให้ใต้เท้าขึ้นไปสู่จุดสูงสุดอย่างราบรื่นหรือก้าวไปถึงจุดสูงสุดได้ในก้าวเดียว แม้ว่าการใช้อำนาจสังหารขุนนางจะสามารถทำให้ท่านประสบความสำเร็จมีผลงานทางการเมืองที่โดดเด่น ทำให้ได้รับมอบหมายหน้าที่ที่สำคัญ แต่จะทำให้ใต้เท้ามีชื่อเสียงในด้านความน่ากลัว ทำลายสันติภาพ สามารถถูกละทิ้งได้ตลอดเวลา มีความเมตตาในทุกๆ เรื่อง ในภายภาคหน้าจะได้พบสิ่งที่ดี”
แผ่นหลังของเถิงเทียนฮั่นรู้สึกหนาวสั่น หูอื้อไปหมด
น้ำเสียงของฉินหลิวซีสงบนิ่งเป็นอย่างมาก แต่เขายังรู้สึกตกตะลึงเมื่อเห็นภาพนองเลือดที่ตามมาหลังจากนั้น อดรู้สึกตกใจไม่ได้
เถิงเทียนฮั่นสูดหายใจเข้าลึกๆ ถามว่า “ท่าน ทำนายได้แม่นยำหรือไม่”
“จะแม่นหรือไม่แม่น ขึ้นอยู่กับว่าใต้เท้าเชื่อหรือไม่เชื่อ ที่ข้าบอกว่าท่านกับบุตรชายของท่านมีบุญสัมพันธ์กันน้อย ไม่ได้หมายความว่าเขาอายุสั้น แต่เขามีบุญสัมพันธ์น้อยทั้งกับท่าน หรือแม้แต่คนในตระกูล ไม่ได้เป็นเพราะสุขภาพของคุณชายน้อยที่ทำให้เป็นเช่นนี้ แต่เป็นเพราะชะตาชีวิต” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “ใต้เท้าอย่าได้กังวล แม้ว่าท่านจะมีบุญสัมพันธ์กันน้อย แต่ท่านยังมีบุตรชายที่รักอย่างน้อยอีกสองคน”
เช่นนั้นข้าควรจะร้องไห้หรือดีใจดี
เถิงเทียนฮั่นไม่รู้จะเอ่ยอะไรอยู่ครู่หนึ่ง เขาบอกว่าตัวเองกับบุตรชายมีบุญสัมพันธ์น้อย แต่ในทางกลับกันก็บอกว่าตัวเองจะเจริญรุ่งเรือง
ใช่แล้ว เจาเอ๋อร์อายุได้เจ็ดขวบแล้ว คนในตระกูลจึงต้องการจะหาภรรยาคนต่อไปให้เขา ได้มองไว้แล้วหนึ่งคน จะแต่งเข้าจวนมาอย่างช้าที่สุดก็หลังตรุษจีน
เถิงเทียนฮั่นเอ่ย “ไม่ว่าอย่างไร ขอท่านอาจารย์ได้โปรดช่วยรักษาบุตรชายของข้าได้หรือไม่”
ฉินหลิวซีพยักหน้า ยื่นมืออกมา
เถิงเทียนฮั่นไม่เข้าใจ “?”
“ใต้เท้า ควรจ่ายค่าครูที่ทำนายชะตาให้ท่านได้แล้ว”
เถิงเทียนฮั่นตอบสนองทันที รีบหากระเป๋าเงินในแขนเสื้อ แต่กลับพบว่าตัวเองไม่ได้พกกระเป๋าเงิน อยู่ที่บ่าวรับใช้และพ่อบ้านทั้งหมด
เมื่อมองเข้าไปในดวงตาที่สดใสของฉินหลิวซี เขาก็รู้สึกลำบากใจและกระดากอายเล็กน้อย เอ่ย “ข้าไม่มีเงินติดตัวเลย รอกลับเมืองแล้วข้าค่อยให้ได้หรือไม่”
ฉินหลิวซีเก็บมือกลับ เอ่ยว่า “ก็ได้”
นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยต่อไปว่า “หากใต้เท้าไม่ให้ค่าครู เช่นนั้นก็หาคนที่มีฝีมือให้ข้าสองคน ถือเสียว่าเป็นค่าครู”
“หืม? ท่านอยากได้ผู้มีฝีมือในด้านใด”
“ผู้ที่ทำผลไม้แช่อิ่มเป็น มือเท้าคล่องแคล่วและสะอาด” ฉินหลิวซีเอ่ย
แค่นี้เองหรือ
เถิงเทียนฮั่นคิดว่าต้องการผู้ที่มีฝีมือชั้นยอดอะไรทำนองนั้นเสียอีก แต่ว่าหาคนที่ทำผลไม้แช่อิ่มเป็น หรือว่าเขาจะชอบกินของหวาน