คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 307 พาหมาป่าเข้าบ้าน

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 307 พาหมาป่าเข้าบ้าน

เถิงเทียนฮั่นแทบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง ขมวดคิ้วพลางมองไปยังฉินหลิวซี สงสัยว่าที่อีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้นเป็นเพราะต้องการหยั่งเชิงหรือเพียงแค่แกล้งอำบุญชายเล่นกันแน่

ไปกับเขาหรือ

ทั้งที่เขาเชิญผู้ที่มีวาสนาต่อกันมาช่วยตรวจอาการให้บุตรชายของเขา แต่เหตุใดตอนนี้จึงรู้สึกเหมือนว่าบุตรชายของเขากำลังจะถูกลักพาตัวไป

พาหมาป่าเข้าบ้าน!

ประโยคดังกล่าวผุดขึ้นมาในหัวของเถิงเทียนฮั่น

ในขณะที่เขากำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย เถิงเจาและฉินหลิวซีก็กำลังมองหน้ากัน กล่าวออกมาสามพยางค์แรกตั้งแต่ที่ได้พบกัน “ไปกับเจ้า?”

ฉินหลิวซีพยักหน้า

เถิงเทียนฮั่นกับอาจารย์ฉีตกตะลึง เพราะเถิงเจาถามกลับคำพูดของคนแปลกหน้า ตามที่พวกเขารู้ เพียงแค่เขาสามารถเหลือบตามองฉินหลิวซีได้ก็นับว่าดีแล้ว

แต่เขาไม่เพียงแค่มอง ซ้ำยังปล่อยให้อีกฝ่ายสัมผัสได้โดยไม่โมโห ตอนนี้ยังถามคนแปลกหน้ากลับอีกด้วย

“ไปไหน”

ฉินหลิวซีกล่าวว่า “แน่นอนว่ามาเป็นศิษย์ของข้า ข้าไปที่ไหนเจ้าก็ไปที่นั่น”

เถิงเทียนฮั่นสับสนไปหมด อยากจะเอ่ยปาก แต่กลับถูกอาจารย์ฉีรั้งไว้ ส่ายหน้าพลางขยับปากว่า ‘รอดูก่อน’

หากรอดูต่อไป ก็คงเสียบุตรชายไปแล้ว

เขามองไปยังเถิงเจา ในใจคิดว่าเกรงว่า ‘บุตรชายคงจะคิดว่าฉินหลิวซีเป็นคนโง่ พูดไปเรื่อยเปื่อยเพื่อหยอกล้อเขา’

แต่เมื่อมองดูแล้ว เถิงเจากลับเอียงศีรษะเล็กน้อยราวกับว่ากำลังพิจารณาอย่างจริงจัง

เถิงเทียนฮั่นใจสั่น

เถิงเจาอายุเจ็ดขวบแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแสดงสีหน้าเช่นนี้ต่อคนแปลกหน้า เขากำลังพิจารณาคำแนะนำของฉินหลิวซีจริงๆ ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

ฉินหลิวซีหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งมาจากด้านข้างโต๊ะเล็ก ไม่ต้องใช้กรรไกรแต่อย่างใด เริ่มพับกระดาษ ด้วยทักษะของนาง นกกระเรียนกระดาษถูกพับออกมาในระยะเวลาอันสั้น

นางใช้มือร่ายมนต์พลางท่องคาถาอยู่ในใจ เสกไปที่นกกระเรียนกระดาษแล้วเป่าอย่างจริงจัง นกกระเรียนกระดาษตัวนั้นกระพือปีกโบยบินไป

เถิงเจาเบิกตาโต อาจารย์ฉีไม่เคยสอนอะไรเช่นนี้มาก่อน

ส่วนอาจารย์ฉีและเถิงเทียนฮั่นต่างก็หยุดหายใจไปชั่วขณะ นกกระเรียนกระดาษมีชีวิตขึ้นมา

นี่คือมนต์คาถาที่นักพรตเสวียนเหมินสามารถทำได้หรือ

สายตาของอาจารย์ฉีที่มองฉินหลิวซีแฝงไว้ด้วยความยำเกรง

เถิงเทียนฮั่นกลับจ้องมองสีหน้าของบุตรชายอย่างไม่คาดสายตา เมื่อเห็นว่าดวงตาของเขามีแสงสว่าง ในใจก็รู้สึกอยากจะคำรามออกมา

โจรลักพาตัวในทุกวันนี้ค่อนข้างไร้ยางอาย ให้ลูกกวาดเพื่อหลอกล่อนั้นระดับต่ำไป ถึงขั้นใช้มนต์คาถาเหล่านี้มาหลอกล่อ

สายตาของเถิงเทียนฮั่นที่มองไปยังฉินหลิวซีดูไม่เป็นมิตร ในใจแอบรู้สึกเสียใจที่พาอีกฝ่ายมา

ผู้ที่มีวาสนาต่อกันที่ว่านั้นก็คือผู้ที่จะมาลักพาตัวบุตรชายคนเดียวของเขาไปเป็นลูกศิษย์เช่นนั้นหรือ

อาจารย์สืออวิ๋นหักหลังข้า!

เถิงเจายื่นมือออกมา นกกระเรียนกระดาษตัวนั้นบินไปหยุดบนมือของเขา เขาบิดนกกระเรียนกระดาษพลางมองซ้ายขวา พยายามดูว่ามีกลไกอยู่ตรงไหนกันแน่ แต่เมื่อเขาคลี่นกกระเรียนกระดาษออก มันก็เป็นเพียงแค่กระดาษแผ่นเดียว

เขาเดินตามรอยเดิมของฉินหลิวซี พับนกกระเรียนกระดาษขึ้นมาอีกครั้ง กระทั่งเลียนแบบท่าทางการร่ายมนต์ของนาง

ท่าทางของเขาดูงุ่มง่าม แต่การพับของเขากลับไม่ผิดไปแม้แต่น้อย

ดวงตาของเฉินหลิวซีเปล่งประกาย

พบขุมสมบัติแล้ว

เด็กคนนี้จะเป็นลูกศิษย์ที่มาสืบทอดวิชาของนาง!

แม้ว่าการใช้มือร่ายมนต์ของเถิงเจาจะไม่ได้ผิดพลาด แต่เขาไม่รู้ว่าคาถาคืออะไร ดังนั้นย่อมไม่สามารถมอบชีวิตให้นกกระเรียนกระดาษได้ เป่าติดต่อกันหลายครั้ง แต่นกกระเรียนกระดาษก็ไม่บิน เขาเริ่มร้อนใจเล็กน้อย

“ไม่มีประโยชน์ เจ้าต้องรู้คาถาก่อนจึงจะสามารถเสกมันได้” ฉินหลิวซีเอ่ย

เถิงเจาเงยหน้ามอง ‘เช่นนั้นก็รีบบอกมาสิ’

“เฉพาะลูกศิษย์ของข้าเท่านั้นที่สามารถเรียนรู้ได้” ฉินหลิวซีแสร้งทำท่าทางเคร่งขรึม “นี่เป็นความลับที่ไม่ถ่ายทอดนอกสำนัก”

เถิงเจากะพริบตา

เถิงเทียนฮั่นทนดูต่อไปไม่ไหว ก้าวไปข้างหน้าขัดบทสนทนาของพวกเขา กล่าวว่า “ท่านอาจารย์ไม่ได้จะจับชีพจรให้บุตรชายหรอกหรือ เจาเอ๋อร์ ยื่นมืออกมาให้ท่านอาจารย์ตรวจดูให้เจ้า”

ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา ยิ้มด้วยใบหน้านิ่ง ไม่ได้เปิดโปงเขาแต่อย่างใด อย่างไรเสียเถิงเจาก็ต้องเป็นลูกศิษย์ของนางเท่านั้น

เถิงเจาไม่ได้สนใจจะตรวจดูอาการแต่ก็ไม่ได้ขัดขืน ราวกับว่าคุ้นชินเป็นปกติ เขานิ่งไปพักใหญ่ก่อนจะยื่นมือออกมา

เขาจ้องไปที่ข้อมือ มองไปยังสองนิ้วของฉินหลิวซีที่กดลงบนข้อมือของเขาโดยไม่กะพริบตา

ตำแหน่งที่พวกเขานั่งอยู่ทางทิศใต้ วันนี้อากาศดี แสงแดดยามเช้าส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่แง้มไว้ตกลงมาบนมือของนาง ทำให้นิ้วมือเรียวยาวเนียนละเอียดทั้งสองขาวสะอาดราวกับหยก

นิ้วก็ดูดี

เถิงเจาลดเปลือกตาลง สายตาตกลงไปอยู่ที่นิ้วของตัวเอง โชคดีที่นิ้วของเขาก็ไม่ได้แย่

สำหรับเถิงเจาแล้ว ฉินหลิวซีจับชีพจรอย่างละเอียด ตรวจดูชีพจรบนข้อมือทั้งสองข้าง ในใจรู้คำตอบแล้วจึงได้เก็บทั้งสองนิ้วกลับมา

เถิงเทียนฮั่นจ้องไปที่ใบหน้าของนางตลอดเวลา ไม่ได้เห็นสีหน้าเปลี่ยนไปแต่อย่างใด อดถามไม่ได้ว่า “บุตรชายของข้าเป็นอย่างไรบ้าง”

“เขาคลอดก่อนกำหนดใช่หรือไม่ ครรภ์ขาดการบำรุง ชีพจรเบาบางและอ่อนแอ เกิดจากการขาดสารอาหารในครรภ์ของมารดา พลังชี่และเลือดของเขาบกพร่อง พลังหยางในไตอ่อนแอ ในวันปกติดูแลรักษาอย่างระมัดระวังเกินไป” ฉินหลิวซีมองไปยังเส้นผมที่แห้งเล็กน้อยของเถิงเจา กล่าวว่า “ในวันปกติเขาขี้เกียจออกจากเรือน ได้รับแสงอาทิตย์น้อย ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อร่างกาย”

“เช่นนั้นท่านว่าควรจะรักษาอย่างไร”

“อาการของเขาไม่นับว่าเป็นโรค เพียงอ่อนแอแต่กำเนิด ต้องได้รับการบำรุงรักษาและออกกำลังกายในระยะยาว” ฉินหลิวซีกล่าวว่า “แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ตราบใดที่ติดตามข้าก็จะมีชีวิตที่มีสุขภาพแข็งแรงได้ ไม่ใช่ปัญหา”

ฉินหลิวซีรู้ว่าเขาจะเอ่ยอะไร จึงลูบศีรษะเถิงเจาแล้วจึงเอ่ย “พิจารณาคำพูดของข้าให้ละเอียด”

เถิงเจาไม่กล่าวอะไร เริ่มวางกระดานหมากรุกอีกครั้ง

เถิงเทียนฮั่นพาฉินหลิวซีไปพูดคุยอยู่ที่ห้องถัดไป เมื่อบ่าวรับใช้นำถ้วยชามาวาง เขาก็ยกขึ้นมาจิบแล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ บุตรชายของข้าร่างกายอ่อนแอและรักสันโดษมาตั้งแต่เด็ก โชคดีที่ครอบครัวพอมีรายได้จึงพอสามารถเลี้ยงได้ ไม่ได้จำเป็นต้องทำงานหนัก เขาเป็นเช่นนี้ไหนเลยจะเหมาะสมไปรับใช้เจ้าลัทธิเต๋าของท่านได้ ท่านอาจารย์อย่าได้หยอกล้อเขาเล่นอีกเลย”

“ใต้เท้าเข้าใจผิดแล้ว”

“อ้าว?” หรือว่าตัวเองจะเข้าใจผิดไป

“ไม่ใช่ให้ไปรับใช้เจ้าลัทธิเต๋า แต่รับใช้ข้าที่เป็นอาจารย์ต่างหาก” ฉินหลิวซีกล่าว

เถิงเทียนฮั่นหน้าแดงด้วยความโกรธ “ท่านอาจารย์”

เขาก็เป็นข้าราชการมาแล้วหลายปี เมื่อเขาทำหน้าจริงจัง ท่าทางทั้งหมดของเขาเผยให้เห็นถึงอำนาจของขุนนาง

ฉินหลิวซีก็ไม่ได้กลัวแต่อย่างใด เพียงแต่ยิ้มแล้วเอ่ยตอบ “ใต้เท้า ข้าบอกท่านแล้วไม่ใช่หรือ ว่าท่านกับบุตรชายมีบุญสัมพันธ์น้อย”

เถิงเทียนฮั่นตัวแข็งทื่อ กล่าวด้วยสีหน้ามืดครึ้ม “หรือท่านวางแผนไตร่ตรองไว้ล่วงหน้าแล้ว”

ที่บอกว่ามีบุญสัมพันธ์น้อย ความจริงแล้วก็เพื่อที่จะลักพาตัวบุตรชายของเขาไป

“วางแผนล่วงหน้าอะไรกัน คนที่รอข้าอยู่ข้างทางเป็นใต้เท้าไม่ใช่หรือ เป็นท่านที่ฟังคำพูดของอาจารย์สืออวิ๋นว่าข้าเป็นผู้มีวาสนาต่อท่านจึงได้เชิญข้ามาที่จวนไม่ใช่หรือ”

“ข้าเชิญท่านมารักษาโรคให้บุตรชาย แต่ไม่ได้ให้ท่านมาล่อลวงบุตรชายข้าไปเข้าร่วมลัทธิเต๋าเพื่อเป็นลูกศิษย์ของท่าน” เถิงเทียนฮั่นแทบอยากจะคำรามเสียงดังโดยไม่คำนึงถึงสถานะของตัวเอง

“แต่ความจริงแล้ว ข้าก็คือคนที่มีวาสนาที่ใต้เท้าร้องขอจริงๆ ข้ากับเถิงเจามีวาสนาต่อกัน วาสนาของอาจารย์กับลูกศิษย์”

“เป็นไปไม่ได้ ข้าไม่มีทางปล่อยให้เขาเข้าร่วมลัทธิเต๋า”

ฉินหลิวซีหัวเราะ ถามว่า “สิ่งที่ใต้เท้าขอคืออะไร ขอให้เถิงเจาเป็นคุณชายผู้สูงส่งทั่วไป มีความรู้สอบเข้าราชสำนัก แต่งภรรยาให้กำเนิดบุตรอย่างเช่นท่าน หรือว่าเพียงแค่ปลอดภัยและเติบโตอย่างราบรื่นก็พอ”

เถิงเทียนฮั่นเงียบไป

“หากข้าบอกใต้เท้าว่าชีวิตนี้เถิงเจาจะไม่มีวันเป็นอย่างที่ท่านปรารถนา ท่านจะทำอย่างไร” ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท