คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 313 เจ้าจิ้งจอกพันปี อย่าได้มาหลอกข้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 313 เจ้าจิ้งจอกพันปี อย่าได้มาหลอกข้า

พึ่งจะรุ่งสาง เถิงเทียนฮั่นก็ได้รู้ถึงโศกนาฏกรรมของตระกูลจย่าจากพ่อบ้านคนสนิท มีข่าวลือไปทั่วว่าพ่อลูกตระกูลจย่าถูกวิญญาณที่ตายอย่างไม่ยุติธรรมสังหารตายหนึ่ง พิการอีกหนึ่ง ผู้คนที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างก็ดีใจมาก เรียกร้องให้ได้รับผลกรรม อย่างไรเสียจย่าเจิ้นก็เป็นคนชั่วร้าย ไม่รู้ว่าทำร้ายคนไปมากมายเท่าใดทั้งอย่างเปิดเผยและไม่มีใครรู้

จย่าหยวนไว่ก็ไม่มีข้อยกเว้น เขาใช้เงินทองของตัวเองเอาชนะใจขุนนางผู้มีอำนาจ ไม่รู้ว่าฮุบกิจการเล็กๆ ของผู้อื่นไปแล้วเท่าไหร่ บังคับให้คนต้องหมดหนทางไปมากมายเท่าใด กระทั่งไม่มีที่ยืน

ยามนี้ได้ยินถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของตระกูลจย่าจึงพากันปรบมือโห่ร้องเสียงดังด้วยความดีใจ สวรรค์มีตาแล้ว

“ได้ยินมาว่าผนังกำแพงด้านนอกของตระกูลจย่าถูกคนเอามูลสัตว์มาปาใส่ กลิ่นเหม็นอบอวลไปทั่วถนนสามสาย” พ่อบ้านกล่าวพลางปิดจมูก

เถิงเทียนฮั่นมองดูอาหารเช้าที่อยู่ตรงหน้า วางตะเกียบลงอย่างเงียบๆ “เป็นการตายที่แปลกจริงหรือ”

พ่อบ้านสีหน้าจริงจัง พยักหน้าพลางเอ่ย “จย่าเจิ้นผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ใช้กรรไกรตัดแก่นกายของตัวเอง ซ้ำยังเอากรรไกรแทงที่คอ ส่วนจย่าหยวนไว่ก็ถูกไฟครอบจนอาการสาหัส คงหมดหนทางรักษาแล้วขอรับ”

ขณะที่เขาพูดก็รู้สึกว่าขาทั้งสองข้างสั่นๆ และรู้สึกหนาวๆ

เถิงเทียนฮั่นก็เช่นกัน รู้สึกว่าขาทั้งสองข้างอยู่ไม่สุข

ทำชั่วได้ชั่ว

คำพูดของฉินหลิวซีผุดขึ้นมาในหัวของเขา

หากพิจารณาคดีดำเนินการตามศาลปกครองที่เกี่ยวข้อง ไม่ต้องเอ้นถึงว่าจะมีใครปกป้องตระกูลจย่าให้พวกเขารอดพ้นจากภัยพิบัติครั้งนี้ได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ แม้ว่าจะไม่รอดพ้น เช่นนั้นก็คงถูกเนรเทศหรือตัดศีรษะ ไหนเลยจะมีสภาพดั่งเช่นตอนนี้ ถูกทรมาน มีชีวิตอยู่ก็ไม่สู้ตายไปเสียจะดีกว่า

การแก้แค้นดังกล่าวสามารถบรรเทาความขุ่นเคืองของเหลียงซื่อได้หรือไม่

คงจะได้กระมัง อย่างไรเสียนางก็แก้แค้นด้วยตัวเอง

เถิงเทียนฮั่นยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ เอ่ย “ไปเอาตราประทับของข้ามา ให้พวกเขาตรวจสอบตระกูลจย่าอย่างละเอียด” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

“ขอรับ”

พ่อบ้านยกมือขึ้นคำนับพลางเอ่ย “ใต้เท้า ยังมีอีกเรื่องหนึ่งขอรับ”

“ว่ามา”

พ่อบ้านจึงเอ่ยต่อ “ข้าน้อยได้ให้คนไปสืบข่าวครอบครัวสามีของเหลียงซื่อผู้นั้น ก็พอได้ข่าวมาบ้าง ได้ยินว่าครอบครัวของพวกเขาเกิดเรื่องวุ่นวายตั้งแต่ยังไม่ทันรุ่งสาง บอกว่าถูกปล้นขอรับ”

“ถูกปล้น?”

“เงินยี่สิบตำลึงที่ซ่อนอยู่ในคอกวัวหายไปขอรับ”

เถิงเทียนฮั่น “…”

คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกกระมัง เป็นฝีมือของวิญญาณที่ตายอย่างไม่ยุติธรรมตนนั้นหรือเป็นฝีมือของท่านอาจารย์ผู้เกลียดชังความชั่วร้ายกันแน่

“อีกอย่าง หลานสาวของครอบครัวนั้นก็หายตัวไป ตามหาไปจนถึงหน้าหลุมศพของพ่อแม่นาง ก็พบเพียงกระดูกไม่กี่ชิ้นกับเศษผ้าขาดขอรับ” พ่อบ้านเอ่ยว่า “ครอบครัวนั้นเล่าให้คนในหมู่บ้านฟังว่าเด็กวิ่งไปหน้าหลุมศพของพ่อแม่เองจึงถูกหมาป่าคาบไปกินขอรับ”

เถิงเทียนฮั่นใจสั่น “ไม่ได้มาแจ้งความอีกแล้วหรือ”

พ่อบ้านส่ายหน้า “เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ เดิมทีก็ผ่านโศกนาฏกรรมอันเลวร้ายจนเสียสติเช่นนี้ พ่อกับแม่ก็ไม่อยู่แล้ว ครอบครัวนางก็ไม่สนใจ ได้ยินคนในหมู่บ้านเล่าว่าหลังจากเกิดเหตุ เด็กน้อยก็กินมื้ออดมื้อ จนเกือบจะตายอยู่แล้วขอรับ”

เถิงเทียนฮั่นโกรธมาก เด็กก็เป็นคนเหมือนกัน แต่ครอบครัวนางเคยเห็นว่านางเป็นคนหรือไม่

“เด็กถูกหมาป่าคาบไปแล้วจริงหรือ”

สีหน้าของพ่อบ้านดูแปลกๆ แล้วจึงเอ่ย “คือว่า…”

“หืม?”

“เช้านี้ที่เรือนของท่านอาจารย์มีเด็กผู้หญิงเพิ่มมาอีกหนึ่งคนขอรับ”

เถิงเทียนฮั่น “!”

เขาลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “ข้าจะไปดู”

ฉินหลิวซีจูงมือเด็กสาวไปที่เรือนเถิงเจา แนะนำให้ทั้งสองคนรู้จักกัน

“เจาเจา นี่คือวั่งชวน จากนี่ไปจะติดตามข้าเช่นกัน” ฉินหลิวซีผลักเสี่ยววั่งชวนไปอยู่ตรงหน้าเถิงเจา เอ่ยกับเด็กหญิงว่า “นี่คือเถิงเจา เป็นศิษย์ของข้า ทักทายสักหน่อย เรียกว่าศิษย์พี่ก็แล้วกัน”

สอนหนึ่งคนก็ต้องสอน สองคนก็ต้องสอนเช่นกัน ก็สอนไปด้วยกันเสียเลย จะเรียนรู้ได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวพวกเขาเองแล้ว

เสี่ยววั่งชวนเบิกตาโต จ้องมองไปยังเถิงเจาอยู่นานก่อนจะเอ่ยว่า “ศิษย์พี่”

คิ้วของเถิงเจาขมวดเป็นตัวอักษร ‘ชวน (川)’

เขายังไม่ได้ฝากตัวเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ ยังไม่เคยเรียกว่าท่านอาจารย์ด้วยซ้ำ ก็มีศิษย์น้องหญิงโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้

เขาจ้องมองวั่งชวน มีความคิดผุดขึ้นมาในหัว หรือว่าจะเป็นบุตรสาวของวิญญาณที่ตายอย่างไม่ยุติธรรมผู้นั้น

แต่นางก็ดูสะอาดสะอ้าน ดวงตาสดใสเป็นอย่างมากราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

เถิงเจาไม่ได้มีการตอบสนอง วั่งชวนสับสนเล็กน้อย คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบขนมหมาถัง[1]ออกมาจากถุงใบเล็กที่ห้อยอยู่ตรงเอวแล้วยื่นให้เขา “ศิษย์พี่กินสิเจ้าคะ”

มองดูขนมหมาถังชิ้นนั้น เถิงเจาไม่ได้เอื้อมมือออกไป ไม่รู้ว่านางล้างมือแล้วหรือยัง

ฉินหลิวซีกลับหยิบขนมหมาถังชิ้นนั้นไปแล้วยัดใส่ปากของเขา

เถิงเจาสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “!”

เขาอมขนมหมาถังไว้ในปาก ทำแก้มป่องพลางจ้องไปที่ฉินหลิวซี ท่าทางเช่นนี้ทำให้รูปลักษณ์เดิมของเขาหายไป ดูน่ารักมากขึ้น

ฉินหลิวซีเอ่ย “ศิษย์น้องให้เจ้า อย่าลืมมอบของขวัญคืนด้วย”

เถิงเจาคิดในใจว่า ‘ข้ายังไม่ทันได้ฝากตัวเป็นศิษย์ด้วยซ้ำ แล้วศิษย์น้องมาจากไหน’

เถิงเทียนฮั่นเดินเข้ามา เห็นภาพที่หลายคนกำลัง ‘เผชิญหน้ากัน’ จึงเร่งฝีเท้าอย่างรวดเร็ว

เมื่อฉินหลิวซีเห็นเขาก็ยกมุมปากขึ้น จากนั้นก็ดันวั่งชวน เอ่ย “นี่คือท่านพ่อของศิษย์พี่เจ้า เรียกท่านลุงสิ เขามีของขวัญต้อนรับให้”

เถิงเทียนฮั่น “?”

เสี่ยววั่งชวนเงยหน้าขึ้น มองไปยังเถิงเทียนฮั่นผู้สง่างาม โค้งตัวคารวะ เอ่ยเรียกเสียงหวาน “คารวะท่านลุงเจ้าค่ะ”

เถิงเทียนฮั่นสำลัก มองดูนางอย่างละเอียด ในหัวมีความคิดเดียวกันกับบุตรชาย นี่คือเด็กที่เสียสติผู้นั้นใช่หรือไม่ ก็ดูปกติดีไม่ใช่หรือ ทั้งยังสะอาดสะอ้านและน่ารัก ท่าทางไร้เดียงสา

เขามองไปยังฉินหลิวซี อีกฝ่ายยิ้มพลางเอ่ย “อ้อ นี่คือลูกศิษย์ข้า เก็บมาจากข้างถนน”

เถิงเทียนฮั่นและบุตรชาย ‘เหอะๆ คำพูดนี้แม้แต่ตัวเจ้าเองก็ยังไม่เชื่อ!’

เถิงเทียนฮั่นยอมแพ้ภายใต้สายตาของฉินหลิวซี เขาถอดจี้หยกออกมาจากเอวแล้วมอบให้เสี่ยววั่งชวน “เด็กดี สิ่งนี้มอบให้เจ้า”

เสี่ยววั่งชวนมองไปยังจี้หยกใสสะอาดชิ้นนั้น แต่ไม่ได้เอื้อมมือออกไป กลับมองไปยังฉินหลิวซีก่อน

ฉินหลิวซีพอใจเป็นอย่างมาก พยักหน้าพลางเอ่ย “รีบเอ่ยขอบคุณสิ ในเมื่อเป็นท่านพ่อของศิษย์พี่เจ้า ต่อไปเมื่อได้เจอก็ต้องให้ความเคารพ”

“ขอบคุณท่านลุงเจ้าค่ะ” เสี่ยววั่งชวนเอ่ยขอบคุณอย่างอ่อนหวานแล้วรับจี้หยกมา

เถิงเทียนฮั่นสับสนเล็กน้อย หากเด็กคนนี้มาจากครอบครัวนั้น เพียงชั่วข้ามคืนก็รู้มารยาทถึงเพียงนี้เชียวหรือ

ฉินหลิวซีเอ่ยกับเถิงเจาว่า “เจาเจา เจ้าพาวั่งชวนเข้าไปดีหรือไม่ เกรงว่าท่านพ่อของเจ้าจะมีเรื่องอยากถามข้า”

เถิงเจาหันหลังกลับแล้วเดินจากไป ไม่ได้บอกว่าตกลงหรือไม่ตกลง

เสี่ยววั่งชวนเดินก้าวเล็กๆ ตามเข้าไป

เมื่อเถิงเทียนฮั่นเห็นว่าพวกเขาไปแล้ว จึงรีบเอ่ยถามอย่างอดไม่ไหว “ท่านอาจารย์ นี่คือบุตรสาวของเหลียงซื่อผู้นั้นหรือ”

“ใต้เท้าเอ่ยเรื่องใด ข้าไม่เข้าใจ เมื่อคืนข้าฝันว่าเจ้าลัทธิเต๋าให้ข้าออกไปรับลูกศิษย์ ข้าจึงได้ออกไป ปรากฏว่าได้พบเด็กคนนี้ยืนอยู่ข้างถนน ข้าเห็นว่านางดูมีไหวพริบอยู่บ้าง อีกทั้งยังเป็นการชี้นำของเจ้าลัทธิเต๋า ดังนั้นจึงพานางกลับมา”

เจ้าลัทธิเต๋า ‘ไม่ใช่ข้า ข้าไม่ได้ทำ!’

เถิงเทียนฮั่นสบถเบาๆ ล้วนเป็นจิ้งจอกพันปีทั้งนั้น อย่าได้มาหลอกข้า หากจะบอกว่าเก็บมา ไม่สู้บอกว่าลักพาตัวมาจะเหมาะกว่า

ลักพาตัวไปหนึ่งคนคิดว่าน้อยไป จึงต้องการหนึ่งคู่

แต่เมื่อนึกถึงประสบการณ์ในชีวิตของอีกฝ่าย เถิงเทียนฮั่นก็ถอนหายใจ ไม่ได้เปิดเผยฉินหลิวซี เพียงแต่เอ่ยว่า “นางชื่อวั่งชวนหรือ”

“ใช่แล้ว” ฉินหลิวซีเอ่ย “ตอนที่เก็บนางมา นางก็ได้ลืมเรื่องในอดีตไปแล้ว ข้าจึงตั้งชื่อให้นางว่าวั่งชวน แซ่ฉินเหมือนกับข้า ใต้เท้าคิดว่าอย่างไร ชื่อนี้ดีหรือไม่”

ลืมเรื่องในอดีตหรือ เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน

เถิงเทียนฮั่นจ้องมองไปที่นาง “เหมาะกับนางมาก จย่าเจิ้นตายแล้ว จย่าหยวนไว่พิการ เจ้ารู้หรือไม่”

ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ความดีและความชั่วย่อมมีผลตอบแทน ใครก็ตามที่ทำชั่ว ผลกรรมก็จะตกอยู่กับพวกเขาในที่สุด ข้าไม่แปลกใจเลย”

กรรมตามสนอง

เถิงเทียนฮั่นถูนิ้ว เงียบอยู่นานก่อนจะถามว่า “วิญญาณแม่ของวั่งชวนดับสลายไปแล้วหรือ”

ในเมื่อมีคำกล่าวที่ว่า ‘กรรมตามสนอง’ อย่างไรเสียเหลียงซื่อก็ทำร้ายคน นับว่าเป็นความผิด วิญญาณจะดับสลายหรือไม่

ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “ทำอะไรก็ได้เช่นนั้น ไม่ถึงขั้นวิญญาณดับสลาย แต่เมื่อลงไปที่ยมโลกจะต้องถูกลงโทษและต้องทำงานอย่างหนัก เมื่อทำงานชดใช้อย่างหนักแล้วก็จะได้กลับชาติมาเกิด หลังจากกลับชาติมาเกิดแล้วจะดีหรือร้ายก็ต้องดูบุญกรรมที่ทำไว้เมื่อชาติที่แล้ว”

“นี่คือสิ่งที่ศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าเรียกว่าการเวียนว่ายตายเกิด เป็นวิถีแห่งสวรรค์หรือ”

ฉินหลิวซีเอ่ย “หรือว่าใต้เท้ากลัว ทำความดีสะสมบุญ ย่อมได้รับพรเป็นสิ่งตอบแทน ไม่สู้ใต้เท้าถวายค่าน้ำมันตะเกียงให้อารามชิงผิงของพวกเรา เพราะในฤดูหนาวของทุกปี อารามชิงผิงของพวกเราจะช่วยเหลือราษฎรผู้ยากไร้ เช่นนี้ใต้เท้าก็นับว่าได้สะสมบุญแล้ว”

เถิงเทียนฮั่นอดกลั้น ถามว่า “ทุกคนในอารามชิงผิงขอค่าน้ำมันตะเกียงอย่างโจ่งแจ้งเหมือนท่านเช่นนี้ทุกคนเลยหรือ”

“ไม่หรอก พวกเขาค่อนข้างสงวนท่าที” ฉินหลิวซียิ้ม “แต่ข้าแตกต่าง ข้าเป็นคนตรงไปตรงมา”

บรรดาศิษย์ในสำนัก ‘ถุย!’

เถิงเทียนฮั่นหันกลับไปมองข้างในห้อง เสียงเล็กแหลมของวั่งชวนดังออกมาเบาๆ แต่เถิงเจากลับไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ จะให้เขาฝากตัวเป็นศิษย์ฉินหลิวซีจริงๆ หรือ

“หากใต้เท้าอนุญาต พวกเราจะออกเดินทางกลับเมืองหลีในช่วงบ่าย ส่วนเจาเจาให้พาบ่าวรับใช้ไปได้เพียงหนึ่งคน หลังจากที่เขาอยู่ข้างกายข้าจนคุ้นเคยแล้ว ข้าจะให้บ่าวรับใช้กลับมา”

เถิงเทียนฮั่นอดไม่ไหว “เขาอาจจะไม่อยากไปก็ได้”

“ไม่สู้ใต้เท้าไปถามความสมัครใจของเขาด้วยตัวเอง”

เถิงเทียนฮั่นรู้สึกว่าเขายังสามารถดึงดันได้เล็กน้อย จึงเข้าไปในห้อง เห็นเถิงเจานั่งอยู่บนเตียงหลัวฮั่นตามปกติ แต่เขาไม่ได้วางหมากรุก กลับจ้องมองวั่งชวน

วั่งชวนก็ไม่ได้กลัวเขา มองไปรอบๆ พลางถามว่า ‘นี่คืออะไร’ อยู่เรื่อยๆ แม้ว่าเถิงเจาจะไม่ตอบ แต่นางก็ถามอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

เถิงเทียนฮั่นนั่งลงตรงหน้าเถิงเจา ถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจาเอ๋อร์ เจ้าเต็มใจจะฝากตัวเป็นศิษย์อาจารย์ปู้ฉิว เข้าสู่อารามเพื่อฝึกบำเพ็ญหรือไม่”

เถิงเจาจ้องไปที่เขา

“เจ้าอายุเจ็ดขวบแล้ว เถิงเจา ข้าอยากให้เจ้าตอบด้วยตัวเอง” เถิงเทียนฮั่นมองเข้าไปในดวงตาของเขาแล้วจึงเอ่ยว่า “เมื่อนับถือเขาเป็นอาจารย์แล้ว จากนี้ไปเจ้าจะเป็นศิษย์ของเขา เกรงว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะได้พบกับพ่อ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงคนในตระกูล ใช่ว่าพ่อทอดทิ้งเจ้า เป็นเพราะเสวียนเหมินมีกฎของเสวียนเหมิน แม้ว่าไม่จำเป็นต้องตัดขาดเรื่องทางโลก แต่ก็ทำให้ความสัมพันธ์เปราะบาง…”

“ข้ายินดี”

เถิงเทียนฮั่นตัวแข็งทื่อ แววตาแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด

เถิงเจาลดสายตาลง

“เจ้าไม่ทบทวนสักหน่อยหรือ หากกลับเมืองหลวงไปกับพ่อ พ่อก็จะเชิญอาจารย์ที่ดีที่สุดมาสอนเจ้า”

“อยู่ข้างกายเขา สบายใจ” เถิงเจาปฏิเสธความใกล้ชิดของท่านพ่อด้วยคำตอบที่สั้นและมีน้ำหนักที่สุด

เถิงเทียนฮั่นรู้สึกขมขื่น จุกอยู่ที่คอ เกิดความรู้สึกน้อยใจอย่างไร้เหตุผล

พ่อลูกบุญสัมพันธ์น้อย

ฉินหลิวซีกล่าวไม่ผิดแม้แต่นิด เขาเป็นพ่อมาเจ็ดปี อย่าว่าแต่สบายใจเลย การสื่อสารก็ค่อนข้างน้อย แต่ฉินหลิวซีใช้เวลาสั้นๆ เพียงสองสามวันก็สามารถแลกความสบายใจของเขามาได้แล้ว

ความแตกต่างอย่างใหญ่หลวง รู้สึกแย่เป็นอย่างมาก

เถิงเทียนฮั่นทนไม่ไหวอีกต่อไป ลุกขึ้นยืนก่อนจะเอ่ย “เช่นนั้นพ่อจะไปส่งเจ้า”

เขาเดินออกไปด้วยท่าทางเศร้าสร้อย ขณะที่เดินผ่านฉินหลิวซีก็หยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันไปมองอีกฝ่าย

ขุ่นเคือง ไม่เต็มใจ เศร้า

โกรธที่ตัวเองได้พาหมาป่าเข้ามาในจวนเอง ให้เขาคาบบุตรชายเพียงคนเดียวของข้าไป!

[1] ขนมหมาถัง ขนมที่นำงา แป้ง และน้ำตาลมาผสมเข้าด้วยกัน

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท