ตอนที่ 316 เวรกรรมจริงๆ
ใครก็คิดไม่ถึงว่าก่อนหน้านี้ฉินหลิวซีที่กำลังตำหนิฟ้าดินและเจ้านักต้มตุ๋นท่าทางเย่อหยิ่งอวดี เพียงพริบตาเดียวก็ราวกับถูกผีดึงขา ล้มลงบนถนน ซ้ำยังเท้าแพลงอีก
แม้ว่าจะพูดจาไม่ดีไปหน่อย แต่ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็แอบคิดถึงคำคำหนึ่ง เวรกรรม?
คำกล่าวนี้ทำให้แอบหัวเราะอยู่ในใจ ทุกคนต่างพากันยุ่งอยู่กับการพยุงฉินหลิวซีลุกขึ้นมา เถิงเทียนฮั่นกำชับให้พ่อบ้านไปเชิญหมอกระดูกมา มองฉินหลิวซีแล้วเอ่ย “หรือว่าจะรอให้ท่านดีขึ้นก่อนแล้วค่อยไป”
ฉินหลิวซีเหลือบมองพลางเอ่ย “ใต้เท้า การไปเมืองหลีไม่ได้ต้องขี่ม้าหรือเดินเท้า พวกเรานั่งรถม้าไป ต่อให้ข้าขาหักก็สามารถออกเดินทางได้”
ทันทีที่นางสบตาเขาก็เผยให้เห็นถึงสายตารู้ทัน
อย่าได้คิดถ่วงเวลา อย่างไรเจาเจาก็ต้องไปกับข้า
เถิงเทียนฮั่นสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงแล้วจึงเอ่ย“เช่นนั้นก็เชิญท่านหมอมาตรวจสักหน่อยว่าต้องทายาหรือไม่”
“หากต้องทายา ข้าทำเองได้ ไม่จำเป็นหรอก” ฉินหลิวซีโบกมือ ขยับเท้าเล็กน้อย กัดฟันด้วยความเจ็บปวด สูดลมหายใจพลางเอ่ย “เท้าของข้าใช่ว่าทายาแล้วจะหาย ต้องใช้เวลา ข้าชินแล้ว ออกเดินทางกันเถิด เจาเจา วั่งชวน มาเร็ว อาจารย์บาดเจ็บแล้ว ได้เวลาแสดงความกตัญญูของพวกเจ้าแล้ว”
เถิงเจา “…”
วั่งชวนใช้มือและเท้าปีนขึ้นไปบนรถม้าทั้งน้ำตา ร้องไห้สะอึกสะอื้นพลางเอ่ย “อาจารย์ ท่านจะไม่ตายใช่หรือไม่”
นางต้องให้คนหามขึ้นรถม้า อาการบาดเจ็บดูร้ายแรงอยู่บ้าง
ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “วางใจเถิด อาจารย์ของเจ้าเป็นตัวหายนะ ถูกกำหนดให้มีอายุยืนพันปี!”
ทุกคนต่างมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างเงียบๆ
เอ่ยเสียดสีตัวเองด้วยความภาคภูมิใจเช่นนี้ คงจะรู้ตัวดีกระมัง
เถิงเทียนฮั่นหันไปมองวั่งชวนอย่างครุ่นคิด
เขาไม่พลาดคำพูดของเฉิงหยาง วั่งชวนเป็นคนอายุสั้น น่าจะตายไปนานแล้ว แต่ตอนนี้กลับยังมีชีวิตอยู่ดี ทั้งเขายังพูดถึงห้าโทษสามวิบัติ และฉินหลิวซีก็บอกว่าขาของตนไม่สามารถรักษาหายได้ในเร็วๆ นี้ ต้องใช้เวลา
ดังนั้นจึงต้องโทษห้าโทษสามวิบัติ
เป็นเพราะช่วยคนที่ควรจะตายไปแล้ว นี่จึงเป็นสิ่งที่สวรรค์ลงโทษอย่างนั้นหรือ
ดวงตาของเถิงเทียนฮั่นมืดลงเล็กน้อย ถูปลายนิ้วที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ แอบรู้สึกยำเกรง
ว่ากันว่าสวรรค์ไม่ยุติธรรม แต่ว่ามันไม่ยุติธรรมจริงๆ หรือ
ทุกพลังในใต้หล้านี้ ไม่ว่าจะทรงพลังแค่ไหน บางครั้งอาจถูกปราบปรามและจำกัด
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เถิงเทียนฮั่นก็หายใจเข้าลึกๆ ในสายตามีบางอย่างเพิ่มขึ้นมา ท่าทางของเขาสงบมากขึ้น
ฉินหลิวซีมองมา ยกมุมปาก แล้วเอนพิงผนังรถ มองสายตาที่เป็นกังวลของเสี่ยววั่งชวน จากนั้นก็ทำท่าทางเจ็บปวด ทำเอาเสี่ยววั่งชวนตกใจกลัว ยื่นมือออกไปแต่ก็ไม่กล้าจับ
เสียแรงที่นางคิดว่าสวรรค์ไม่มีจริง ที่แท้ก็กำลังอดกลั้นเพื่อทำให้นางขายหน้า ซ้ำยังทำเช่นนี้หลังจากที่เฉิงหยางผู้นั้นเอ่ยขึ้นมา
ความสง่างามของท่านอาจารย์ถูกกำจัดไปอย่างสิ้นเชิงจากการจู่โจมครั้งนี้
โกรธมาก
ฉินหลิวซีอยากจะเตะประตู แต่ทันทีที่ขยับก็ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด
เวรกรรมจริงๆ !
ไม่รู้ว่าเพราะกังวลเรื่องขาของฉินหลิวซีกำลังเจ็บอยู่ หรืออยากจะใช้เวลาอยู่กับบุตรชายให้มากขึ้น การเดินทางของพวกเขาจึงค่อนข้างช้า ในวันที่สามหลังจากออกเดินทางพวกเขาจึงได้มาถึงจุดพักม้าสุดท้ายที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลี
ผู้ดูแลจุดพักม้าได้รับข่าวแล้วและกำลังรออยู่ เมื่อเขาเห็นเถิงเทียนฮั่นก็โค้งคำนับทำความเคารพ และพาพวกเขาไปยังเรือนที่เตรียมไว้ให้ด้วยตัวเอง
ฉินหลิวซีมีเหล่าโฉวช่วยพยุงลงจากรถ
เป็นอย่างที่นางกล่าว เท้าพิการของนางต้องรอให้หายเอง ดังนั้นจึงไม่ทายา ตั้งแต่วันแรกที่ขยับไม่ได้จนมาถึงวันนี้เริ่มเดินกะเผลกได้แล้ว
“ท่านอาจารย์ ให้ข้าแบกท่านดีหรือไม่” เมื่อเหล่าโฉวเห็นว่าอีกฝ่ายเดินอย่างลำบากจึงอดถามไม่ได้
ฉินหลิวซีส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก เดินช้าๆ ก็ได้”
เหล่าโฉวทำได้เพียงออกแรงช่วยพยุง แทบจะเป็นการแบกอีกฝ่ายไว้อยู่แล้ว เพื่อไม่ให้ต้องออกแรงมากเกินไปจนทำให้เอ็นกระดูกได้รับบาดเจ็บ
เถิงเทียนฮั่นเห็นดังนั้นจึงเอ่ย “ให้คนไปนำเปลมาหามดีหรือไม่”
ฉินหลิวซียังคงส่ายหน้า ‘ไม่จำเป็น’
กลุ่มคนเดินไปที่ด้านในจุดพักม้า ข้างหลังพวกเขามีเสียงฝีเท้าม้าและเสียงล้อรถ ในไม่ช้าก็เข้ามาใกล้แค่เอื้อม
ฉินหลิวซีคล้ายกับจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง อุทานด้วยความสงสัย หยุดฝีเท้าแล้วหันกลับไปมองด้านหลัง
“คุณชาย คืนนี้พักที่จุดพักม้าก่อน พรุ่งนี้ก่อนเที่ยงก็ถึงเมืองหลีแล้วขอรับ” มีองครักษ์ขี่ม้าของเขาไปรายงานที่หน้ารถม้าหรูหราคันหนึ่ง รอบๆ รถม้ามีองครักษ์ม้ารายล้อมหลายคน
“อืม” เสียงทุ้มต่ำแฝงไว้ด้วยความเหนื่อยล้าดังออกมาจากรถม้า
บ่าวรับใช้คนหนึ่งกระโดดลงจากรถก่อน จากนั้นก็ช่วยพยุงชายหนุ่มในรถม้าลงมา
บางทีอาจเป็นเพราะนั่งอยู่ในรถม้าเป็นเวลานาน ร่างกายจึงอ่อนแอ ตอนเขาลงจากรถม้าก็โซซำแเล็กน้อย โชคดีที่บ่าวรับใช้พยุงไว้
ชายหนุ่มผู้นั้นผอมซูบ สวมเสื้อคลุมบางๆ เมื่อมีองครักษ์ถือโคมไฟไปอยู่ตรงหน้าเขา ทำให้รูปร่างหน้าตาของเขาชัดเจนขึ้น ฉินหลิวซีจึงมองเห็นเขาในที่สุด
“ไยเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่”
ชายหนุ่มตกใจ รู้สึกไม่อยากจะเชื่อ รีบเงยหน้าขึ้น
ที่หน้าประตูจุดพักม้า ภายใต้โคมไฟ ฉินหลิวซีมองเขาด้วยรอยยิ้ม
“ท่าน ท่านอาจารย์”
เขาสะบัดมือของบ่าวรับใช้ออก รีบเดินไปอยู่ตรงหน้าฉินหลิวซี ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและประหลาดใจ
“เป็นท่านจริงๆ ด้วย เหตุใดอาจารย์จึงมาอยู่ที่นี่”
ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่าข้ามาพักค้างคืนที่นี่ ไม่ได้เจอกันสักพัก คุณชายหวังซูบผอมและซีดเซียวลง ดูเหมือนว่าช่วงนี้คุณชายหวังจะไม่ค่อยสบาย”
ผู้ที่มาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหวังเจิ้งซึ่งเคยพบที่ชิงโจว ผู้ที่ถูกฉินหลิวซีทำนายไว้ว่ามีดวงชะตาเสน่ห์ไม่ดีนัก
หวังเจิ้งเอ่ยอย่างตื่นเต้น “ท่านอาจารย์ ข้าเป็นดั่งที่ท่านกล่าวไว้จริงๆ มีดวงชะตาเสน่ห์ไม่ดี ไม่ขอปิดบังท่านอาจารย์ ข้ามาครั้งนี้ก็เพื่อมาหาท่านอาจารย์โดยเฉพาะ”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
“เข้าไปคุยข้างในเถิด”
กลุ่มคนเดินเข้าไปในจุดพักม้า หวังเจิ้งเองก็เกิดในตระกูลส่งศักดิ์ จะพักที่เรือนส่วนตัวที่ดีที่สุดของจุดพักม้าก็ไม่ใช่ปัญหา เขารู้จักฉินหลิวซี และไม่ได้รีบร้อนไปที่เรือนรับรองของตัวเอง เดินตามนางทุกฝีก้าว ปากก็พูดคุยไม่รู้จักพัก
“ท่านอาจารย์ ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ ร้ายแรงหรือไม่”
ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ค่อยๆ ดีขึ้น”
หวังเจิ้งไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้
ในสายตาของเขา ฉินหลิวซีก็คือเทพทำนายดวงชะตาที่มีมนต์คาถาแก่กล้าและทักษะวิชาแพทย์ที่ไม่ธรรมดา ดูจากที่ตอนนี้ท่านปู่ของเขาลุกขึ้นเดินเหินได้อย่างแข็งแรงก็สามารถรู้ได้แล้ว
ดังนั้นนางบอกว่าไม่เป็นไรก็ต้องไม่เป็นไรอย่างแน่นอน
แม้แต่ตัวเองที่ตอนนี้อยู่ข้างกายนาง ความกระสับกระส่ายวิตกกังวลและความหดหู่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาก็พลันหายไป กลายเป็นจิตใจที่สงบ
เมื่อเห็นว่าหวังเจิ้งไม่สังเกตเห็นตัวเองสักที เถิงเทียนฮั่นจึงกระแอมเสียงดัง
หวังเจิ้งหันไปมอง ชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อจำเถิงเทียนฮั่นได้ก็เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ท่านอาเถิง ท่านก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ”
เถิงเทียนฮั่นเอามือไขว้หลัง “ข้าอยู่ที่นี่มาตลอด อดีตเสนาบดีสบายดีใช่หรือไม่”
หวังเจิ้งรีบยกมือขึ้นคำนับเขากล่าวว่า “สมพรปากท่าน ก่อนหน้านี้ท่านปู่ป่วยเล็กน้อย แต่หลังจากที่อาจารย์รักษาแล้วก็ดีขึ้นเป็นอย่างมาก”
เถิงเทียนฮั่นเหลือบมองฉินหลิวซี เขาเคยรักษาโรคให้เสนาบดีหวังด้วยหรือ
“ว่าแต่ท่านอา เหตุใดท่านมาอยู่ที่นี่”
“ข้ามาส่งบุตรชายไปฝากตัวเป็นศิษย์ที่เมืองหลี” คำว่า ‘ฝากตัวเป็นศิษย์’ แทบจะถูกเค้นออกมาจากซอกฟัน
หวังเจิ้ง “?”
ฝากตัวเป็นศิษย์ใคร
ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “ข้ากับเถิงเจามีวาสนาได้เป็นศิษย์อาจารย์ จึงรับเขาเป็นศิษย์ แล้วยังมีเด็กคนนี้ด้วย สอนหนึ่งคนก็ต้องสอน สองคนก็ต้องสอนเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงรับไว้เป็นศิษย์ทั้งหมด”
หวังเจิ้ง “ท่านรับศิษย์แล้วหรือขอรับ”
เขามองไปยังเด็กทั้งสองคนที่เงียบสงบ เอ่ยขึ้นมาทันทีว่า “อาจารย์ หนึ่งคนน้อยไป สองคนก็ไม่มาก สามคนก็ไม่ต่างกัน อย่างไรเสียก็ต้องสอน ท่านช่วยรับข้าด้วยได้หรือไม่ขอรับ”