ตอนที่ 318 ร่องรอยความแค้น
สามวันที่ถูกลี่เหนียงกักขังไว้ หวังเจิ้งรู้สึกเหมือนผ่านไปแล้วครึ่งชีวิต ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ก็อดตัวสั่นไม่ได้
ทั้งที่ลี่เหนียงไม่ได้ทำร้ายเขา แต่คำพูดและการกระทำของนางกลับทรมานเขาอยู่ทุกชั่วยาม ทำให้เขาหวาดกลัวและตื่นตระหนก โดยเฉพาะเมื่อนางเอ่ยถึง ‘ความทรงจำ’ เขาก็ยิ่งเหงื่อออกและขนลุกซู่
นางแสดงได้สมจริงเกินไปแล้ว
ราวกับว่าเขาได้ทำสิ่งที่นางเอ่ยจริงๆ เกิดความรู้สึกฝังลึกในหัวและเกิดขึ้นซ้ำๆ ไม่หยุด บางครั้งก็สงสัยว่าตัวเองได้สูญเสียความทรงจำเหล่านั้นไปหรือไม่ เขาเคยมีสิ่งที่สวยงามกับนางเช่นนี้จริงๆ หรือ
เมื่อใดก็ตามที่คิดเช่นนี้ ยันต์แคล้วคลาดที่ห้อยอยู่บนคอก็จะร้อนขึ้นเล็กน้อย พลันทำให้เขามีสติ
เถิงเทียนฮั่นตกตะลึงกับการเล่าเรื่องของเขา
ราวกับว่าเขาเห็นสาวงามโง่เง่าที่มีความอ่อนโยนกำลังหลงใหลในตัวของหวังเจิ้ง แต่หวังเจิ้งกลับเป็นคนเลวที่ทรยศ
แต่เขารู้ว่าหวังเจิ้งไม่ใช่คนเช่นนั้น
“นางเป็นโรคทางจิตหรือไม่” เถิงเทียนฮั่นเอ่ยถาม
หวังเจิ้งเอ่ย “ท่านอาจารย์ก็เคยเอ่ยเช่นนั้นขอรับ”
เขามองไปยังฉินหลิวซี นางยิ้มแล้วเอ่ย “แปลว่าข้าทำนายแม่น!”
ทั้งสองคนกลอกตาพร้อมกัน
“แล้วใครเป็นคนช่วยท่านออกมา” วั่งชวนถามพลางกัดนิ้ว
หวังเจิ้งหายใจเข้า ก่อนจะเอ่ย “เป็นท่านเจ้าอาวาสอารามชิงหลาน”
หลังจากการค้นหาเขาไม่เกิดประโยชน์ใดๆ อดีตเสนาบดีหวังหมดหนทาง จึงได้ไปหาเจ้าอาวาสชิงหลานที่อารามเต๋า หลังจากทำนาย การทำนายเผยให้เห็นว่าหวังเจิ้งไม่เคยจากไปไหน
หากไม่เคยจากไปไหน แสดงว่าคนยังอยู่ที่เรือนลี่ย่วน
เจ้าอาวาสอารามชิงหลานไปที่เรือนลี่ย่วนด้วยตัวเอง จึงได้ค้นพบค่ายกลลับ ทำลายค่ายกลภาพลวงตาแล้วช่วยหวังเจิ้งออกมา
เป็นเพราะพวกเขามาทัน ลี่เหนียงเห็นว่าไม่สามารถปลุก ‘ความทรงจำ’ ของหวังเจิ้งได้ ความอดทนของนางก็หมดลง นางพร้อมที่จะพลีชีพกับเขาด้วยความรัก
เมื่อหวังเจิ้งเอ่ยถึงตรงนี้ก็มีสีหน้าหวาดหวั่น กลืนน้ำลายก่อนจะเอ่ย “นางเตรียมเพชรฆาตสีทอง[1]ไว้”
“จิตใจสตรีร้ายกาจที่สุด” เถิงเทียนฮั่นเอ่ยขึ้นมาหนึ่งประโยค จากนั้นก็มองไปยังฉินหลิวซีแล้วเอ่ยว่า “เจ้าอาวาสอารามชิงหลานผู้นั้นสามารถทำนายจนรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน และยังทำลายภาพลวงตาได้ เขาเองก็บำเพ็ญเต๋าเช่นกัน เสวียนเหมินของพวกท่านมีคนที่มีความสามารถมากมาย”
ฉินหลิวซีเอ่ย “อารามชิงหลานก็เป็นอารามอันดับหนึ่งในชิงโจว ในฐานะเจ้าอาวาส ย่อมมีวิชาเต๋าที่ล้ำลึก”
เถิงเทียนฮั่นเอ่ยอย่างลองใจว่า “ทำลายได้ ก็สร้างขึ้นมาได้ใช่หรือไม่”
ฉินหลิวซียิ้มพลางหันไปมองด้วยใบหน้านิ่ง เอ่ย “หรือใต้เท้ากลัวว่าความรุ่งเรืองของเสวียนเหมินจะเป็นอันตรายต่อราษฎร”
“เพียงแค่สงสัยเท่านั้น”
“เพียงแค่ค่ายกลภาพลวงตาธรรมดาๆ ทำลายได้ก็ย่อมสร้างขึ้นได้ แต่ลัทธิเต๋าที่เที่ยงธรรมอย่างแท้จริงจะไม่สร้างค่ายกลลวงตาเช่นนี้เพื่อทำร้ายผู้คน”
เถิงเทียนฮั่นถอนหายใจด้วยความโล่งอก มิเช่นนั้นทุกคนในเสวียนเหมินก็จะทำทุกอย่างที่พวกเขาต้องการด้วยสิ่งนี้ เช่นนั้นจะไม่เกิดความวุ่นวายขึ้นหรือ
แต่ในขณะที่เขายังไม่ทันได้ผ่อนคลายลงดี ฉินหลิวซีก็เอ่ยขึ้นมาอีกหนึ่งประโยคว่า “ยกเว้นผู้ที่รนหาที่ตาย”
เถิงเทียนฮั่น “!”
ดวงตาฉินหลิวซีวาววับ เอ่ยว่า “สำหรับศิษย์สำนักเดียวกันคนอื่นๆ ข้าไม่รู้ แต่สำหรับข้า หากไม่มารุกรานข้า ข้าก็ไม่รุกรานกลับ หากทำให้ข้าขุ่นเคือง ข้าก็จะจัดการเขา!”
เถิงเทียนฮั่นและหวังเจิ้ง “…”
เสี่ยววั่งชวน ‘ท่านอาจารย์ของข้าเก่งที่สุด!’
เถิงเจา ‘ดูเหมือนว่าจากนี้ไปจะมีปัญหาบางอย่างแล้ว ท่านอาจารย์ผู้นี้เป็นคนอารมณ์ร้อน!’
หวังเจิ้งกระแอม เอ่ย “ท่านอาจารย์เป็นคนตรงไปตรงมา”
ฉินหลิวซีสบถเบาๆ เอ่ย “ในเมื่อเจ้าอาวาสอารามชิงหลานออกโรงเอง และเจ้าก็ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เคราะห์ร้ายก็ถูกทำลายไปแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังซีดเซียวเช่นนี้”
หวังเจิ้งยิ้มอย่างขมขื่น “ลี่เหนียงตายแล้ว ดื่มยาพิษเพชรฆาตสีทองเข้าไป”
เมื่อเห็นว่าค่ายกลภาพลวงตาถูกทำลาย และหาตัวหวังเจิ้งพบแล้ว ลี่เหนียงรู้ดีว่าตัวเองไม่รอดแล้ว ไม่เพียงแต่ตระกูลหวังที่ไม่มีทางปล่อยนางไป เฉิงฟังจื่อก็จะไม่ปล่อยนางไปเช่นกัน อย่างไรเสียก็เท่ากับว่านางทรยศเฉิงฟังจื่อ เขาจะปล่อยให้นางมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร
ลี่เหนียงดื่มยาพิษเพชรฆาตสีทองด้วยตัวเองต่อหน้าหวังเจิ้ง
จนถึงตอนนี้หวังเจิ้งก็ไม่เคยลืมท่าทางที่ลี่เหนียงจ้องมองเขาทั้งที่มีเลือดสีดำไหลออกมาจากมุมปากของนาง
“หลังจากที่นางตาย เจ้าอาวาสอารามชิงหลานก็ได้สวดบทสวดให้ไปเกิดใหม่ บอกว่าเคราะห์ร้ายถูกทำลาย และได้กำจัดพลังชั่วร้ายแล้ว” หวังเจิ้งเอ่ย “แต่ข้ามักจะรู้สึกว่านางยังอยู่ เล่าเรื่อง ‘ความทรงจำ’ เหล่านั้นให้ข้าฟัง ทำเอาข้านอนไม่หลับทั้งคืน ก็เลย…”
เขารู้สึกละอายใจเล็กน้อย
เพราะความหวาดระแวงเช่นนี้เขาจึงได้มาหาฉินหลิวซี หวังว่านางจะช่วยให้คำแนะนำ มิเช่นนั้นเขาจะไม่สามารถอ่านตำราได้
ฉินหลิวซีมองเขาอย่างละเอียด เอ่ย “วิญญาณชั่วร้ายได้ถูกกำจัดออกไปแล้วจริงๆ รอบตัวเจ้าก็ดูสะอาดสะอ้าน แต่ว่า…”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
หวังเจิ้งขนลุกซู่
“นางทิ้งร่องรอยความแค้นไว้บนตัวของเจ้า” มือขวาของฉินหลิวซีร่ายมนต์ เสกไปที่กลางหว่างคิ้วของหวังเจิ้ง จากนั้นก็ดึงหมอกสีดำเทาออกมา
ทุกคนเบิกตากว้าง พากันตกตะลึง
หมอกนั้นขยับเล็กน้อยอยู่ที่ปลายนิ้วของนาง
“นี่ นี่ก็คือร่องรอยความแค้น”
อึก
หวังเจิ้งกลืนน้ำลาย
ฉินหลิวซีใช้นิ้วร่ายมนต์แล้วท่องคาถา หมอกก็ค่อยๆ กระจายจนจางหายไป
“นางมั่นใจว่าเจ้ากับนางรักใคร่ซึ่งกันและกันจนเกิดเป็นโรคทางจิต นับเป็นอาการป่วยอย่างหนึ่ง นางจะวาดภาพที่สวยงามดังภาพลวงตาขึ้นมา พวกเราคิดว่าไม่ใช่เรื่องจริง แต่นางคิดว่ามันเป็นความจริง จึงได้เชื่อมั่นอย่างสนิทใจ และไม่ให้ใครมาทำลาย” ฉินหลิวซีอธิบายว่า “เมื่อภาพลวงตาที่สมมุติขึ้นมานั้นถูกทำลาย นางก็ย่อมไม่เต็มใจและโกรธแค้น จึงได้กลายเป็นความคับแค้นใจ และเจ้าก็เป็นบุคคลสำคัญในภาพลวงตา ภาพลวงตานี้เกิดขึ้นและสลายไปเพราะเจ้า จนตายนางก็ไม่เต็มใจ ความแค้นนี้ย่อมไปตกอยู่ที่เจ้า”
“ด้วยร่องรอยแห่งความแค้นอยู่ในตัว ทั้งเจ้ายังตกใจและหวาดระแวง ย่อมรู้สึกว่านางยังคงอยู่ แต่ความจริงนางจากไปแล้ว มีเพียงแค่ร่องรอยแห่งความคับแค้นใจเท่านั้นที่ยังอยู่ ตอนนี้เจ้าเห็นว่ามันได้หายไปแล้ว” ฉินหลิวซีมองไปที่เขาพลางเอ่ย “ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องหวาดระแวงอีกต่อไป อย่าได้เห็นเงางูในจอกสุราอีก หลังจากเหตุการณ์นี้เจ้ายิ่งต้องเข้มงวดกับตัวเองมากขึ้น ให้ความเคารพผู้อื่นเสมอ โดยเฉพาะสตรี รักษาระยะห่างและท่าทีของบุรุษที่ควรมี”
หวังเจิ้งลุกขึ้นยืนพลางยกมือขึ้นคารวะพลางเอ่ย “หวังเจิ้งเข้าใจแล้วขอรับ”
เถิงเทียนฮั่นเอ่ยขึ้นมาว่า “อยู่ดีๆ เหตุใดนางจึงได้เป็นโรคทางจิตเช่นนี้กับเขาได้”
“เพราะมีเหตุจึงได้มีผล ที่ลี่เหนียงมีโรคทางจิตเช่นนี้ เพราะเชื่อว่าเขาให้ความรู้สึกอะไรบางอย่าง จึงไปกระตุ้นจิตใจของนาง”
ใบหน้าของหวังเจิ้งร้อนขึ้นมา เอ่ย “เป็นเพราะท่านปู่ ข้าเคยขอให้หัวหน้าสำนักเฉิงให้คำแนะนำเกี่ยวกับการวาดภาพ มีครั้งหนึ่งได้ไปที่เรือนส่วนตัวของเขา ลี่เหนียงผู้นั้นก็มีทักษะการวาดภาพที่ดี และในขณะที่หัวหน้าสำนักกำลังวาดภาพนางอยู่ เมื่อเห็นว่าข้ามาแล้ว ทันใดนั้นก็เกิดความคิดแปลกๆ ขึ้นมา ให้ข้าวาดภาพกับนาง ข้าไม่มีทางเลือกอื่น จึงได้วาดภาพร่วมกันจนได้ภาพที่มีชื่อว่าภูผาและธารา”
ขณะที่เขากำลังเอ่ยก็กลัวว่าทั้งสองคนจะเข้าใจผิด จึงรีบเอ่ยอธิบายต่อว่า “แต่ข้ารับรองได้ว่าข้ารักษาท่าทีของบุรุษอยู่เสมอ และหัวหน้าสำนักเฉิงก็อยู่ด้วยตลอด ที่ข้าบอกว่าวาดภาพ ความจริงแล้วก็เพียงตกแต่งเล็กๆ น้อยๆ และคิดข้อความขึ้นมาก็เท่านั้น”
“หนึ่งภาพนำไปสู่การเป็นปีศาจ” ฉินหลิวซีถอนหายใจอย่างเวทนา
เถิงเทียนฮั่นก็รู้สึกว่าผิดปกติเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะเกิดความรักจากภาพวาดเพียงหนึ่งรูป เป็นเรื่องธรรมดาที่หวังเจิ้งจะมีสตรีมาตกหลุมรักเพราะเขามีภูมิหลังตระกูลที่ดีซ้ำยังรูปงาม แต่สิ่งที่ผิดปกติคือโรคทางจิตของลี่เหนียงมีอาการหนักอย่างรุนแรงหลังจากวาดภาพเพียงภาพเดียว และยอมเสี่ยงด้วยเหตุนี้
ฉินหลิวซีเอ่ย “เรื่องนี้ได้จบลงแล้ว คนก็ตายไปแล้ว การที่เจ้าใช้เรื่องนี้เป็นสิ่งเตือนใจนั้นถูกต้องแล้ว แต่ไม่ควรเห็นเงางูในจอกสุราตลอดเวลาจนสูญเสียความสงบ ที่ข้าสงสัยก็คือลี่เหนียงผู้นั้นวางค่ายกลภาพลวงตากับร่ายมนต์บังตาได้อย่างไร”
[1] เพชฌฆาตสีทอง พืชมีพิษ