คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 319 บรรพบุรุษตัวน้อยเป็นง่อยกลับมาแล้ว

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 319 บรรพบุรุษตัวน้อยเป็นง่อยกลับมาแล้ว

ลี่เหนียงไม่ได้รู้มนต์บังตาหรือการสร้างค่ายกลภาพลวงตา ทว่าเป็นแม่มดที่นางพบโดยบังเอิญเป็นผู้ช่วยวางค่ายกล จ่ายเงินไปจำนวนไม่น้อย

“แม่มด?” ฉินหลิวซีถามว่า “จับตัวได้หรือไม่”

หวังเจิ้งส่ายหน้า “หลังจากที่แม่มดผู้นั้นร่ายมนต์ก็รับเงินแล้วหนีไป และไม่ได้อยู่ที่เมืองฝูในชิงโจวต่อ เจ้าอาวาสอารามชิงหลานจึงทำนายดู การทำนายเผยให้เห็นว่านางหนีไปทางใต้แล้ว”

ฉินหลิวซีเลิกคิ้วพลางยิ้มเล็กน้อย “แม่มดผู้นี้ค่อนข้างมีไหวพริบเลยทีเดียว หลบหนีหลังจากที่สร้างเรื่องใหญ่ทิ้งไว้”

เถิงเทียนฮั่นขมวดคิ้วพลางถามว่า “ด้วยเส้นสายคนตระกูลหวังอย่างพวกเจ้าก็ไม่สามารถตามจับแม่มดผู้นั้นกลับมาได้หรือ”

หวังเจิ้งมีสีหน้าลำบากใจ

ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้นมาว่า “การที่สามารถใช้มนต์บังตาและสร้างค่ายกลภาพลวงตาได้ พิสูจน์ได้ว่านางมีทักษะทางด้านมนต์คาถาอยู่บ้าง ไม่ต้องพูดถึงคาถาเล็กๆ น้อยๆ เพียงแค่อาศัยมนต์บังตาก็สามารถหลบหนีทหารที่ไล่ตามมาได้อย่างง่ายดาย ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่านางมีความสามารถวางค่ายกลภาพลวงตาได้ ดังนั้นหากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านมนต์คาถาของเสวียนเหมิน คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถจับนางได้ นอกเสียจากพวกเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการไล่ล่า สามารถใช้ทักษะในด้านนี้หาร่องรอยของนางได้”

“เช่นนั้นเจ้าอาวาสอารามชิงหลานก็ไม่มีวิธีหรือ” เถิงเทียนฮั่นเอ่ยถาม

“เจ้าอาวาสก็ชี้ให้เห็นแล้วว่านางไปทางทิศใต้ เช่นนั้นก็ต้องค้นหาไปทางใต้ แน่นอนว่าค่อนข้างใช้เวลา แต่ก็ใช่ว่าจะหาไม่เจอ เว้นเสียแต่ว่านางจะไม่ทำเรื่องเลวร้ายอีก” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “แต่คนเช่นนี้ได้ลิ้มรสความหวานแล้ว สามารถหาเงินได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ยากที่จะไม่ทำเรื่องเลวร้ายอีก แม่มดมักจะถูกเชิญไปที่หลังจวน หากต้องการตามหา ให้สังเกตเรื่องที่ค่อนข้างแปลกประหลาด ตระกูลไหนมีการเชิญใครไป คาดว่าจะสามารถเจอตัวได้”

หวังเจิ้งเอ่ย “นักพรตสายดำที่ทำร้ายผู้คนเช่นนี้ ท่านปู่บอกแล้วว่าไม่สามารถปล่อยให้นางหลอกทำอันตรายผู้คนเช่นนี้ได้ ได้เขียนจดหมายหลายฉบับส่งออกไปให้ผู้คนคอยระวังแล้ว”

เถิงเทียนฮั่นมองไปยังฉินหลิวซี “ท่านอาจารย์สามารถทำนายได้หรือไม่ว่าคนผู้นั้นอยู่ที่ใด”

“ไม่ได้”

เถิงเทียนฮั่น “…”

ไม่จริงกระมัง เจ้าปฏิเสธเร็วเกินไป

ฉินหลิวซีชี้ไปยังเท้าง่อยๆ ของตัวเอง “ใต้เท้า ผลกรรมของห้าโทษสามวิบัติยังไม่หายดีเลย ช่วงนี้ต้องคอยดูแลรักษา ท่านวางใจเถิด ในภายภาคหน้าเมื่อข้าได้เจอนักพรตสายดำเช่นนี้ มาหนึ่งคนข้าก็ตีหนึ่งคน มาสองคนข้าก็ตีทั้งคู่ จะปราบสิ่งชั่วร้ายปกป้องเต๋า ให้พวกเขาไม่มีทางไปอย่างแน่นอน!”

หวังเจิ้งหัวเราะเบาๆ

เถิงเทียนฮั่นเต็มไปด้วยความหดหู่ ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

ฉินหลิวซีเอ่ยกับหวังเจิ้งว่า “ไม่ว่าอย่างไร เคราะห์ร้ายครั้งนี้ของเจ้าก็ผ่านไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องกังวลอีกต่อไปให้ป่วยจิต ในเมื่อมาแล้วก็ไปฟังพระสูตรที่อารามชิงผิงสักสองสามวัน พักฟื้นจิตใจแล้วค่อยกลับไปตั้งใจเตรียมตัวสอบเถิด หากเอาแต่กังวลเรื่องใดเรื่องหนึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อเจ้า ซ้ำยังพลาดโอกาสในอนาคต”

หวังเจิ้งมีสีหน้าจริงจังในทันที คารวะด้วยความเคารพ “หวังเจิ้งขอบคุณสำหรับคำชี้แนะของท่านอาจารย์ขอรับ” เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยอีกว่า “ท่านอาจารย์ ท่านวาดยันต์แคล้วคลาดให้ข้าอีกสักสองแผ่นเถิด”

“เมื่อถึงเวลาก็ไปเอาที่อารามชิงผิงเถิด”

หวังเจิ้งถอนหายใจด้วยความโล่งอก เอ่ยขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เถิงเทียนฮั่นสายตาเป็นประกาย

เมื่อฟ้าเริ่มมืด ทุกคนก็กินอาหารเย็นด้วยกัน แล้วฉินหลิวซีก็ไปพักผ่อน ส่วนหวังเจิ้งกลับพูดคุยดื่มชากับเถิงเทียนฮั่น และหารือเรื่องความรู้ เมื่อเริ่มดึกแล้วจึงได้เลิกพูดคุยแล้วไปพักผ่อน

เช้าวันรุ่งขึ้น

ขบวนของฉินหลิวซีก็มุ่งหน้าไปยังเมืองหลีต่อ จนถึงเวลาเกือบเที่ยงพวกเขาก็ยังไม่ได้เข้าเมือง แต่ตรงไปยังอารามชิงผิง เมื่อมาถึงประตูเขา ผู้ศรัทธาที่มาจุดธูปบูชาก็พากันทยอยลงเขา ซ้ำยังมีคนจำนวนไม่น้อยเดินชมอยู่ในอาราม

หลังจากที่อู๋เหวยได้รับข่าวก็รออยู่ที่หน้าประตูอาราม เมื่อเห็นว่าฉินหลิวซีขากะเผลกถูกพยุงลงจากรถ หลังจากที่ตกใจ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความยินดีในความทุกข์ของผู้อื่น

ดีจริงๆ บรรพบุรุษตัวน้อยที่ปกติทำตัวเย่อหยิ่งกลับเป็นง่อยกลับมาแล้ว

คงเป็นฝีมือของสวรรค์กระมัง

อู๋เหวยอยากรีบเข้าไปในอาราม ตะโกนร้องสุดลำคอเพื่อแสดงถึงความตื่นเต้นดีใจ

“อู๋เหวย เก็บสีหน้ายินดีในความทุกข์ของคนอื่นของเจ้าไปเสีย มิเช่นนั้นข้าเกรงว่าจะอดใจตีเจ้าไม่ได้” ฉินหลิวซีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา

อู๋เหวยสีหน้านิ่งงันทันที เอ่ยด้วยความหวาดกลัวว่า “ท่านตาฝาดไปแล้ว อู๋เหวยจะกล้าได้อย่างไรขอรับ”

ฉินหลิวซีสบถ

อู๋เหวยรีบเดินเข้าไปหาทันที ถามด้วยความห่วงใยว่า “เกิดอะไรขึ้นกับท่าน งานที่หนิงโจวยากมากหรือขอรับ ถึงทำให้ท่านได้รับบาดเจ็บ”

“ห้าโทษสามวิบัติ”

อู๋เหวยแอบเอ่ยในใจ ‘เป็นฝีมือท่านผู้นั้นจริงๆ ด้วย!’

เขาไม่แสดงสีหน้าใดๆ หันหลังแล้วจึงเอ่ย “ให้ข้าแบกท่านเข้าไปหรือไม่”

“ไม่ต้องเอาใจใส่เพียงนั้น” ฉินหลิวซีจับมือของเขา “แค่พยุงก็พอ”

“ได้เลยขอรับ”

เถิงเทียนฮั่นมองดูอยู่ด้านหลัง ยิ่งรู้สึกว่าสำนักนี้ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ ดูจากนักพรตเฒ่าผู้นี้ก็ไม่ค่อยมีท่าทางสงบนิ่ง

กลุ่มคนเดินตรงเข้าไปที่ลานเต๋า นักพรตเฒ่าชื่อหยวนตามมาหลังจากทราบข่าว เมื่อเห็นฉินหลิวซีเดินขากะเผลกก็เลิกคิ้วขึ้น

“เจ้าอยู่ข้างนอกไปทำเรื่องใดมา จึงได้ต้องโทษห้าประการมาด้วย” ชื่อหยวนมองสำรวจนางตั้งแต่หัวจรดเท้า โชคดีที่เจ็บแค่ขา ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

ฉินหลิวซี “ข้ารับศิษย์แล้ว เจาเจา วั่งชวน พวกเจ้ามานี่”

เถิงเจากับเสี่ยววั่งชวนก้าวไปข้างหน้า ยืนอยู่ข้างกายนางซ้ายขวา

“ตาเฒ่าผู้นี้คืออาจารย์ของข้า และเป็นอาจารย์ปู่ของพวกเจ้า รู้จักกันไว้ หลังจากพิธีฝากตัวเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการแล้วค่อยโขกศีรษะคำนับเขา” ฉินหลิวซีเอ่ย

เถิงเจาก้าวไปข้างหน้าก่อน วั่งชวนเห็นการกระทำของเขาจึงก้าวไปข้างหน้าตาม ทั้งสองคนโค้งคำนับนักพรตเฒ่าชื่อหยวนพร้อมกัน

“อาจารย์ปู่”

เพล้ง

ชิงหย่วนซึ่งถือถาดอยู่มองไปยังเด็กทั้งสองคนก่อนจะตกใจจนทำถาดหล่น จากนั้นก็มองไปยังฉินหลิวซี เอ่ย “เดี๋ยวนะ ศิษย์พี่ปู้ฉิว ท่านรับศิษย์ทีเดียวสองคนเลยหรือ”

“มีปัญหาหรือ” ฉินหลิวซีชี้ไปที่เขา เอ่ยกับลูกศิษย์ทั้งสองว่า “นี่คืออาจารย์อาชิงหย่วนของพวกเจ้า ผู้ดูแลงานทั่วไปทั้งหมดในอาราม”

ทั้งสองคนโค้งคำนับให้ชิงหย่วน

อู๋เหวยเบียดตัวเข้าไปข้างหน้า เมื่อเด็กๆ โค้งคำนับแล้วจึงเอ่ย “ข้า ข้าคืออาจารย์อาอู๋เหวยของพวกเจ้า”

ฉินหลิวซีเอามือไขว้หลังแล้วเอ่ย “ทำงานจิปาถะ และมีหน้าที่เป็นผู้ดำเนินพิธีกรรมต่างๆ” นอกจากนี้ยังหลอกลวงผู้แสวงบุญด้วยความจริงใจ

อู๋เหวยจ้องนาง

ต่อหน้าเด็กๆ ก็ไม่ไว้หน้าเขาเลยสักนิด

หลังจากที่เด็กทั้งสองคารวะแล้ว นักพรตเฒ่าชื่อหยวนก็ลูบเคราพลางเอ่ย “เจ้านี่มันจริงๆ เลย ปกติไม่ได้แสดงผลงานโดดเด่น แต่มักทำให้คนตกตะลึงในความสามารถ”

“อย่างไรเสียสอนหนึ่งคนก็ต้องสอน สองคนก็ต้องสอน เป็นการประหยัดเวลา”

นักพรตเฒ่าชื่อหยวนมองดูโหงวเฮ้งของเด็กทั้งสองอย่างละเอียด เถิงเจาโหวงเฮ้งสง่างาม หว่างคิ้วแฝงไว้ด้วยความชอบธรรม สามารถเข้าตาศิษย์ทรยศผู้นี้ได้ ทั้งสองจะต้องถูกลิขิตให้มีวาสนาต่อกันเป็นแน่ ส่วนวั่งชวน…

เมื่อเขาเห็นใบหน้าของวั่งชวนก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ช้าก็ผ่อนคลาย เข้าใจในทันที

ที่แท้ก็ต้องโทษห้าโทษสามวิบัติเพราะเด็กคนนี้ ไม่แปลกใจเลย

“เข้าไปพักผ่อนเถิด” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนมองไปยังเถิงเทียนฮั่นที่อยู่ด้านหลังก่อนจะเดินไปหา สะบัดแขนเสื้อแล้วยกมือขึ้นประสานพลางเอ่ย “สวรรค์ประทานพรไม่มีที่สิ้นสุด ลูกศิษย์ข้าดื้อรั้น ทำให้ใต้เท้าต้องทนกับความเจ็บปวดที่ต้องปล่อยบุตรชายอันเป็นที่รักไป”

เถิงเทียนฮั่นประสานมือตอบกลับ เอ่ย “ท่านอาจารย์ปู้ฉิววิชาล้ำเลิศ หากเจาเอ๋อร์สามารถเรียนรู้ได้สักเล็กน้อยก็นับว่าเป็นวาสนาของเขา”

นักพรตเฒ่าชื่อหยวนยิ้มพลางเอ่ย “คำพูดนี้ของใต้เท้ามาจากใจจริงหรือไม่”

เถิงเทียนฮั่นยิ้มอย่างขมขื่น ไม่ได้ตอบคำถามเขา แต่กลับถามว่า “ท่านอาจารย์บอกว่าข้ากับบุตรของข้าเป็นพ่อลูกที่มีบุญสัมพันธ์น้อย ท่านเจ้าอาวาส เป็นเช่นนั้นหรือ”

“แม้ว่าเขาจะมีนิสัยดื้อรั้น แต่เรื่องโหงวเฮ้ง ไม่เคยดูผิด”

นั่นก็หมายความว่าเป็นเรื่องจริงแล้ว

สีหน้าของเถิงเทียนฮั่นมืดลง มองไปยังเถิงเจาที่อยู่ข้างกายฉินหลิวซีแล้วถอนหายใจ สุดท้ายแล้วก็มีบุญสัมพันธ์น้อย

อีกด้านหนึ่ง ฉินหลิวซีหยุดฝีเท้าก่อนจะมองไปรอบๆ โบกมือให้เหล่าโฉวที่อยู่ไม่ไกล เกือบลืมเขาไปแล้ว

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท