ตอนที่ 321 ท่านว่าข้ายังมีโอกาสหรือไม่
เถิงเทียนฮั่นมีหน้าที่ต้องทำ ไม่สามารถอยู่ที่เมืองหลีนานได้ เมื่อเห็นว่าเขาอยากเห็นบุตรชายฝากตัวเป็นศิษย์ ฉินหลิวซีจึงไม่ได้รอช้า จัดพิธีฝากตัวเป็นศิษย์ในวันต่อมา
การฝากตัวเป็นศิษย์นั้นยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่ได้จัดใหญ่โตมาก จะว่าแบบเรียบง่ายก็ไม่เชิง พิธีการจัดขึ้นที่วิหารหลัก ต่อหน้ารูปหล่อทองคำของเจ้าลัทธิเต๋า
ส่วนฉินหลิวซี แม้ว่าจะขากะเผลกอยู่ แต่ก็สวมชุดพิธีที่มีงานสำคัญทั่วไปได้ ใส่เสื้อคลุมสีม่วงและสวมกวาน[1] ทุกการเคลื่อนไหวราวกับว่ามีแสงสีทองไหลเวียนอยู่รอบตัว
เถิงเทียนฮั่นกับหวังเจิ้งและคนอื่นๆ ต่างก็มองอย่างตาไม่กะพริบ พวกเขาคุ้นชินกับชุดสีเขียวที่เรียบง่ายของนาง แต่ไม่คุ้นกับการสวมชุดที่อลังการเช่นนี้
แต่ในตอนนี้นางสวมชุดพิธี ยิ่งทำให้ดูมีความสง่างามดั่งชนชั้นสูง อยู่ห่างไกลเกินเอื้อม และยิ่งไม่กล้าดูหมิ่น
ไม่ต้องพูดถึงเถิงเทียนฮั่นและคนอื่นๆ แม้แต่บรรดาลูกศิษย์ในอารามอย่างเช่นอู๋เหวยและคนอื่นๆ เมื่อเห็นฉินหลิวซีแต่งกายสง่างามเช่นนี้ ก็รู้สึกว่าบรรพบุรุษตัวน้อยไม่ได้ดูเหมือนคนเสเพล แต่ดูสูงส่งและทำให้คนรู้สึกภูมิใจเป็นพิเศษ
นี่คือเจ้าอาวาสน้อยของอารามชิงผิงของพวกเขา ผู้สืบทอดในภายภาคหน้า
นักพรตเต๋าที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้อดรู้สึกปลื้มปิติไม่ได้
มีการตั้งแท่นจุดธูปบูชาต่อหน้าเจ้าลัทธิเต๋า อู๋เหวยอยู่ข้างๆ เป็นผู้ดำเนินการ กล่าวคำสรรเสริญ ดำเนินพิธีการ
“ลูกศิษย์คุกเข่า กล่าวคำกราบอาจารย์อย่างจริงใจ”
เถิงเจาคุกเข่าลงบนฟูก สวมชุดคลุมสีเขียวตัวน้อย ปล่อยผมยาวไว้ด้านหลัง มือทั้งสองข้างถือคำกล่าวกราบอาจารย์ที่เขียนด้วยตัวเอง อ่านออกเสียงว่า “วันนี้ศิษย์เถิงเจา ขอฝากตัวเป็นศิษย์ในสำนักอย่างจริงใจ…”
ดวงตาของเถิงเทียนฮั่นเปียกชื้นเล็กน้อย เขาไม่เคยได้ยินบุตรชายเอ่ยบทความที่มีความยาวเกินยี่สิบคำเลย แม้แต่เวลาที่เขาเอ่ยกับตัวเองก็ล้วนเป็นคำสั้นๆ ราวกับว่าการที่พูดเพิ่มมาอีกหนึ่งคำจะเป็นภาระสำหรับเขา
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเขาอ่านข้อความยาวๆ แต่กลับเป็นคำกล่าวกราบอาจารย์
อาจารย์ฉีที่มากับเขาก็น้ำตาซึมเช่นกัน แต่กลับปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก
เด็กคนนี้ไม่ใช่คนโง่ เพียงแต่ยังไม่ได้พบผู้ที่มีวาสนาต่อกัน
เมื่อเถิงเจาอ่านคำกล่าวกราบอาจารย์เสร็จสิ้นแล้วก็ยกไว้เหนือศีรษะ จากนั้นฉินหลิวซีจึงรับไป
วั่งชวนที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ เถิงเจาก็ทำเช่นกัน นางอายุยังน้อย ไม่เคยเรียนตัวอักษรใดๆ มาก่อน คำกล่าวกราบอาจารย์นี้ก็เป็นเถิงเจาที่ช่วยนางเขียน สิ่งเดียวที่นางทำได้คือกล่าวด้วยความเคารพอย่างจริงใจว่านางเต็มใจที่จะเป็นลูกศิษย์ นับถือฉินหลิวซีเป็นอาจารย์ ดูแลไปจนแก่เฒ่า และไม่มีวันทรยศต่อสำนัก
ฉินหลิวซีก็รับคำกล่าวกราบอาจารย์ของนางมาเช่นเดียวกัน
นางจุดธูปสามดอก ยกขึ้นกราบไหว้เบื้องบน จากนั้นก็ใช้เหรียญทองแดงสามเหรียญทำนายดวงชะตาภายใต้บรรยากาศที่เรียบง่าย
คำทำนายเป็นมงคลอย่างยิ่ง จากนั้นนางก็ขึ้นไปเอ่ยคำทำนาย อู๋เหวยนำนักพรตเต๋าน้อยสองคนไปจุดธูปและคุกเข่า สะบัดน้ำบริสุทธิ์ออกไป
ระฆังส่งเสียงดังกังวานฟังชัด ทั้งเคร่งขรึมและหนักแน่น ทำให้ผู้คนรู้สึกเข้าไปถึงใจว่าโชคร้ายจะสลายหายไป
แต่ฉินหลิวซีหลับตาลง ก้าวเท้าเดินดารา[2]พลางท่องบทสวดในใจและรายงานต่อเบื้องบน
ฉินหลิวซีรับลูกศิษย์แล้ว
หวังเจิ้งกลั้นลมหายใจขณะที่มองดูฉินหลิวซีก้าวเท้าเดินดารา รู้สึกว่าการก้าวเท้าที่ดูสับสนยุ่งเหยิงและไม่สะดวกของอีกฝ่าย เป็นเพราะขาที่เจ็บทำให้ไม่ลื่นไหล แต่เมื่อเทียบกับการร่ายรำกลับดูสวยงามและศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งน่าทึ่งมาก
หลังจากบอกกล่าวเบื้องบนแล้วก็ทำพิธีบวงสรวง ท่องบทสวดต่อหน้ารูปหล่อเจ้าลัทธิเต๋า จากนั้นก็โขกศีรษะถวายคำสัตย์ ดื่มน้ำในชามร่วมสาบานกับลูกศิษย์ทั้งสอง ซึ่งหมายถึงการถ่ายทอดและสองชีวิตที่เกี่ยวพันกัน
เมื่อดื่มน้ำหมดชาม ชิงหย่วนกำลังจะก้าวไปข้างหน้า แต่เป็นฉินหลิวซีนั่งยองๆ ลงอยู่ตรงหน้าศิษย์ทั้งสอง มือทั้งสองข้างวางไว้บนหน้าผากของศิษย์ทั้งสองคน หลับตาลง ลมหายใจสงบ
ชิงหย่วนสีหน้าเปลี่ยนไป มองไปยังนักพรตเฒ่าชื่อหยวน “ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่…”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนก็ประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็ปล่อยวาง ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ปล่อยเขาไปเถิด”
เมื่อเถิงเทียนฮั่นเห็นสีหน้าตกตะลึงของทั้งสองก็ใจเต้น ถามชิงหย่วนเสียงเบาว่า “ท่านนักพรต นี่หมายความว่าอย่างไรหรือ”
ชิงหย่วนหันมามอง ดวงตาแฝงไว้ด้วยความอิจฉาและชื่นชม เอ่ย “ศิษย์หลานของข้าช่างมีวาสนาจริงๆ”
เถิงเทียนฮั่นเลิกคิ้ว รอคำพูดต่อไปของเขาอย่างเงียบๆ
ชิงหย่วนเอ่ยเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่กำลังมอบพลังศรัทธาแก่พวกเขา นั่นคือพลังแห่งบุญ เช่นเดียวกับการประทับจิตของพุทธศาสนา ผู้ที่ได้รับการประทับจิตจะได้รับพรจากอาจารย์ ชำระล้างกรรมของตน และพุทธะจะทรงคุ้มครองด้วยความเมตตา บุญที่ศิษย์พี่มอบให้เป็นพรแก่พวกเขานี้ก็เช่นกัน เมื่อมีพลังศรัทธานี้ ในภายภาคหน้าเมื่อพวกเขาฝึกบำเพ็ญก็จะยิ่งได้ผลเป็นสองเท่าโดยใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว สามารถรู้แจ้งและปฏิบัติได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น การมีพลังบุญเท่ากับมียันต์คุ้มภัย สิ่งชั่วร้ายไม่กล้าเข้าใกล้ อายุขัยยืนยาว”
เถิงเทียนฮั่นคิดไม่ถึงว่าฉินหลิวซีจะใจดีเช่นนี้ เอ่ย “เช่นนั้นท่านอาจารย์จะเป็นอะไรหรือไม่”
ชิงหย่วนยิ้มแล้วเอ่ยว่า “การบำเพ็ญบุญต้องอาศัยการสะสมทำความดีทีละเล็กทีละน้อย สำหรับชาวพุทธและลัทธิเต๋าอย่างพวกเราล้วนเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง แต่ก็ใช่ว่าไม่มีวันหมดสิ้น ให้ตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย ก็จะเหลือแต่ความว่างเปล่า เฉพาะผู้ที่ให้ความสำคัญเท่านั้นจึงจะยอมสละบุญนี้ให้ได้”
เขามองไปยังฉินหลิวซีแล้วจึงเอ่ย “ท่านถามว่าจะเป็นอะไรหรือไม่ ท่านดูสีหน้าศิษย์พี่ก็จะรู้เอง”
เถิงเทียนฮั่นรีบหันไปมอง เมื่อเห็นว่าสีหน้าของฉินหลิวซีเริ่มซีดเล็กน้อย ก็อดรู้สึกตกใจไม่ได้
เขาคิดว่าการรับลูกศิษย์ของฉินหลิวซีเป็นเพียงความคิดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน แต่คิดไม่ถึงว่าจะให้ความสำคัญถึงเพียงนี้ ถึงขนาดมอบพลังแห่งบุญ ส่วนตัวเองผู้เป็นบิดาเคยให้อะไรบุตรชายบ้าง
เถิงเทียนฮั่นใบหน้าร้อนเล็กน้อย
หวังเจิ้งกลับรู้สึกอิจฉาริษยา แทรกตัวเข้าไปอยู่ตรงหน้านักพรตเฒ่าชื่อหยวน แสดงท่าทางประจบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน “ท่านเจ้าอาวาส เรื่องการรับศิษย์ ท่านว่าข้ายังมีโอกาสหรือไม่”
ชิงหย่วน “…”
เถิงเทียนฮั่น “!”
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเองก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งเช่นกัน ยิ้มพลางเอ่ย “อาตมาไม่รับศิษย์แล้ว คุณชายก็มีเส้นทางที่กว้างขวางกว่าให้เลือกมากกว่าที่จะอยู่ในเสวียนเหมิน”
หวังเจิ้งได้ยินดังนั้นก็อดรู้สึกผิดหวังไม่ได้ ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
“เป็นเช่นนั้น”
หวังเจิ้งเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความประหลาดใจ
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนลูบเคราพลางเอ่ย “อารามชิงผิงของเราไม่เคยหยุดเปิดรับผู้ศรัทธา ตราบใดที่คุณชายเต็มใจอย่างจริงใจ ก็สามารถเป็นผู้ศรัทธาของอารามชิงผิงได้ ในทางโลก ผู้ที่เป็นฆารวาสของอารามเต๋าข้าก็สามารถฝึกฝนที่เรือนได้ ย่อมได้รับการคุ้มครองจากเจ้าลัทธิเต๋าเช่นกัน”
“ข้ายินดีขอรับ” หวังเจิ้งรีบเอ่ยทันที
เขาตัดสินใจแล้วว่าจะอัญเชิญเจ้าลัทธิเต๋าจากอารามชิงผิงกลับไปบูชา ฝึกฝนเต๋า ฝึกกายและจิตใจของเขา
นักพรตเฒ่าชื่อหยวนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “สวรรค์ประทานพรไม่มีที่สิ้นสุด เจ้าลัทธิเต๋าจะคุ้มครองเจ้า”
ทางด้านฉินหลิวซีได้เสร็จสิ้นการถ่ายทอดพลังศรัทธาแล้ว ใบหน้าของนางซีดลงเล็กน้อย แต่จิตวิญญาณไม่ได้อ่อนแอ ยิ้มพลางรวบผมให้เถิงเจาแล้วใช้ผ้ากวานพันไว้ กล่าวว่า “นับแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่สายตรงรุ่นที่ห้าของอารามชิงผิง อาจารย์ขอมอบนามเต๋าให้เจ้าว่าเสวียนอี”
เถิงเจากราบคำนับ “เสวียนอีคำนับอาจารย์”
จากนั้นฉินหลิวซีก็รวบผมให้วั่งชวน ปรับเปลี่ยนตัวตนของนาง มอบนามเต๋าให้นางว่าเสวียนซิน
“เมื่อเข้าสู่สำนักข้าแล้ว ต้องให้ความเคารพอาจารย์และคำสอน เป็นมิตรกับสหายร่วมสำนัก เคารพกฏของสำนัก ผู้ที่ฝ่าฝืนกฎจะถูกลงโทษ อย่างเบาจะถูกลงโทษตักเตือน อย่างหนักคือถูกตัดสิทธิ์ในการฝึกฝนและไล่ออกจากสำนัก การเดินทางในโลกของฆารวาสควรยึดหลักรักษาศีลธรรมและรักษาจิตใจ ปราบสิ่งชั่วร้ายปกป้องเต๋า อย่าคิดว่าเป็นความดีเพียงเล็กน้อยแล้วไม่ทำ อย่าคิดว่าเป็นความชั่วเพียงเล็กน้อยแล้วไปทำ” ฉินหลิวซีมองทั้งสองด้วยสายตาสงบนิ่ง เอ่ยเตือนว่า “ใครที่ทรยศต่อสำนักของข้า แม้ว่าจะห่างไกลแค่ไหนก็ต้องถูกลงโทษ”
เถิงเจาและวั่งชวนคำนับลงกับพื้น “ศิษย์จะปฏิบัติตามคำสอนของอาจารย์”
“ไปคำนับท่านอาจารย์ปู่กับบรรดาอาจารย์อาของพวกเจ้าเถิด” ฉินหลิวซีให้ทั้งสองไปคำนับ
นางลุกขึ้นจากพื้น ร่างกายโซเซเล็กน้อย แต่ก็ยืนได้มั่นคงอย่างรวดเร็ว เงยหน้ามองเจ้าลัทธิเต๋าแล้วถอนหายใจยาว
[1] กวาน เครื่องประดับชั้นสูงของจีนในสมัยโบราณ โดยเอาไว้ใช้ครอบศีรษะ
[2]เดินดารา เป็นพิธีการลากเท้า/เดิน ตามตำแหน่งดาวคันไถ