ตอนที่ 327 พี่หญิงใหญ่เป็นคนพูดคำไหนคำนั้น
ฉินหลิวซีพาศิษย์ทั้งสองคนที่ล้างหน้าล้างตาสะอาดสะอ้านแล้วไปยังเรือนนางฉินผู้เฒ่า ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้รับจดหมายจากทางตงเป่ยหรือไม่ จึงทำให้นางฉินผู้เฒ่าดีใจเช่นนี้ ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าประตูไปก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมา
เสียงหัวเราะแฝงไว้ด้วยน้ำเสียงทุ้มใหญ่ ไม่ค่อยคุ้นเคย
เมื่อจวี๋เอ๋อร์เห็นฉินหลิวซีที่ลาน จึงยกผ้าม่านขึ้นแล้วกล่าวรายงาน “คุณหนูใหญ่มาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าแล้วเจ้าค่ะ”
ความเคลื่อนไหวในห้องก็ชะงักไปในทันที
ฉินหลิวซีเอ่ยกับศิษย์ทั้งสองว่า “พวกเราแค่มาคารวะแล้วก็ไป เดี๋ยวจะไปทำให้ใครเขาขุ่นเคืองเข้า”
ฉีหวงแอบยิ้ม เดิมทีท่านก็ไม่ได้อยากอยู่นาน
นางพยุงฉินหลิวซีเข้าไปข้างใน ในห้องมีคนจำนวนไม่น้อยนั่งอยู่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ตั้งแต่นางฉินผู้เฒ่าไปจนถึงบรรดาพี่หญิงน้องหญิงรุ่นเดียวกันกับฉินหลิวซีก็ล้วนอยู่ที่นี่
ทันที่ฉินหลิวซีปรากฏตัว ก็มีเสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้น นั่นคือสะใภ้หวัง
“เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เหตุใดจึงได้บาดเจ็บกลับมา” สะใภ้หวังเดินมาหา สายตาเผยให้เห็นถึงความกังวล
ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อยพลางอธิบายว่า “ข้าเท้าแพลง”
“เหตุใดไม่ระวังเช่นนี้ ได้ให้หมอดูแล้วหรือยัง หมอว่าอย่างไรบ้าง บาดเจ็บถึงเอ็นกระดูกต้องใช้เวลาหลายวัน ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ” สะใภ้หวังเอ่ยพลางขมวดคิ้วมุ่น
“ไม่เป็นไร รักษาสักหน่อยก็หายแล้วเจ้าค่ะ” ฉินหลิวซีเอ่ย้ปลอบใจ
“นั่นสิ พี่สะใภ้ใหญ่ลืมไปแล้วหรือ นังหนูซีเองก็เป็นหมอ” สะใภ้เซี่ยเอ่ยพลางหัวเราะ
ฉินหลิวซีไม่ได้ตอบกลับ เพียงแต่ก้าวไปข้างหน้าโดยมีฉีหวงช่วยพยุง ยกมือขึ้นโค้งคารวะนางฉินผู้เฒ่า “คารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”
แม้แต่ท่านย่าก็ไม่เรียกแล้ว
นางฉินผู้เฒ่ายกมือขึ้นพลางเอ่ย “ขาของเจ้าไม่สะดวก ไม่ต้องมากพิธี นั่งลงเถิด”
“นังหนูซี เจ้าหนูน้อยสองคนนี้คือใคร” สะใภ้เซี่ยมองไปยังเถิงเจาและวั่งชวนที่แต่งกายเป็นนักพรตน้อยในชุดคลุมสีเขียว
วั่งชวนรูปร่างผอมบาง ใบหน้าเล็กสะอาดสะอ้าน ดวงตากลมโต แต่ท่าทางกลับเรียกได้ว่าละเอียดอ่อนงดงามราวกับหยก
แต่เด็กชายผู้นั้น แม้ว่าจะแต่งตัวเรียบง่าย แต่แฝงไว้ด้วยความสูงส่ง เพียงแต่สีหน้าค่อนข้างเย็นชา ราวกับว่ามีใครไม่จ่ายหนี้เขา ไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย ไม่เป็นที่พึงใจ
“นี่ไม่ใช่เจ้าหนูน้อย แต่เป็นศิษย์สองคนที่ข้าพึ่งรับมา จากนี้ไปจะเล่าเรียนวิชาเต๋ากับข้า เนื่องจากว่าต้องติดตามข้า คิดว่ามีโอกาสมากมายที่ต้องได้พบเจอกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงพามาพบท่านย่า ท่านแม่และคนอื่นๆ เจ้าค่ะ” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ “เสวียนอี เสวียนซิน พวกเจ้าคารวะฮูหยินผู้เฒ่าสักหน่อยเถิด”
เถิงเจาและวั่งชวนก้าวไปข้างหน้า ยกมือขึ้นคารวะ “คารวะฮูหยินผู้เฒ่าขอรับ/เจ้าค่ะ”
ทุกคนต่างพากันตกตะลึงเล็กน้อย
ไม่ใช่ญาติหรือสหาย ไม่ใช่บ่าวรับใช้ แต่เป็นศิษย์ที่รับมา
พวกนางได้ยินจากสะใภ้หวังว่าฉินหลิวซีไปรักษาคนที่หนิงโจว แต่ไม่เคยคิดเลยว่าเมื่อนางไปครั้งนี้จะพาศิษย์กลับมาด้วยสองคน
ฉินหลิวซีอายุเพียงเท่าไหร่เอง พึ่งจะปักปิ่นก็รับศิษย์แล้วหรือ
สะใภ้เซี่ยตอบสนองก่อนเป็นคนแรก เอ่ยว่า “นังหนูซี เจ้าพึ่งจะปักปิ่นก็รับลูกศิษย์แล้วหรือ”
อย่าได้สั่งสอนศิษย์อย่างผิดๆ เชียว
ฉินหมิงเย่ว์และคนอื่นๆ ก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก มองไปยังฉินหลิวซี ศิษย์?
“อายุเท่าไหร่แล้วเกี่ยวอะไรกับการรับศิษย์ สิ่งที่ข้าได้เรียนรู้มากเกินพอที่จะสอนพวกเขา” ฉินหลิวซีลูบศีรษะของวั่งชวน
สะใภ้เซี่ยสำลัก ในใจคิดว่า ‘เจ้าพูดจาโอ้อวดอย่างไม่รู้จักอายจริงๆ คุยโวโดยที่หน้าไม่แดงเลยแม้แต่นิด’
“พี่หญิงใหญ่ เช่นนั้นศิษย์ของท่านก็จะอาศัยอยู่ที่บ้านพวกเราด้วยหรือ” ฉินหมิงเย่ว์ถามเบาๆ “ค่าใช้จ่ายจำเป็นรายเดือน ก็ต้องออกให้พวกเขาด้วยกระมัง”
นี่เป็นการเตือนนางฉินผู้เฒ่าและคนอื่นๆ ว่าเพิ่มมาสองคนก็มีเพิ่มมาสองปาก เงินที่มีในจวนเดิมทีก็ขัดสนอยู่แล้ว ฉินหลิวซีเอาแต่ใจเกินไปหรือไม่
ฉินหลิวซีหันไปมอง ยิ้มด้วยใบหน้านิ่ง
ฉินหมิงเย่ว์ใจเต้น ก้มหน้าลงอย่างไม่กล้าสบตากับนาง
หญิงชราที่ยืนอยู่เหนือสุดเห็นดังนั้นก็ดวงตาสั่นไหว
“ใช่แล้ว เพิ่มมาอีกสองคนก็เท่ากับเพิ่มมาอีกสองปาก เหตุใดนังหนูซีไม่บอกคนในเรือนล่วงหน้าสักหน่อย” เมื่อสะใภ้เซี่ยก็ได้รับการเตือน ก็ตอบรับขึ้นมาโดยไม่ต้องคิด
นางฉินผู้เฒ่า ‘แย่แล้ว’
สะใภ้หวัง ‘โง่เง่า’
หากไม่นึกถึงสถานะของตัวเอง พวกเขาทั้งสองแทบจะอดกลอกตาให้กับคนที่ไร้สมองผู้นี้ไม่ได้
โง่หรืออย่างไร ไม่ต้องพูดถึงนิสัยของฉินหลิวซี นางกระทำการใดมีหรือจะต้องปรึกษาเจ้า
แม้กระทั่งตอนนี้ที่พาศิษย์ทั้งสองเข้ามา ก็เพียงแค่แจ้งให้ทราบ แต่ไม่ได้ถามความเห็นพวกนาง
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าบ้านเก่านี้เป็นของใคร
นางฉินผู้เฒ่ากำลังจะเอ่ยปาก ฉินหลิวซีก็หัวเราะ
“ท่านอาสะใภ้รอง เรื่องของข้า เหตุใดจึงเป็นเรื่องที่ต้องปรึกษากับคนในบ้านเสียแล้ว จะว่าไปแล้ว นี่ไม่ใช่บ้านของข้าหรือ” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบว่า “ท่านอาสะใภ้รองลืมแล้วหรือว่าโฉนดที่ดินบ้านนี้อยู่ในมือข้า เป็นของข้า”
สะใภ้เซี่ยหน้าแดงด้วยความโกรธ
นางลืมเรื่องนี้ไปจริงๆ จึงรีบหันไปมองนางฉินผู้เฒ่า ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
“บ้านเป็นของข้า ข้าพาศิษย์ทั้งสองคนกลับมาอาศัยอยู่มีสิ่งใดไม่เหมาะสมหรือ ส่วนเรื่องที่มีคนเพิ่มมาสองคนก็เท่ากับเพิ่มมาอีกสองปาก ท่านอาสะใภ้รองไม่จำเป็นต้องกังวล ที่เรือนของข้าสามารถขยายได้ สร้างห้องครัวขนาดเล็ก จุดไฟทำกับข้าวเอง ออกค่าใช้จ่ายเอง ข้าจะรับผิดชอบเอง” ฉินหลิวซีกำชับฉีหวง เอ่ยต่อไปว่า “ให้พ่อบ้านหลี่เชื่อมต่อเรือนรับรองแขกเล็กที่อยู่ข้างเรือนปีกกับเรือนของข้า สร้างห้องครัวขนาดเล็ก เริ่มก่อสร้างพรุ่งนี้เลย”
“เจ้าค่ะ”
ฉินหลิวซีพูดแล้วก็ทำเลย ไม่ได้มองสีหน้าของสะใภ้เซี่ยกับนางฉินผู้เฒ่าเลยแม้แต่น้อย
แข็งกร้าว เย่อหยิ่ง คำไหนคำนั้น
ท่าทางเด็ดขาด ไม่ไว้หน้าผู้อาวุโสแม้แต่นิด
หญิงชราแปลกหน้าคิดเช่นนั้น
สีหน้าของนางฉินผู้เฒ่าดูแย่เล็กน้อย สะใภ้เซี่ยถึงกับพูดไม่ออก นังหนูฉินหลิวซีผู้นี้ค่อนข้างอารมณ์ร้อน บอกว่าจะสร้างก็เริ่มสร้างทันที ไม่ได้เห็นผู้อาวุโสอยู่ในสายตาเลย
“ท่านอาสะใภ้รองยังกังวลว่า พวกข้าทั้งสามคนจะใช้เงินเยอะอยู่หรือไม่” ฉินหลิวซีเอ่ยอีกว่า “หรือว่าจะให้ข้าย้ายออกไปอยู่ข้างนอก”
สะใภ้หวังสีหน้าเปลี่ยนไป คัดค้านทันที “ไม่ได้”
ฉินหลิวซีหันไปมอง อย่างไรเสียนางกับคนในครอบครัวนี้ก็ไม่ลงรอยกันอยู่แล้ว แม้ว่าจะอยู่ด้วยกัน แต่ก็เหมือนแบ่งเป็นสองบ้าน ตอนนี้นางมีศิษย์ข้างกายเพิ่มมาอีกสองคน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่อยู่อาศัย ปกตินางก็มักจะรู้สึกว่าค่อนข้างไม่สะดวกที่จะทำสิ่งต่างๆ
หากย้ายออกไปนางก็จะเป็นเช่นเดียวกับเมื่อก่อน ไปมาได้อย่างอิสระ สบายจะตายไป
“เจ้าเป็นสตรี จะแยกออกไปอยู่คนเดียวได้อย่างไร ไม่ได้” สะใภ้หวังเอ่ยต่อ “เจ้าจะรับลูกศิษย์กี่คนมาอาศัยก็ได้ พวกเราก็ไม่ได้ขาดเสบียงสำหรับสองปาก เจ้าจะขยายเรือนก็ได้ จะสร้างห้องครัวขนาดเล็กก็ตามแต่เจ้า เรื่องค่าใช้จ่ายข้าจะออกให้ แต่ไม่อนุญาตให้ย้ายออกไป สิบปีที่ผ่านมาเจ้าอยู่ที่นี่คนเดียว พวกเราก็รู้สึกผิดต่อเจ้าแล้ว ตอนนี้ยังบังคับให้เจ้าย้ายออกไปอยู่คนเดียวอีก ข้าผู้เป็นแม่ยังมีความเป็นคนอยู่หรือไม่ ซีเอ๋อร์ หากเจ้าทำเช่นนี้ แม่จะโกรธเจ้าแล้ว”
สะใภ้หวังแสร้งทำเป็นโกรธ แต่ก็เป็นการเอ่ยให้นางฉินผู้เฒ่ากับคนอื่นๆ ได้ฟังด้วย
การที่พวกเขาตระกูลฉินละเลยการเลี้ยงดูฉินหลิวซีก็กลายเป็นขี้ปากชาวบ้านแล้ว เมื่อกลับมาบ้านเก่าแล้วยังบีบบังคับให้เด็กสาวตัวเล็กๆ ออกไปอยู่คนเดียว เช่นนั้นคนข้างนอกจะคิดอย่างไร จะคิดว่าพวกเขาไม่ยอมรับฉินหลิวซีผู้นี้ในฐานะคุณหนูใหญ่หรือไม่ ไร้ความเมตตาเช่นนี้ จะโดนผู้อื่นนินทาเอาได้
สีหน้าของนางฉินผู้เฒ่าเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า เอ่ย “มีสตรีที่ไหนย้ายออกไปอยู่ลำพัง ข้ายังไม่ตาย รอข้าตายแล้ว พวกเจ้าค่อยแยกบ้าน อยากย้ายก็ย้ายไป”
น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความขุ่นเคือง
สะใภ้หวังจ้องสะใภ้เซี่ย เป็นความผิดของเจ้า คนไร้ประโยชน์ ไม่รู้จักพูดก็ไม่ต้องพูด
สะใภ้เซี่ย “?”
ข้าว่าอะไร เอ่ยเพียงประโยคเดียวเอง ก็นางเอาแต่เรื่องมากไม่หยุดหย่อน ข้าต่างหากที่เป็นผู้ถูกกระทำ!