ตอนที่ 333 สมแล้วที่เป็นข้า
บุรุษผู้นั้นที่เฉินผีเอ่ยถึงไม่ได้มา ฉินหลิวซีเองก็ไม่ได้สนใจ อย่างไรเสียนางก็ไม่ต้องกังวลว่ากิจการนี้จะไม่มีลูกค้า ในเมื่อเขาไม่มา ก็ใช่ว่านางจะไม่มีอะไรทำ จึงอยู่ในห้องมุ่งความสนใจไปที่การแกะสลักแผ่นป้ายร้าน
เป็นเรื่องจริงที่ว่าในร้านโลงศพมีไม้เหลืออยู่มากมาย เป็นไม้ที่ตาเฒ่ากวนสะสมไว้ก่อนหน้านี้ มีสองแผ่นเป็นไม้ไป่อย่างดี แล้วยังมีไม้ถงอีกหนึ่งแผ่น วัสดุไม้อื่นๆ ที่เหลือก็มี แต่ไม่มากแล้ว โดยเฉพาะไม้ที่มีราคาถูก
ดูเหมือนว่าตาเฒ่ากวนจะรู้ว่าตัวเองเหลือเวลาไม่มากแล้ว จึงไม่ได้หาวัสดุไม้มาเพิ่ม
เดิมทีฉินหลิวซีอยากใช้ไม้ท้อทำแผ่นป้าย แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรนางจึงได้ล้มเลิกความคิดนี้แล้วใช้ไม้อวี๋แทน
ไม้ท้อสามารถปัดเป่าวิญญาณร้ายได้ แต่เมื่อร้านนี้เปิดแล้ว ถ้าคนที่มาขอความช่วยเหลือเป็นวิญญาณผู้ที่ล่วงลับไปแล้วล่ะ
กระบวนการทำแผ่นป้ายนั้นไม่ง่าย แม้ว่าจะเลือกวัสดุได้แล้วแต่ยังต้องมีการเขียน การแกะสลัก การทาสี และการลงลายทอง เป็นการทดสอบความสามารถโดยรวมเป็นอย่างมาก แม้ว่าฉินหลิวซีจะบอกว่าต้องการทำด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่ทำงานฝีมือที่ซับซ้อนยุ่งยาก กลับพยายามทำให้มันง่ายมากที่สุด อย่างน้อยก็จะไม่มีการแกะสลักลายดอกไม้หรืออะไรทำนองนั้น
สิ่งนั้นยุ่งยากและไร้ประโยชน์
อ้อ ยกเว้นผู้ที่ต้องการเรียกร้อยยิ้มจากสาวงาม!
ฉินหลิวซีทำอย่างเรียบง่าย เพียงแต่ตอนที่แกะสลักตัวอักษร นางได้ละทิ้งอิทธิพลจากโลกภายนอก เป็นหนึ่งเดียวกับชิ้นงานที่ทำอยู่ แกะสลักตัวอักษร ‘เฟยฉางเต๋า’ ทั้งสามตัวอย่างปราณีต
ใช้อักษรจ้วนเป็นรูปแบบตัวอักษร มีลายเส้นโค้งมน เส้นเรียวยาวสม่ำเสมอ สง่างามและไม่สูญเสียความแข็งแรง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือทุกขีดถูกแกะสลักออกมาโดยแฝงไว้ด้วยความหมายของลัทธิเต๋า มีแสงแวววาวสาดส่อง
หลังจากที่เขียนชื่อร้านเสร็จแล้ว นางก็แกะสลักสัญลักษณ์บางอย่างในพื้นที่ส่วนที่เหลือบนแผ่นป้าย ในขณะเดียวกันนางก็ลืมไปว่าตัวเองไม่ชอบความซับซ้อนในการแกะสลักลายดอกไม้ แต่กลับแกะสลักอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ลืมตัวตนของตัวเองไปจนหมด
สัญลักษณ์ถูกแกะสลักลงบนแผ่นป้ายทีละอัน โลกของฉินหลิวซีเริ่มเข้าสู่ความว่างเปล่ามากขึ้นเรื่อยๆ แท่นจิตวิญญาณไร้ความยึดติด ดูเหมือนว่ามีแสงสีทองไหลเวียนอยู่รอบตัว
เถิงเจาที่อยู่นอกห้องราวกับว่ารู้สึกได้ เขาลุกขึ้นแล้วเดินมาที่หน้าประตู มองดูคนที่คุกเข่าแกะสลักอยู่บนพื้นถูกแสงสีทองจางๆ ห่อหุ้มไว้ เขานั่งขัดสมาธิตามสัญชาตญาณทันที หลับตาลงเล็กน้อย นิ้วโป้งกับนิ้วกลางของมือทั้งสองข้างจรดเข้าหากัน ในหัวนึกถึงคัมภีร์เต๋าเบื้องต้นที่อาจารย์ชื่อหยวนเคยเอ่ยไว้
หลังจากท่องพระสูตรในใจ เหมือนกับว่าพลังชี่ที่มองไม่เห็นเคลื่อนไปตามแขนขา เส้นลมปราณถูกเติมเต็ม และในที่สุดก็รวมตัวกันเป็นกลุ่มพลังชี่ที่มั่นคงเข้าไปสู่จุดตันเถียน พลังเติมเปี่ยมไม่แผ่วเบา
ฉินหลิวซีหยุดมีดแกะสลักครู่หนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองก็เห็นว่าเถิงเจากำลังนั่งฝึกบำเพ็ญอยู่ที่หน้าประตู นางยกริมฝีปากขึ้นก่อนจะหยิบมีดแกะสลักอีกครั้ง จากนั้นก็มีบทพระสูตรพ่นออกมาจากปากของนางอย่างไหลลื่น
“พลังที่เหนือกว่าทั้งสามสิ่ง จิตวิญญาณและแก่นแท้ของพลังชี่ อยู่ในภวังค์ มืดมน…”
นี่คือพระสูตรหัวใจจักรพรรดิหยกสูงสุด เป็นวิธีการฝึกบำเพ็ญคุณงามความดีแห่งชีวิต หากฝึกฝนได้อย่างสม่ำเสมอก็จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจ จะค่อยๆ เข้าใจการตีความที่แท้จริง และตระหนักถึงความจริง
พระสูตรที่ฉินหลิวซีท่อง ราวกับว่าเป็นความคิดเต๋าที่กระทบกับจิตใจของเถิงเจา ดื่มด่ำกับพระสูตรอย่างเงียบๆ โดยไม่รู้ตัว รู้สึกว่าแท่นจิตวิญญาณชัดเจนยิ่งขึ้น
อาจารย์และศิษย์ คนหนึ่งกำลังแกะสลัก อีกคนหนึ่งกำลังฝึกบำเพ็ญ แต่กลับเข้ากันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เฉินผีจูงมือวั่งชวนไปที่ด้านหลังร้าน เมื่อเห็นภาพนี้ก็ตกตะลึงเล็กน้อย
“ศิษย์พี่…อือ” วั่งชวนกำลังจะร้องเรียก ก็ถูกเฉินผีรีบปิดปากแล้วกึ่งลากกึ่งอุ้มนางไปที่ด้านหน้าร้าน
“อย่ารบกวนพวกเขา” เฉินผีวางนางไว้บนเก้าอี้หลังโต๊ะเก็บเงิน
วั่งชวนน้อยใจเล็กน้อย “ทำไมไม่ให้ข้าอยู่กับอาจารย์และศิษย์พี่เจ้าคะ”
เฉินผีเอ่ยว่า “อาจารย์ของเจ้ากำลังทำแผ่นป้าย ส่วนศิษย์พี่เจ้ากำลังฝึกบำเพ็ญ ข้าคิดว่าเขาได้เข้าสู่สมาธิแล้ว หากเจ้าเข้าไปกะทันหันจะขัดจังหวะเขา หากเป็นช่วงเวลาที่รู้แจ้งถึงความหมายของเต๋าได้พอดี แต่กลับถูกเจ้าขัดจังหวะ เช่นนั้นก็จะหายไป คว้าไว้ไม่ได้แล้ว”
วั่งชวนอายุเพียงห้าขวบ ไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร
เฉินผีมองดูท่าทางไร้เดียงสาของนาง สงสัยว่าเหตุใดฉินหลิวซีจึงได้รับนางไว้ ดูแล้วนางก็ไม่ได้ฉลาดเป็นพิเศษ ไม่เหมือนเจ้าเด็กหัวดื้อที่เห็นความสกปรกแล้วจะตายผู้นั้น
ใช่แล้ว ในสายตาของเฉินผี พฤติกรรมของเถิงเจานั้นแปลกประหลาด
“สรุปก็คือตอนที่ศิษย์พี่ของเจ้ากำลังฝึกบำเพ็ญ อย่าได้ขัดจังหวะตามอำเภอใจ การฝึกบำเพ็ญนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การที่จะรู้แจ้งความหมายของเต๋ายิ่งยากกว่า รู้หรือไม่” เมื่อเฉินผีเห็นนางเบิกตาโตจึงหยิกแก้มนางเบาๆ
วั่งชวนตอบรับเพียง “อ้อ” อย่างเชื่อฟัง รบกวนไม่ได้
เมื่อเฉินผีเห็นนางท่าทางเช่นนี้ก็ใจอ่อน เขาหยิบขนมถั่วตัดที่ตัวเองวางไว้บนตู้เมื่อก่อนหน้านี้ออกมาแล้วยื่นให้นางหนึ่งชิ้น
“ขอบคุณพี่ชายเจ้าค่ะ” วั่งชวนยิ้มหวาน ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เมื่อเฉินผีเห็นดังนั้นก็ยิ้มเช่นกัน
ที่ด้านหลังร้าน เมื่อฉินหลิวซีแกะสลักสัญลักษณ์ตัวสุดท้ายเสร็จก็วางมีดแกะสลักลง ถูข้อมือที่เมื่อยล้าแล้วมองดูแผ่นป้ายที่แฝงไว้ด้วยความหมายลัทธิเต๋า ยกริมฝีปากขึ้นยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “สมแล้วที่เป็นข้า”
นางเงยหน้าขึ้น เห็นว่าเถิงเจาเคลื่อนย้ายจุลจักรวาลเสร็จแล้ว กำลังจ้องมาที่นางด้วยดวงตาสดใส จึงกวักมือเรียก “มานี่สิ”
เถิงเจาเดินเข้าไป ก้มลงมองเพ่งความสนใจไปที่แผ่นป้าย
“เจ้าเข้มงวดในการทำสิ่งต่างๆ และชอบความสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อย เรื่องทาสีอาจารย์จะมอบให้เป็นหน้าที่ของเจ้า ชื่อร้านใช้สีชาดเป็นสีพื้นหลัง สัญลักษณ์เหล่านี้ใช้สีทอง” ฉินหลิวซีชี้ไปยังสีที่วางอยู่ข้างๆ เอ่ยว่า “ข้าเชื่อว่าเจ้าทำสิ่งนี้ได้ดี นอกจากนี้ตอนที่ทาสี ให้ท่องสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดจนขึ้นใจ และจะดีมากหากเข้าใจถึงความหมายเต๋าของมันได้”
เถิงเจา “…”
ทาสี หากมันหกใส่มือหรือร่างกาย เช่นนั้น…
เนื่องจากพึ่งจะเคลื่อนย้ายจุลจักรวาลเสร็จ ใบหน้าเล็กๆ แดงระเรื่อเล็กน้อย แต่เมื่อคิดถึงภาพนั้นสีหน้าก็เริ่มซีดลง
“เสวียนอี ในภายภาคหน้าหากต้องฝึกปฏิบัติจริง อย่างเช่นการรักษาโรค จับผีไล่วิญญาณชั่วร้าย เจ้าต้องใช้เลือดไก่ผู้หรือเลือดหมาดำและสิ่งสกปรกอื่นๆ แต่กลับเจ้าไม่สามารถเอาชนะมันได้ แล้วจะทำอย่างไร คนก็มีคนชั่ว ผีก็มีผีร้าย ผีร้ายจะไม่ปล่อยเจ้าไปเพียงเพราะเจ้ากลัวความสกปรก เมื่อเจ้าขาดสติ วิชาเต๋าของเจ้าจะถูกทำลาย เมื่อวิชาเต๋าของเจ้าถูกทำลายเจ้าก็จะตาย”
ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างเคร่งเครียด “แม้ว่าพวกเราจะเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญเต๋า แต่ก็เป็นเพียงคนธรรมดาในโลกแห่งนี้ เป็นร่างกายของคนธรรมดา ไม่มีทางอยู่ยงคงกระพัน เป็นเรื่องธรรมดาที่จะอุทิศตนให้กับการปราบสิ่งชั่วร้ายปกป้องเต๋า แต่หากต้องตายเพราะกลัวความสกปรกจนไม่สามารถต่อสู้กับวิญญาณร้ายได้ เช่นนั้นตายไปก็ไร้ประโยชน์ กระทั่งลำบากผู้บริสุทธิ์ไปด้วย เจ้าเข้าใจหรือไม่”
เถิงเจาใบหน้าตึงเครียด พยักหน้าแล้วจึงเอ่ย “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”
“ไปเถิด ค่อยๆ เอาชนะมันทีละนิด สกปรกแล้วก็สามารถล้างได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่หากตายก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว เจ้าไม่ใช่ปีศาจจิ้งจอกเก้าหางที่ตัดไปหนึ่งหางแล้วจะยังเหลืออีกแปดชีวิต ดังนั้นชีวิตเล็กๆ นี้ต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อความอยู่รอด” ฉินหลิวซีตบไหล่เขาเบาๆ
ปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง “?”
ใครกำลังสาปแช่งข้า!
ฉินหลิวซีเห็นว่าเถิงเจาหยิบสีทองขึ้นมาก่อน นางหยิบมีดและพู่กันขึ้นมาอีกครั้ง นางยังต้องแกะสลักบทสวดพระสูตรในห้องที่ตกแต่งเรียบร้อยแล้ว เพื่อใช้ในการอธิบายหลักธรรมเต๋า
แต่ก่อนที่นางจะได้แกะสลักตัวอักษรสักตัวสองตัว เฉินผีก็มาเชิญนาง บอกว่าคนที่เขาเอ่ยถึงผู้นั้นมาถึงแล้ว
ฉินหลิวซีวางพู่กันกับมีดลงแล้วลากขากะเผลกๆ ของนางมาที่หน้าร้านอย่างช้าๆ มีชายร่างสูงโปร่งยืนหันหลังให้นางอยู่
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ชายผู้นั้นก็หันกลับมา เมื่อได้เห็นฉินหลิวซีที่อยู่ข้างๆ เฉินผีก็ชะงักไป เขาขมวดคิ้ว
“นายท่านซ่ง นี่คือเจ้านายที่ข้าเล่าให้ท่านฟัง และยังเป็นอาจารย์ปู้ฉิวแห่งอารามชิงผิงด้วยขอรับ” เฉินผีแนะนำด้วยรอยยิ้ม
ซ่งเยี่ยมองดูใบหน้าที่ค่อนข้างอ่อนวัยของฉินหลิวซี หากลูกของเขายังอยู่ก็คงอายุมากกว่าอีกฝ่ายกระมัง เขาบ้าไปแล้วที่ไปเชื่อคำพูดของเด็กคนนี้
แต่ก็ต้องโทษตัวเองเหมือนกัน เพียงแค่คิดว่าอาการป่วยของน้องสาวที่เป็นมานานไม่สามารถรักษาหายได้เสียที จึงได้ใจร้อนหาหมอไปทั่ว
ซ่งเยี่ยยกมือคำนับ “ขออภัย ที่เรือนมีเรื่องด่วน รบกวนแล้ว”
เพียงแค่เห็นหน้าก็จะไปแล้ว ไม่เชื่อฉินหลิวซีอย่างนั้นหรือ
ฉินหลิวซี “ท่านไตพร่อง!”