คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 337 เถิงเจา ‘ข้า ศิษย์ที่ไม่ได้รับความยุติธรรม’

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 337 เถิงเจา ‘ข้า ศิษย์ที่ไม่ได้รับความยุติธรรม’

ฉินหลิวซี ศิษย์ทั้งสอง และเฉินผีใช้เวลามากกว่าหนึ่งวันในการจัดเตรียมร้านค้าทั้งหมดให้เสร็จสิ้น วัตถุดิบยาทั่วไปที่ต้องใช้อย่างเร่งด่วนก็ได้เตรียมไว้แล้ว เครื่องรางต่างๆ ที่จะขายนั้นยิ่งเป็นเรื่องง่าย นางดูแลทั้งหมดด้วยตัวเอง วาดออกมาหลายประเภทวางเรียงไว้บนชั้น ยันต์บางอย่างที่ทำง่ายๆ อย่างยันต์แคล้วคลาดได้จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนยันต์ที่ค่อนข้างซับซ้อนยังอยู่ระหว่างการทำ

“ยันต์ต่างๆ พวกเจ้าต้องฝึกเอาไว้ จะได้สมุดคนละเล่ม ฝึกวาดยันต์แคล้วคลาดก่อน” ฉินหลิวซีโยนสมุดให้ศิษย์ทั้งสองคนละเล่ม เอ่ยว่า “ข้าจะสอนยันต์นี้ให้หนึ่งครั้ง พวกเจ้าลองสัมผัสด้วยตัวเองดู ค่อยๆ เรียนรู้ไป”

เฉินผีมองไปยังเด็กทั้งสองคนที่อายุรวมกันเท่าเขาคนเดียวแล้วจึงเอ่ย “คุณหนู พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะดึงพลังชี่เข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร ตอนนี้ให้เรียนวาดเครื่องรางจะเร็วเกินไปหรือไม่ขอรับ”

“เร็วตรงไหน” ฉินหลิวซีมองไปยังเด็กสองคนที่กำลังจ้องมองนาง เอ่ยว่า “อาจารย์ก็เข้าสำนักตอนอายุห้าขวบ เรียนรู้ทักษะต่างๆ ของสำนักในเวลาเดียวกัน ทั้งฝึกบำเพ็ญ วาดยันต์ ท่องพระสูตร จำแนกวัตถุดิบยา ท่องหลักตำราแพทย์ จำเส้นลมปราณของร่างกายคน และค่ายกลต่างๆ ล้วนเรียนรู้ผสมผสานกันไป”

เฉินผีมุมปากกระตุก มองไปยังเถิงเจา การฝากตัวเป็นศิษย์ของอาจารย์ที่ทำได้ทุกอย่างจะว่าโชคดีก็ไม่ดี พวกเจ้ายังมีสิ่งที่ต้องแบกรับ

เมื่อเห็นวั่งชวนเขาก็ยิ่งเห็นใจ อดเอ่ยไม่ได้ว่า “แต่ถึงกระนั้น คุณหนู เสวียนซินพึ่งจะห้าขวบเอง ข้าคิดว่านางคงจะรู้ตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัวขอรับ”

ฉินหลิวซีมองไปยังวั่งชวน เมื่อพิจารณาความเป็นมาของนาง อายุยังน้อย และรู้จักตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัว ซึ่งค่อนข้างลำบากสักเล็กน้อย

แต่ว่าลูกศิษย์ก็ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันไม่ใช่หรือ

“สำนักของพวกเรายึดหลักความสามัคคี ไม่ว่าภายในจะทะเลาะกันอย่างไร จะไม่ลงรอยกันแค่ไหนก็ไม่เป็นไร แต่ภายนอกเราต้องรวมกันเป็นหนึ่ง หากใครมารังแกสหายร่วมสำนัก ไม่จำเป็นต้องถาม ถลกแขนเสื้อเข้าไปช่วยเหลือก่อน เมื่อกลับมาค่อยปิดประตูแล้วคุยกันด้วยเหตุผล” ฉินหลิวซีมองไปยังเถิงเจา เอ่ยว่า “ด้วยหลักของความสามัคคีและการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เจาเจา เรื่องการเรียนตัวอักษรของศิษย์น้องหญิงเจ้าก็มอบให้เป็นหน้าที่ของศิษย์พี่ใหญ่อย่างเจ้าก็แล้วกัน”

เถิงเจาที่ในหัวกำลังคิดถึงเรื่องกำหนดตารางเวลาเรียนตามที่ฉินหลิวซีพึ่งเอ่ยไป “?”

ดังนั้นเขาต้องเพิ่มหน้าที่เป็นอาจารย์น้อยด้วยหรือ

เมื่อนึกถึงแผ่นป้ายที่สีพึ่งจะแห้ง สีหน้าของเถิงเจาก็ยิ่งดูหม่นหมองขึ้นเรื่อยๆ มีเรื่องต้องทำมากมายเหลือเกิน

“เช่นนั้นก็เอาตามนี้ มาเร็ว ศิษย์พี่ใหญ่ต้องทำตัวเป็นแบบอย่าง อาจารย์จะสอนเจ้าวาดยันต์” ฉินหลิวซีหยิบพู่กันมา จุ่มลงไปในชาดแดงที่ผสมไว้แล้ว ให้เถิงเจาจับพู่กัน ส่วนตัวเองก็จับมือเถิงเจาไว้

เถิงเจาขัดขืนเล็กน้อย ฉินหลิวซีกดศีรษะของเขา “อย่าขยับ ทำจิตใจให้สงบ ต้องมุ่งเน้นไปที่การวาดยันต์ ยันต์ที่มีจิตวิญญาณจึงจะเรียกว่ายันต์ศักดิ์สิทธิ์ ยันต์ที่ไม่มีจิตวิญญาณก็เป็นเพียงแค่กระดาษธรรมดาแผ่นหนึ่ง ดังนั้นการวาดยันต์ต้องรวมร่างกายและจิตใจเป็นหนึ่ง เคลื่อนย้ายจุดตันเถียน นำทางจิตวิญญาณของเจ้าที่รวบรวมได้มาสู่ฝ่ามือ ใช่แล้ว เช่นนี้แหละ”

เมื่อฉินหลิวซีสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวพลังจิตวิญญาณของเถิงเจาก็ดวงตาเป็นประกาย ลดเสียงเบาลงพลางเอ่ย “ดึงพลังจิตวิญญาณมาอยู่ที่พู่กันในมือ จะทำให้การวาดสม่ำเสมอและเสร็จสมบูรณ์ในครั้งเดียว”

นางจับมือของเขาไว้บนกระดาษ ต้องลงพู่กันอย่างไร วาดลายเส้นอย่างไร เคลื่อนย้ายพู่กันอย่างไม่มีความลังเล วาดยันต์แคล้วคลาดลงบนกระดาษสำเร็จได้ในคราวเดียว

ฉินหลิวซีมองไปยังยันต์ที่แฝงไว้ด้วยพลังจิตวิญญาณแทบอดอยากอุ้มลูกศิษย์คนโตขึ้นมาหอมศีรษะสักสองสามทีไม่ได้ แต่ทำได้เพียงอดกลั้นไว้

อย่าได้ทำให้ศิษย์สุดที่รักตกใจกลัวจนหนีไป

“ไม่เลวเลย นี่คือยันต์แคล้วคลาด เมื่อครู่ลงพู่กันอย่างไร เจ้าจำได้แล้วใช่หรือไม่ ฝึกวาดตามยันต์แผ่นนี้ทุกวันจนกว่าจะวาดยันต์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ได้สำเร็จ แล้วข้าค่อยสอนสิ่งใหม่ให้เจ้า ต้องขยันด้วยนะ เพราะอาจารย์จะตรวจดู หากเจ้าแอบขี้เกียจ เช่นนั้นอาจารย์จะลงโทษให้เจ้าขัดถังส้วม”

เถิงเจาตัวแข็งทื่อ เม้มริมฝีปากแน่น จ้องมองไปยังยันต์แคล้วคลาด ทบทวนความรู้สึกในการวาดยันต์แผ่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในหัว

ฉินหลิวซีแอบดีใจ กระแอมเล็กน้อยแล้วหันไปหาวั่งชวน สอนนางเช่นเดียวกันกับที่สอนเถิงเจา

เพียงแต่วั่งชวนอายุยังน้อย คุณสมบัติไม่พร้อมเท่าเถิงเจา นางไม่มีพลังจิตวิญญาณเลยแม้แต่นิด จับพู่กันไม่มั่นคง ยันต์แผ่นนั้น ส่วนใหญ่ถูกวาดด้วยมือฉินหลิวซีที่ประคองมือนางวาด

“เสวียนซิน แม้ว่าเจ้าจะอายุยังน้อย แต่ก็เป็นวัยที่เหมาะสมสำหรับการเรียนรู้ จากนี้ไปต้องเขียนตัวอักษรใหญ่สิบตัวทุกวัน และต้องฝึกจับพู่กันวาดยันต์ โดยมีศิษย์พี่ของเจ้าคอยเฝ้าดู เจ้าก็ต้องขยันด้วย หากขี้เกียจ อาจารย์จะลงโทษให้ศิษย์พี่ของเจ้าขัดถังส้วมสามถัง!”

เถิงเจา “!”

ด้วยความที่ข้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่จึงไม่ได้รับความยุติธรรมหรือ

เขามองไปยังวั่งชวน แม้ว่านางจะดูไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร แต่ก็รู้ว่าศิษย์พี่รักความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อย หากเขาต้องขัดถังส้วมที่สกปรกเช่นนี้ เกรงว่าเขาคงจะรัดคอตัวเองจนเป็นลมสลบไปเสียก่อน

ที่แท้นี่ก็คือความขุ่นเคืองของคนเป็นศิษย์พี่

วั่งชวนรีบเอ่ย “ข้าจะตั้งใจเรียนอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”

“ดีมาก” ฉินหลิวซีพอใจเป็นอย่างมาก เอ่ยว่า “นี่เป็นบทเรียนแรกในการเรียนรู้ การวาดยันต์ ความขยันสามารถชดเชยความโง่เขลาได้ เข้าใจหรือไม่ ใครแอบขี้เกียจข้าจะลงโทษคนนั้น หากศิษย์น้องแอบขี้เกียจ ศิษย์พี่ก็ต้องโดนไปด้วย”

เถิงเจาไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยแม้แต่น้อย

เฉินผีหันหลังกลับ ไหล่ทั้งสองข้างสั่น แต่ไม่กล้าหัวเราะออกมา

ใครบอกว่าให้เจ้าแสร้งทำตัวเป็นผู้ใหญ่แล้วการเป็นศิษย์ของคุณหนูไหนเลยจะราบรื่นได้

ฉินหลิวซีปัดมือ นับข้อนิ้วแล้วเอ่ยอีก “เอาล่ะ พวกเราแขวนป้ายเปิดกิจการอย่างเป็นทางการกันเถิด เฉินผี เตรียมโต๊ะบูชาและประทัด จริงสิ ยันต์ป้องกันทั้งห้าเตรียมพร้อมไว้แล้ว”

เฉินผีถอนหายใจ รู้สึกพูดไม่ออกเล็กน้อย ในบรรดาร้านค้าทั้งหมดในเมือง เกรงว่าร้านของพวกเขาจะเหมือนเด็กเล่นขายของที่สุดแล้วกระมัง

เพียงแขวนป้าย จุดประทัด ก็ถือว่าเปิดกิจการแล้ว

แต่คุณหนูว่าอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น พวกเขาก็ไม่ได้อาศัยความสวยงามอลังการเพื่อดึงดูดลูกค้า

ดังนั้นในสายตาของคนอื่นๆ พวกเขาเป็นเพียงแค่เด็กที่โตได้เพียงครึ่งเดียวสามสี่คน ยกแผ่นป้ายออกมาจากประตู เฉินผีได้ตั้งบันไดไว้เรียบร้อยแล้ว เขาให้เถิงเจาจับบันไดไว้ ส่วนตัวเองก็ยื่นแผ่นป้ายให้ฉินหลิวซี ให้นางแขวนด้วยตัวเอง

ป้ายร้านนั้นไม่ได้สวยงามมากนัก ตัวอักษรชื่อร้านขนาดใหญ่ทาด้วยสีดำและสีแดง และมีสัญลักษณ์สีทอง เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามายิ่งทำให้สีทองเจิดจ้ามากขึ้น

ไม่มีป้ายร้านที่ซับซ้อน แต่กลับเข้ากับแนวคิดที่เรียบง่ายพอดี

เฉินผีมองไปยังแผ่นป้ายที่ถูกแดดส่อง จ้องไปยังสัญลักษณ์แต่ละตัวเหล่านั้น ราวกับว่ามีความหมายของเต๋าแล่นอยู่ในหัวของเขา

สมแล้วที่เป็นคุณหนู ทำป้ายนี้ออกมาได้ดีจริงๆ ลึกล้ำเป็นอย่างมาก

เถิงเจาก็รู้สึกประหลาดใจมากเช่นกัน เขาเป็นคนลงสีและจำสัญลักษณ์ได้ แต่ความทรงจำของเขาไม่ลึกซึ้งเท่าตอนนี้ ราวกับมีบางอย่างพลุ่งพล่านอยู่ในอกเขา แท่นจิตวิญญาณชัดเจน เพื่อที่จะจับแสงแห่งจิตวิญญาณที่ริบหรี่นั้นไว้ได้ เขานั่งขัดสมาธิ นิ้วกลางกับนิ้วโป้งของมือทั้งสองข้างจรดกัน ตั้งใจจะฝึกฝนเคลื่อนย้ายจุลจักรวาล

เฉินผี “…”

เจ้าไปกระหายการฝึกฝนมาจากไหนกัน ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

ฉินหลิวซีลงมาจากบันได เมื่อเห็นเถิงเจาเข้าสู่สมาธิอีกครั้งก็อดยิ้มไม่ได้ สร้างม่านอาคมรอบตัวเขา จากนั้นเอ่ยกับเฉินผีว่า “เรียบร้อยแล้ว จุดประทัดเถิด”

เฉินผีรีบหยิบชนวนจุดไฟออกมา จุดประทัดแล้วโยนไปที่หน้าประตู

เมื่อเสียงประทัดดังขึ้น สะเก็ดไฟสีเหลืองทองก็กระจายไปทั่วราวกับมีทองมากมายตกลงมา

เมื่อร้านเปิดแล้ว สิ่งที่ตั้งตารอก็คือเงินทอง พวกเขาไม่สามารถละทิ้งปัจจัยทางโลกได้ การทำความดีก็ต้องใช้เงิน ยิ่งร้านทำรายได้มาก ก็จะยิ่งสามารถช่วยคนที่ทุกข์ยากได้มากขึ้น

เสียงประทัดดังสนั่น ดึงดูดผู้คนในร้านค้าที่อยู่ตรอกเดียวกันยื่นหน้ามามอง

ร้านตาเฒ่ากวนที่เปลี่ยนเจ้าของในที่สุดก็เปิดกิจการแล้วหรือ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท