ตอนที่ 341 นางก็แค่นักต้มตุ๋น
ซ่งหลิ่วดึงแขนเสื้อพี่ใหญ่กลับไปยังรถม้าของตนเอ่ยถามอย่างเฉียบขาด ‘ขาดญาติทางสายเลือด ทรัพย์สินตระกูลสูญสิ้น’ ที่ฉินหลิวซีบอกหมายความว่าอย่างไร
ซ่งเยี่ยจนใจ จำต้องเล่าเรื่องที่ฉินหลิวซีใช้วิชาจับชีพจรไท่ซู่ทำนายเคราะห์ดีเคราะห์ร้ายให้เขาคร่าวๆ หนึ่งรอบ
ใบหน้าของซ่งหลิ่วยิ่งซีดขาวขึ้น “ไยท่านจึงไม่บอกข้าก่อนเล่า นี่มันต้มตุ๋นกันชัดๆ ท่านก็เชื่อหรือ ท่านเป็นถึงแม่ทัพใหญ่นะ”
“ข้าเองก็ไม่อยากเชื่อ แต่นางบอกได้ว่าพวกเราเสียท่านพ่อท่านแม่ไปตั้งแต่อายุเท่าใด เสียลูกเสียภรรยาไปได้เมื่อใดอย่างชัดเจน ข้าไม่เชื่อเลยไม่ได้”
“ท่านบ้าไปแล้วหรืออย่างไร เมื่อก่อนท่านเป็นโจรป่าไร้ชื่อเสียงเรียงนามหรือ ท่านเป็นแม่ทัพขั้นสี่ของราชสำนัก เรื่องของท่าน หากคิดสืบหา ผู้ใดบ้างจะสืบไม่ได้” ซ่งหลิ่วแทบกลอกตา เอ่ย “นางเพียงอยากหลอกเอาเงินท่าน หมอดูปลอมๆ เช่นนี้ เห็นได้ทั่วไปตามท้องถนน”
“น้องหลิ่ว ข้ามาที่ร้านนี้ด้วยความฉุกคิดขึ้นมากะทันหัน ฐานะของข้า ไม่เหมาะที่จะวิ่งไปทั่วทุกหนทุกแห่ง เจ้าดูว่าเขาเพิ่งอายุเท่าใด ไหนเลยจะมาสืบเรื่องข้าได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าข้าไม่เคยเจอเขามาก่อน เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าจะมา” ซ่งเยี่ยเอ่ยด้วยสีหน้าหนักใจ “ไม่ปิดบังเจ้า ร้านนี้เดิมทีเป็นร้านทำโลงศพ ข้าฝันเห็นฉั่งเอ๋อร์มาบอกให้ไปดูสุสานของเขา ถึงได้รู้ว่าสุสานพังลงมา โลงศพก็พังแล้ว ข้าจึงนึกอยากมาที่นี่ ไม่คิดว่าจะมาเจอคนผู้นี้”
เขาเองไม่ปิดบังอีก บอกถึงเหตุผลที่ตนมาที่นี่ เอ่ยบอกเล่าถึงเรื่องราวโดยละเอียดตั้งแต่ต้นไปหนึ่งรอบ
ซ่งหลิ่วขาอ่อนยวบ ทรุดลงไป สาวใช้รีบเข้ามาประคอง นางมองซ่งเยี่ยด้วยใบหน้าซีดขาว เอ่ยถามเสียงสั่น “ท่านบอกว่าสุสานของฉั่งเอ๋อร์พังลงมาอย่างนั้นหรือ ไยท่านจึงไม่บอกข้าเล่า”
สวรรค์ บุตรชายที่น่าสงสารของนาง แม้แต่ตายไปแล้วก็ยังไม่อาจอยู่อย่างสงบได้หรือ
ในหัวของซ่งหลิ่วนึกถึงคำที่ฉินหลิวซีเคยบอก ยึดติดเกินไป แม้แต่บุตรชายที่ตายไปแล้วก็ยังไม่อาจได้ไปเกิดใหม่
ดวงตาของซ่งหลิ่วทะมึน กัดปลายลิ้นแรงๆ เจ็บปวดจนทำให้นางได้สติขึ้นมาบ้าง
นางจะล้มไม่ได้ นางจะต้องเข้าใจ
“ร่างกายเช่นนี้ของเจ้า ข้าจะกล้าบอกได้อย่างไร ข้ามีเจ้าเป็นน้องสาวเพียงคนเดียวแล้ว” กระบอกตาของซ่งเยี่ยแดงก่ำ
ซ่งหลิ่วเห็นแล้วก็จมูกแดงขึ้นมา พลันไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใด นางจับยึดมือของสาวใช้เอาไว้พยายามยืนให้มั่นคง “เช่นนั้นเราต้องสั่งทำโลงศพใหม่”
“ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว” ซ่งเยี่ยส่ายศีรษะ เอ่ย “น้องหลิ่ว ยังไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่น ร่างกายของเจ้านี้ ต้องให้นักพรตปู้ฉิวผู้นั้นรักษาก่อน จะเป็นอะไรไปไม่ได้นะ”
“ไม่ นั่นมันนักต้มตุ๋นชัดๆ” ซ่งหลิ่วยังไม่พอใจและตื่นตกใจกับความ ‘ดุร้าย’ ของฉินหลิวซี
“หากไม่รักษา เจ้าตายไปแล้วจริงๆ ข้ายังจะมีความหวังอันใดอีกเล่า เป็นอย่างที่นางเอ่ย ไร้ญาติทางสายเลือด ข้าก็คงอยู่ไม่ถึงห้าสิบอย่างนั้นหรือไม่”
ดวงตาของซ่งหลิ่วมีโทสะขึ้นมา “ท่านยังมีหลานคนโตอย่างหวาเอ๋อร์”
ซ่งเยี่ยกลับสูดหายใจเข้าลึก เอ่ย “เมื่อก่อนมิได้รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้ข้าพอเข้าใจแล้ว ไยความรู้สึกของข้าที่มีต่อฉั่งเอ๋อร์และหวาเอ๋อร์ถึงไม่เหมือนกัน ข้ามักคิดว่าข้ามิได้ใกล้ชิดกับหวาเอ๋อร์มากพอ ความรู้สึกคือ…”
“พี่ใหญ่” เสียงกรีดร้องแหลมของซ่งหลิ่วแหวกผ่านอากาศขึ้นมา
ซ่งเยี่ยหน้าตึง เอ่ยถาม “เจ้าบอกมา เขาเหมือนคนตระกูลซ่งของเราที่ใด เหมือนเจ้าที่ใด”
ซ่งหลิ่วสะอึก
พวกเขาสองพี่น้องมาจากครอบครัวที่ยากลำบาก ต่อมากลายเป็นโจร นิสัยจึงเรียบๆ ง่ายๆ ไม่ได้พิถีพิถัน หยาบกระด้างเช่นนั้น ภายนอกหรือ ไม่ถึงกับขี้เหร่ พี่ใหญ่หยาบคาย นางเองก็สูงใหญ่อย่างนั้น
และบุตรชายคนโต สุภาพสง่างาม รูปหน้าเรียว ผิวขาวผุดผ่อง แต่นั่นก็ไม่ได้มีอะไรนี่ เขาเหมือนบิดาของเขาแล้วอย่างไร
ไม่ผิด สามีของซ่งหลิ่วคือปัญญาชนที่เป็นสุภาพชนแบบนั้น บุตรชายคนโตก็เหมือนเขา ดังนั้นการเล่าเรียนจึงดีเยี่ยม
และบุตรชายคนรอง ซ่งหลิ่วเมื่อนึกถึงบุตรชายคนรอง หัวใจพลันเจ็บแปล๊บขึ้นมา
ฉินหลิวซีเอ่ยไม่ผิด ความสัมพันธ์ของนางและบุตรชายคนรอง บุตรชายคนโตไม่อาจเทียบได้จริงๆ บุตรชายคนโตออกไปศึกษาเล่าเรียนตั้งแต่ยังเด็ก ตอนนั้นนางเองก็มีบุตรชายคนรองแล้ว ลูกเกิดมาแข็งแรงสมบูรณ์แบบ เติมเต็มช่องว่าที่บุตรชายคนโตไม่อยู่ข้างกาย
ตลอดสิบปีมานี้ บุตรชายคนรองไม่เคยห่างกาย ดังนั้นความสัมพันธ์แม่ลูกจึงใกล้ชิดสนิทสนม ไม่เหมือนบุตรชายคนโต
แต่จะบอกว่าบุตรชายคนโตไม่ใช่บุตรชายแท้ๆ ของตน ก็ไม่อาจว่าได้
“พี่ใหญ่ ตอนที่หวาเอ๋อร์กำเนิด ท่านเองก็อยู่ด้วย นั่นคือบุตรที่ข้าคลอดออกมาเช่นกันนะ”
ซ่งเยี่ยส่ายศีรษะ “ตอนที่หวาเอ๋อร์กำเนิดข้าเพิ่งไปถึง ตอนนั้นข้ายังรังเกียจว่าเขาอ่อนแออยู่เลย และเจ้ายังคลอดยาก หลังจากคลอดเสร็จก็เป็นลมสลบไป เจ้าเองก็ยังไม่ได้เห็นลูกมิใช่หรือ”
ซ่งหลิ่วตัวแข็งค้าง
นางครุ่นคิด ส่ายศีรษะ “เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทาง หวาเอ๋อร์คือบุตรชายของข้า ข้ารู้สึกได้ หากเป็นเช่นนั้น ลูกของข้าอยู่ที่ใดเล่า ผู้ใดสับเปลี่ยน ท่านจะบอกว่าไฉโจวสลับเด็กอย่างนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้ พี่ใหญ่ ไฉโจวดีกับข้าอย่างไร ท่านเองก็รู้ พวกเรารู้จักกันเป็นอย่างดี ท่านกับบิดาของเขาแม้จะต่างกันเพียงหนึ่งรุ่น แต่ก็เรียกขานกันพี่น้อง หลายปีมานี้พวกเราเป็นอย่างไร ท่านเข้าใจดี ฉั่งเอ๋อร์ไม่อยู่แล้ว เขาเสียใจยิ่งกว่าข้า จะเป็นไปได้อย่างไร จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ข้าไม่เชื่อ”
เดิมทีซ่งหลิ่วไม่คิดว่าบุตรชายจากไปตั้งนานแล้ว
ไม่เคยสังเกตเห็นถึงจุดเล็กๆ น้อยๆ ยามนี้ความสงสัยค่อยๆ เพิ่มพูนเข้ามาแล้ว
นางบอกว่าหวาเอ๋อร์เมื่อเติบโตแล้วก็ไม่เหมือนตนเองแม้เพียงนิด สุดท้ายไม่นานเว่ยไฉโจวก็เอ่ยขึ้นถึงการส่งเด็กไปเล่าเรียนศึกษา ตลอดหลายปีมานี้ ระยะเวลาที่บุตรชายคนโตอยู่ข้างกาย เมื่อนับดูแล้ว ยังไม่เป็นเวลาหนึ่งปีกว่าด้วยซ้ำ
ซ่งหลิ่วยิ่งคิดยิ่งหวาดกลัวอยู่ในใจ
ซ่งเยี่ยกลับเชื่อฉินหลิวซีมากขึ้นเล็กน้อย คนน่ะเมื่อเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยได้เกิดขึ้นแล้ว ไม่นานก็แตกยอดเติบโตกลายเป็นต้นไม้ใหญ่ สิ่งต่างๆ ที่เคยผ่านมาก็เริ่มมีเหตุผลที่สมเหตุสมผลมาอธิบาย
“น้องหลิ่ว เป็นคนต้องใช้ชีวิตอย่างชัดแจ้ง ข้ารู้สึกได้ ว่านางเป็นคนมีความสามารถจริงๆ มิเช่นนั้นคงไม่อาจวินิจฉัยโรคออกมาได้ถูกต้องเพียงนี้ เรื่องของเราอาศัยเพียงวิชาจับชีพจรไท่ซู่นั่นก็สามารถทำนายออกมาได้ ข้าต้องไปถามให้ชัดเจน” ซ่งเยี่ยจ้องซ่งหลิ่ว เอ่ย “หากนางหลอกเราเพียงเพื่อเงิน ได้เห็นดีกันแน่ ข้าจะขอโทษต่อไฉโจวด้วย แต่หากสิ่งที่นางเอ่ยล้วนเป็นความจริง เช่นนั้นคงมิใช่เรื่องง่ายๆ เพียงเรื่องฉั่งเอ๋อร์เท่านั้นแล้ว”
หัวใจของซ่งหลิ่วเต้นกระหน่ำรุนแรง
มองตามซ่งเยี่ยที่กระโดดลงจากรถม้าตรงเข้าไปในร้านอีกครั้ง นางกัดริมฝีปาก เอ่ย “พวกเราก็ไปด้วย” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
สาวใช้ใหญ่และหมัวหมัวผู้ดูแลมองสบตากัน สีหน้าของทั้งคู่ซีดขาวขึ้นมา ประคองซ่งหลิ่วลงจากรถม้าตามเข้าไป
ฉินหลิวซีคล้ายกับรู้ว่าพวกเขาจะกลับมา กำลังนั่งเขียนใบสั่งยาอยู่บนโต๊ะ มองแสงตรงหน้าที่ถูกบดบังไป ไม่แม้จะเงยหน้า เอ่ย “ท่านแม่ทัพไม่ต้องรีบ รอข้าเขียนใบสั่งยานี่เสร็จ น้องสาวท่านเข้ามาด้วยแล้วจะเอ่ยกับพวกท่านโดยละเอียด”
ซ่งเยี่ย “…”
คนที่ร้อนใจแทบตายคงไม่ใช่ท่านกระมัง
แต่ความหมายของเขาคืออะไรกัน
ซ่งเยี่ยได้ยินเสียงเท้าเดิน หันกลับไป ซ่งหลิ่วก็ถูกประคองเดินตามเข้ามาด้วยจริงๆ รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาในใจโดยไม่อาจห้ามได้
เขารู้ทั้งหมด
เว่ยเฉิงหวา ไร้เลือดเนื้อเชื้อไขตระกูลซ่งของพวกเขาก็เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ
“มากันแล้วหรือ” ฉินหลิวซีวางพู่กันลง หยิบใบสั่งยาขึ้นมาเป่าหมึกให้แห้ง ยื่นไปให้ “นี่คือยาที่ฮูหยินจำเป็นต้องใช้ กินยาครบสี่ชุดก็จะดีขึ้น และฝังเข็มไฟเพื่อเอาความเย็นออกเพิ่มพลังหยาง ทำให้พลังหยินสมดุล ก็จะหายเป็นปกติ”
ราวกับไม่สนใจเรื่องที่พวกเขาสองพี่น้องหนีออกไปแม้เพียงนิด
ซ่งเยี่ยรับมา ยกมือประสาน “ท่านอาจารย์ ท่านช่วยบอกให้ชัดเจน หลานชายคนโตของข้า มิใช่ลูกหลานของตระกูลซ่งจริงหรือ”