ตอนที่ 360 ทำลายแผนการของคนอื่นจะช้าไม่ได้
ตอนที่พ่อบ้านเดินออกมาจากเฟยฉางเต๋า มือของเขาถือใบสั่งยาออกมาด้วยหนึ่งแผ่น ท่าทางราวกับร่างไร้วิญญาณ เขามาเพื่อสืบความจริงเท็จของเฟยฉางเต๋าแห่งนี้ให้เจ้านาย แต่สืบไปสืบมากลับพบอาการป่วยของตนเอง จากนั้นจ่ายออกไปสิบตำลึงเป็นค่าตรวจ
คิดเช่นนี้ เขาพลันรู้สึกปวดปัสสาวะขึ้นมา เพียงแต่มองใบสั่งยาในมือ เขาพับมันเอาไว้ เดินไปหาโรงหมออื่น หมอชราคนนั้นเองก็วินัจฉัยว่าเป็นสือหลิน แต่ไม่ได้อธิบายละเอียดและเข้าใจอย่างฉินหลิวซี หากเขาถามมากไป ศิษย์ของท่านหมอผู้นั้นก็จะหงุดหงิด
พ่อบ้านเองได้ใบสั่งยามาหนึ่งใบ ทว่าใช้ใบสั่งยาของฉินหลิวซีไปซื้อยาที่ร้านยา เขาไม่อยากให้ก้อนหินนี้โตขึ้นเรื่อยๆ ถึงตอนนั้นเจ็บจนยืดตัวไม่ได้ก็แย่แล้ว
พ่อบ้านรับยามาแล้ว กลับมายังเรือนพักที่มีบรรยากาศเงียบสงบ ตรงดิ่งไปรายงานต่อเจ้านายของตน และบ่าวรับใช้ที่ถูกเขาไล่ให้ตามเซี่ยชงไปก็มายืนรายงานอยู่ตรงหน้าเจ้านายแล้ว
“พ่อบ้านจังกลับมาแล้ว” บ่าวรับใช้ถอยออกไปด้านข้าง
พ่อบ้านจังรีบเดินเข้ามา คุกเข่าต่อหน้าบุรุษรูปงามที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ[1] “นายน้อยใหญ่”
“ลุกขึ้นเถิด” ชายหนุ่มหล่อเหลายกมือขึ้น คือโจวเวยคนที่ฉินหลิวซีเคยเห็นอยู่ด้วยกันกับคนตระกูลติง
โจวเวยเอ่ยด้วยความสนอกสนใจ “ฝูเฉวียนรายงานข่าวที่เขาสืบมาได้แล้ว ท่านลองเล่าข่าวที่ท่านหามาได้จากเฟยฉางเต๋าเป็นอย่างไร”
“นายน้อยใหญ่ ร้านนั้น แปลกประหลาดไม่ว่า แต่เจ้าของร้าน มีความสามารถจริงอยู่บ้างขอรับ” พ่อบ้านจังรีบเล่าเรื่องที่ตนเองเจอและได้ยินในเฟยฉางเต๋าโดยละเอียด แม้แต่เรื่องอาการป่วยของตนก็ยังไม่ปล่อยผ่าน
เดิมทีโจวเวยประหลาดใจ อย่างไรเขาได้ฟังเรื่องที่เซี่ยชงเจอจากบ่าวรับใช้แล้ว จากนั้นฟังสิ่งที่พ่อบ้านจังเอ่ย ใบหน้าสนอกสนใจค่อยๆ นิ่งขรึมขึ้นมา ดวงตามีแสงสว่าง
“อาการสือหลินของเจ้า เมื่อก่อนไม่ค่อยสังเกตหรือ” โจวเวยหรี่ตาลงเอ่ยถาม
พ่อบ้านจังยิ้มเจื่อน เอ่ย “บ่าวเป็นเพียงบ่าวรับใช้คนหนึ่ง ไม่ได้เล่าเรียนการแพทย์ ไหนเลยจะรู้ว่านี่คืออาการป่วยสือหลินขอรับ ได้ยินก็ไม่เคยได้ยิน ว่าไตน้ำเกิดหิน นายน้อยเคยได้ยินหรือขอรับ”
“แน่นอนว่าเคยได้ยิน” โจวเวยเอ่ย “เมื่อก่อนน้องชายแท้ๆ ของหย่งติ๋งโหว คุณชายรองจงผู้นั้น เคยป่วยเป็นโรคนี้เช่นกัน ได้ยินว่าเจ็บปวดจนไม่อาจลงจากเตียงได้ เกือบเสียชีวิตไปแล้ว หาหมอหายารักษาก็ไม่ตรงอาการ ต่อมาได้มาเจอกับตู้เหรินจึงรักษาจนหาย บอกว่าก้อนหินที่ขับออกมาเกือบจะเท่านิ้วหัวแม่มือแล้ว คนตัวอวบอ้วน ผอมลงไปกว่าครึ่ง”
พ่อบ้านจังฟังจนหน้าซีด ใบหน้าที่ดูอวบอ้วนมีเหงื่อซึมออกมาอีกครั้ง แทบอยากออกไปต้มยาดื่มทันที
ดวงตาทั้งสองข้างของโจวเวยวาววับ เอ่ย “นักพรตน้อยผู้นี้ อ้อ เจ้าบอกว่าเขาเป็นนักพรตจากสำนักใดหรือ”
“บอกว่ามีเอกสารรับรองจากอารามชิงผิง มีรายชื่ออยู่ที่นั่นขอรับ”
โจวเวยเคาะหน้าโต๊ะ เอ่ย “นางอายุยังน้อย กลับมีวิชาการแพทย์ มีความสามารถเหล่านี้ ฝูเฉวียนบอกว่านางยังสามารถขับไล่สิ่งชั่วร้ายกำหนดความเป็นตายได้ด้วย”
พ่อบ้านจังตกใจ หันมองไปยังบ่าวรับใช้ทันใด อีกคนรีบเล่าสิ่งที่ตนได้ฟังมาจากเซี่ยชงทันที
พ่อบ้านจังกลืนน้ำลาย เอ่ย “มิน่าเล่านางถึงได้บอกว่าเด็กคนนั้นตกใจจึงทำให้เกิดอาการชักเฉียบพลัน บ่าวเห็นว่านางลงเข็มได้อย่างแม่นยำตรงจุดไม่มีความลังเล จากนั้นยังแขวนเครื่องรางให้ด้วย เด็กคนนั้นก็สงบลง ราวกับไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน บ่าวเห็นกับตา ปู่ของเด็กคนนั้นดูนับถือนางเป็นอย่างมาก ตอนที่พูดดูให้ความสำคัญกับยันต์คุ้มภัยอะไรนั่นมากเลยขอรับ”
โจวเวยเงียบไปชั่วครู่ เอ่ย “ในเมื่อมีร่องรอยให้สืบหา พวกเจ้าส่งคนไปที่อารามชิงผิงเพื่อสืบความจริงเกี่ยวกับคนผู้นี้ สืบจากข้างนอกด้วย คนข้างนอกเอ่ยถึงเขาเยี่ยงไร โดยเฉพาะเรื่องการแพทย์”
“ขอรับ”
โจวเวยเอ่ยกับพ่อบ้านจัง “ท่านไปต้มยาดื่มเถิด กินยาแล้ว บอกข้าว่าเป็นอย่างไร”
“บ่าวน้อมรับคำสั่งขอรับ”
โจวเวยจึงให้พวกเขาออกไป เม้มริมฝีปากขมวดคิ้ว เรื่องเกี่ยวข้องกับน้องสาว เขาไม่ดำเนินการโดยไม่ระมัดระวังไม่ได้
…
ฉินหลิวซีรับเงินค่ารักษาจากเถ้าแก่จี้มา ไม่ดูสักนิดว่าเป็นจำนวนเท่าใดแล้วส่งต่อให้เฉินผี เอ่ย “ดวงตาของเด็กบริสุทธิ์ ร้านของพวกท่านทำเกี่ยวกับงานศพ เห็นสิ่งที่ไม่ปกติบ้างนั่นเป็นเรื่องปกติ มีเครื่องรางคุ้มกันภัยของข้าอยู่ สามารถเลี่ยงไม่เป็นเป้าหมายของสิ่งชั่วร้าย ท่านวางใจเถิด”
เถ้าแก่จี้ได้ยินก็ซาบซึ้งขึ้นมา ประสานมือคารวะอีกครั้ง เอ่ย “ขอบคุณท่านแล้ว ยันต์คุ้มภัยที่ท่านมอบให้ก่อนหน้านี้ข้าก็ให้เขานำติดตัวไว้ แต่ไม่คิดว่าลูกสะใภ้ของข้าจะเป็นคนไม่สนใจสิ่งใดเช่นนี้…”
ฉินหลิวซีไม่คิดสนใจเรื่องในครอบครัวของเขา เอ่ย “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เด็กเป็นเด็กดี ท่านเลี้ยงดูให้ดีก็เป็นบุญวาสนาในอนาคตแล้ว”
เถ้าแก่จี้ดีใจไม่น้อย คิดในใจว่าตนเองเลี้ยงหลานชายเองจะดีกว่า หากปล่อยไว้ในมือลูกสะใภ้ที่ไม่สนสิ่งใดผู้นั้น ไม่แน่อาจจะเสียคนก็เป็นได้
เขาเอ่ยชื่นชมฉินหลิวซีอีกไม่กี่ประโยคก็กล่าวลาแล้ว
เฉินผีเห็นว่าเขาไปแล้ว จึงค่อยเปิดดูค่ารักษา เอ่ย “คุณหนู เถ้าแก่จี้จ่ายค่ารักษามายี่สิบตำลึงขอรับ”
กิจการร้านงานศพไม่ใช่ร้านที่จะมีลูกค้าเข้ามามากมาย ค่ารักษาของเถ้าแก่จี้นี้นับว่ามากแล้ว
นี่หมายความว่าเขาตั้งใจจะผูกมิตรกับฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีเหลือบมองเล็กน้อย จึงเอ่ย “เก็บไว้เถิด เดิมบัญชีก็เป็นเจ้าที่ทำ ต่อไปกำไรของร้านเรา ต้องแบ่งออกเป็นสามส่วน สองในสิบส่วนให้อาราม สามในสิบให้ข้า อีกห้าในสิบส่วนที่เหลือแบ่งไปให้อีกบัญชี ต่อไปหากเงินบัญชีนั้นมีมากแล้ว ค่อยเอาเงินต่อเงิน เอาไว้เป็นเงินส่วนตัวตระกูลฉิน”
เฉินผีตกใจ เอ่ย “จัดสรรเป็นบัญชีเดียวเลยหรือขอรับ”
ฉินหลิวซีพยักหน้า “เสี่ยวเย่ว์เอ่ยถูกแล้ว อนาคตหากว่าข้าไม่ทำต่อไปแล้ว กิจการนี้ของข้าก็ไม่มีผู้ใดมารับช่วงต่อ มิสู้นำเงินไปลงทุนตั้งขึ้นมาอีกสักหนึ่งกิจการ นับว่าเป็นอีกหนึ่งกิจการพื้นฐาน”
“ท่านเป็นคนจัดการทุกอย่าง สามในสิบส่วนน้อยไปหรือไม่ขอรับ” เฉินผีเงียบไปชั่วครู่
ฉินหลิวซี “พอใช้ก็พอ”
เฉินผีนึกถึงนิสัยของนาง จึงไม่ได้เอ่ยสิ่งใดให้มากความ เพียงเอ่ยถึงเรื่องของเซี่ยชง “คนเสเพลเยี่ยงเขานั้น ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะหาเงินมาได้ครบยี่สิบตำลึง”
“เขาจะหามา รอเขาหามาครบแล้ว ก็จะกลายเป็นคนดีแบบที่เงินทองก็ไม่อาจแลกมาได้” ฉินหลิวซีหยิบผ้าไว้ทุกข์นั้นขึ้นมา เอ่ย “หยิบกระดาษเหลืองและชาดมา ข้าจะเขียนยันต์ ทำลายมนต์ดำนี้สักหน่อย”
“ท่านบอกว่าจะช่วยกดเอาไว้ครึ่งหนึ่งไม่ใช่หรือ”
ฉินหลิวซียิ้ม เอ่ย “วาจานี้เจ้าก็เชื่อหรือ ขู่เขาหรอก มิเช่นนั้นเจ้าคนเสเพลนี้ไยจะหาเงินอย่างยากลำมาด้วยความซื่อสัตย์ได้ อีกอย่างทำลายแผนการของผู้อื่น ไม่อาจช้าได้”
เฉินผียกยิ้มดวงตาคล้ายจันทร์เสี้ยว รีบไปหยิบกระดาษเหลืองและชาดแดง
“ขอยืมเลือดพลังหยางบริสุทธิ์ของเจ้าสักหยดสิ” ฉินหลิวซีหัวเราะหึๆ มองเฉินผี
เฉินผีหยิบเข็มทองออกมาด้วยตนเอง ทิ่มปลายนิ้ว บีบเลือดออกมาหนึ่งหยด ถูกฉินหลิวซีผสมรวมกับชาด จากนั้นจึงตั้งอกตั้งใจ วาดยันต์ขจัดปัดเป่าทำลายสิ่งชั่วร้าย ชาดแดงเขียนลงบนกระดาษ กลายเป็นยันต์ มีแสงสีทองเปล่งประกายสว่างวาบขึ้นมา
ฉินหลิวซีหยิบยันต์และผ้าไว้ทุกข์นั้น หยิบอ่างขึ้นมาหนึ่งอ่าง โยนผ้าไว้ทุกข์ลงไปข้างใน สองมือปิดผนึกรวดเร็ว ริมฝีปากบางเผยอขึ้น มนต์คาถาหนึ่งบทร่ายออกมาจากปาก ตามมาด้วยเสียงแตกหัก คาถาและยันต์ตีลงไปบนผ้าไว้ทุกข์ ไฟลุกไหม้ขึ้นมา
ผ้าไว้ทุกข์ลุกไหม้ และในหอนางโลมแห่งหนึ่ง บุรุษที่กำลังโอบประคองนางโลมดื่มกินอยู่พลันสลบล้มลงกับพื้น ไม่รู้สึกตัว
และนักพรตชราที่กำลังหนีตายอยู่อีกด้าน ดวงจิตก็เกิดเจ็บปวดขึ้นมา กระอักเลือด ล้มลงกับพื้นร้องโอดโอย “ผู้ใดเอาแต่ทำลายมนต์ของข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
[1]เก้าอี้ไท่ซือ เป็นเก้าอี้ที่บ่งบอกฐานะ ถ้าตั้งอยู่ในบ้านแสดงว่าคนที่นั่งคือผู้ปกครองบ้าน ตั้งอยู่ในวังหรือหยาเหมินจะบ่งถึงว่าเป็นผู้กุมอำนาจ