ตอนที่ 363 นายท่านสามตระกูลฉินเกิดเรื่องแล้ว
ฉินหลิวซีเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผิงอันเด็กทั้งสอง ปกติเด็กน้อยทั้งสองมียาที่ต้องแช่ แม่นมป้อนนมเพียงพอ และมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล ยามนี้พวกเขาเป็นเหมือนเด็กที่คลอดครบกำหนด ขาวๆ อวบๆ ดูแข็งแรง น่ารักเป็นที่สุด
และที่บริสุทธิ์สดใสที่สุดคือดวงตาของทารก ยามดวงตาสีดำนั้นจ้องมองมาที่เจ้า มักทำให้หัวใจของคนอ่อนยวบ
ดังนั้นฉินหลิวซีเห็นใบหน้าของพวกเขามีน้ำมีนวล อดไม่ได้ยื่นมือออกไปจับ บีบแก้มด้วยมือข้างละคน
เนื้ออวบอ้วน นุ่มนิ่ม บีบอีกครั้ง
แม่นมโจวมองดูการกระทำเล็กๆ น้อยๆ นั้น “…”
ทว่านางไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด เด็กทั้งสองเป็นดั่งทุกวันนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะคุณหนูใหญ่ การแพทย์ที่เก่งกาจ อีกทั้งยังมีนางออกหน้า มียาแช่ไม่ขาด แม้แต่อาหารการกินของตนก็ดีไปด้วย ดังนั้นจึงมีน้ำนมเหลือเกินพอที่จะเลี้ยงเด็กน้อยทั้งสอง
ที่สำคัญที่สุดก็คือ กับการบีบแก้มของฉินหลิวซี เด็กทั้งสองไม่เพียงไม่เบะปากร้องไห้ ยังหัวเราะเอิ๊กอ๊าก เท้าดีดดิ้น สองมือน้อยยกขึ้นอยากให้อุ้ม
สำหรับฉินหลิวซี พวกเขามีความสนิทสนมและชอบพอโดยธรรมชาติ
หยอกล้อกับเด็กทั้งสองอยู่ชั่วครู่ ฉินหลิวซีจึงตั้งใจจับชีพจรพวกเขาอย่างจริงจัง แกะเสื้อผ้าออก ยื่นมือสัมผัสกระดูกสันหลัง แม้แต่อวัยวะเพศของพวกเขานางก็ยังตรวจดูอีกรอบ จนแม่นมโจวอ้าปากค้างดวงตาเบิกโต
แม้จะบอกว่าเป็นญาติผู้พี่ เด็กทั้งสองยังอายุไม่ถึงสามเดือน นางกลับไม่มีความรังเกียจแม้เพียงนิด
ทว่าสะใภ้กู้ กลับเอาแต่หัวเราะมองท่าทางของฉินหลิวซี ในสายตาของนาง ฉินหลิวซีกำลังทำในรูปแบบของหมอ นั่นคือการสัมผัส การมอง การถาม การฟัง และสูดดม
ฉินหลิวซียังถามแม่นมโจวถึงการกินการนอนของเด็กทั้งสองว่าเป็นอย่างไร
แม่นมโจวรีบเอ่ยบอกอย่างละเอียดทันที
ฉินหลิวซีมัดชุดเด็กๆ ให้เรียบร้อย พร้อมมองสะใภ้กู้ เอ่ย “พัฒนาการของพวกเขาไม่เลว ยานี้ให้แช่ต่อไป ช่วยให้กระดูกแข็งแรง ไม่ต้องกลัวว่าจะเปลืองยา พวกเขาคลอดก่อนกำหนด ยาเหล่านี้จะขาดไม่ได้”
สะใภ้กู้พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เอ่ย “กลัวแต่ว่าตระกูลจะต้องรับผิดชอบหนักขึ้น”
“ตระกูลจะเปิดกิจการใหม่แล้ว นายหญิงผู้เฒ่าเองก็มีอาหญิงเล็กส่งเงินและของกลับมาให้ เพียงเท่านี้ ยังรับผิดชอบได้” ฉินหลิวซีบีบแก้มเด็กน้อย “เดิมพวกเขาก็คลอดก่อนกำหนด นับว่าไม่ครบวันเวลา หากขาดขั้นตอนนี้ไป ต่อไปร่างกายจะอ่อนแอป่วยบ่อย กระดูกไม่แข็งแรง ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก”
สะใภ้กู้ได้ยินเรื่องนี้ หัวใจบีบรัดขึ้นมา เอ่ย “ข้าเข้าใจ ยามนี้ข้าเองก็ทำงานเย็บปัก พอขายได้เงินเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้าง”
ฉินหลิวซีหัวเราะไม่เอ่ยปาก เพียงมองไปยังแม่นมโจว เอ่ย “ท่านยื่นมือออกมา ข้าจะตรวจชีพจรให้ท่าน”
“เอ๋ ข้าก็ด้วยหรือเจ้าคะ” แม่นมโจวงุนงง
ฉินหลิวซีเอ่ย “เด็กน้อยทั้งสองดื่มนมจากท่าน หากร่างกายของท่านไม่ปกติ ก็จะผ่านน้ำนมไปยังร่างกายของพวกเขาด้วย”
แม่นมโจวรีบยื่นมือออกมา
สองนิ้วของฉินหลิวซีทาบลงไป เอ่ย “ไฟใจลุกโชน ปากขมปากแห้ง นอนไม่ค่อยหลับหรือ”
แม่นมโจวละอายใจ “ช่วงนี้กำลังเข้าสู่หน้าหนาว ข้าดื่มน้ำแกงขาหมูเกือบทุกวัน รู้สึกเลี่ยนขึ้นมาบ้าง เนื้อเยอะผักน้อย ขับถ่ายไม่สะดวก จึงรู้สึกไม่สบายนักเจ้าค่ะ”
นางเป็นแม่นมของเด็กทั้งสอง เพื่อบำรุงไม่ให้ขาดสารอาหาร สิ่งที่นางกินล้วนแล้วแต่เป็นการเพิ่มน้ำนม กินมากแล้วจึงรู้สึกเลี่ยน ขับถ่ายไม่สะดวก อยู่ไม่เป็นสุขอย่างยากที่จะเลี่ยงได้
“ดื่มน้ำแกงปลาก็มีน้ำนมได้ ไม่จำเป็นต้องกินน้ำแกงขาหมูทุกมื้ออาหาร มีผักด้วยจะยิ่งดี” ฉินหลิวซีเอ่ย “ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้เจ้าสองชุด นอกจากนี้จะเขียนรายการอาหารให้ อาสะใภ้สามท่านเอาให้ท่านลุงหลี่ เขาจะจัดการต้มให้แม่นมเจ้าค่ะ”
สะใภ้กู้ “จะลำบากหรือไม่”
“เนื้อสัตว์หนึ่งผักหนึ่งน้ำหนึ่งก็เพียงพอแล้ว หนึ่งวันสามมื้อไม่ซ้ำกัน และไม่มันเลี่ยนจนเกินไป”
แม่นมโจวลอบถอนหายใจ นางที่เป็นแม่นม รู้สึกเหมือนตกไปอยู่ในรังแห่งความสุขไปด้วย
ไม่นานฉินหลิวซีก็เขียนใบสั่งยา จากนั้นตรวจชีพจรให้กับสะใภ้กู้ ปรับเปลี่ยนใบสั่งยาที่นางดื่มก่อนหน้านี้ พูดคุยไม่กี่ประโยคถึงค่อยกลับ
สะใภ้กู้ถือใบสั่งยาหลายแผ่น ถอนหายใจ บ้านสามของพวกเขาติดหนี้บุญคุณฉินหลิวซี นับวันยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ฉินหลิวซีออกมาจากเรือนสะใภ้กู้ ย่อตัวลงยื่นมือไปจัดระเบียบเสื้อผ้าให้ฉินหมิงเป่าที่เดินออกมาส่งนาง เอ่ย “เจ้าอายุยังน้อย ชอบเย็บปักเรียนสิ่งเหล่านี้ก็ไม่เป็นไร แต่อย่างอื่นก็ต้องเรียน ท่านแม่ของเจ้ารู้หนังสือ เดี๋ยวข้าจะให้พี่ฉีหวงของเจ้านำหนังสือมาให้ กระดาษหมึกพู่กันก็จะส่งมาให้ เจ้าเองก็ต้องเรียน”
ฉินหมิงเป่าชะงัก เอ่ย “พี่หญิงใหญ่ เมื่อก่อนท่านพ่อยังไม่ถูกขับไล่ออกไป ที่บ้านยังดี เชิญอาจารย์มาสอนพวกเราได้ไม่มีปัญหา แต่ว่าตอนนี้ตระกูลกำลังลำบาก ข้ายังเรียนสิ่งเหล่านี้ได้หรือเจ้าคะ”
ฉินหลิวซีเอ่ย “ไยจะไม่ได้เล่า ขอเพียงเจ้ามีใจอยากเรียน อยากเรียนอะไรก็เรียน บทกวี ฉิน เจ้าจะไม่เรียนก็ได้ แต่อักษรการคำนวณเจ้าต้องเรียน เจ้าอยากเรียนเย็บปักเรียนวาดภาพก็ต้องเรียน ข้าจะให้พี่ฉีหวงของเจ้าหาผลงานปักยอดเยี่ยมมาให้เจ้าสักสองชิ้นเพื่อให้เจ้าได้ใช้เป็นแบบอย่าง”
ฉินหมิงเป่าโผเข้าหาอ้อมกอดของฉินหลิวซี กอดคอนางออดอ้อน เสียงขึ้นจมูก “ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ พี่หญิงใหญ่ ข้านึกว่าพี่หญิงใหญ่มีลูกศิษย์ตัวน้อยแล้ว จะไม่ชอบเป่าเอ๋อร์แล้ว”
ฉินหลิวซีชะงักไปเล็กน้อย ยิ้มขึ้นมา ลูบใบหน้าเล็กของนาง เอ่ย “เจ้าเด็กน้อย คิดอะไรมากมายเพียงนี้ นางคือนาง เจ้าคือเจ้า ยังอยู่ในวัยเล่าเรียน ข้าจะดูว่าพวกเจ้าใครเรียนได้ดี”
“อืม ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังเจ้าค่ะ”
“ดี เช่นนั้นข้าจะรอดูแล้วกัน” ฉินหลิวซีหัวเราะ มองใบหน้ากลมเล็กของนาง ทว่านึกถึงบิดาของนาง ถอนหายใจออกมา เอ่ย “เข้าไปเถิด”
ฉินหมิงเป่ายกมือโบกลานาง
ฉินหลิวซีหมุนตัวตรงดิ่งไปยังเรือนนางฉินผู้เฒ่า ได้ยินเสียงไอของนางมาแต่ไกล
จวี๋เอ๋อร์มองเห็นนาง รายงานเข้าไปด้านในก่อน จากนั้นจึงเปิดผ้าม่านขึ้น
ฉินหลิวซีเดินเข้าไปด้านใน ย่อตัวคารวะ เอ่ย “ได้ยินเสียงไอท่านมาตั้งแต่ข้างนอก ข้าจะตรวจชีพจรให้ท่าน”
นางฉินผู้เฒ่ามองเห็นนางสีหน้าพลันสับสน ทว่าไม่ได้ปฏิเสธความ ‘กตัญญู’ ของนาง ยื่นมืออกมา
ฉินหลิวซีจับชีพจร พร้อมมองใบหน้าของนาง มีความมั่นใจอยู่ในใจ ตอนที่นางมา นางก็รู้ว่านายหญิงผู้เฒ่ามีดวงลูกชายบาดเจ็บ แต่ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด แต่มองเห็นจุดสามีภรรยาของสะใภ้กู้ จุดแม่ลูกของนายหญิงผู้เฒ่ามืดมนไร้แสง นางจึงรู้แล้ว
คงจะเป็นนายท่านสามฉินเกิดเรื่องแล้ว
ไม่นานฉินหลิวซีก็เก็บมือ เอ่ย “กังวลมากเกินไป อารมณ์ไม่มั่นคง อารมณ์ครุ่นคิดมีผลเสียต่อม้าม หัวใจม้ามติดขัด ท่านนอนหลับไม่ดีใช่หรือไม่”
นางฉินผู้เฒ่าขมวดคิ้วกุมหน้าอก เอ่ย “อายุมากแล้ว กลางคืนนอนหลับไม่สนิท”
ความจริงแล้วสองวันมานี้นางรู้สึกไม่สงบ กลางดึกยากที่จะสงบใจลงได้
ฉินหลิวซีไม่ได้เอ่ยขัดนาง เอ่ย “ท่านก็รู้ว่าท่านอายุมากแล้ว เอาแต่คิดกังวล ร่างกายของท่านไหนเลยจะดีได้ หากท่านอยากเห็นพวกท่านปู่กลับมาโดยปลอดภัย ท่านก็อย่าได้คิดกังวลมาก มิฉะนั้นกินยามากเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ ข้าเอ่ยไม่น่าฟัง แต่เป็นความจริงทั้งนั้น หากไม่อยากฟังก็แล้วแต่ท่าน”
นางฉินผู้เฒ่าสะอึก นี่มาตรวจชีพจรให้นาง หรือมาทำให้นางโกรธกันแน่