คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 371 ใครเห็นใครก็รัก นกเห็นนกอึใส่

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 371 ใครเห็นใครก็รัก นกเห็นนกอึใส่

เมื่อเดินออกมาจากถนนสายยาว สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือหุบเขา มีบ้านไม้หลายหลังตั้งอยู่ในหุบเขาอย่างเป็นระเบียบ ตรงจุดสูงที่สุดมีสิ่งก่อสร้างหลังคาสีทอง เมื่อแสงแดดส่องกระทบจึงสะท้อนแสงสีทองแวววาว บนยอดเขาไกลๆ มีน้ำตกขนาดเล็ก มีน้ำสาดกระเซ็น ไอน้ำลอยขึ้นมาและมีสายรุ้งพาดผ่าน ล้อมรอบด้วยเมฆหมอกที่กำลังจะสลายไปในยามเช้า วิวทิวทัศน์นี้ราวกับแดนสวรรค์

ในหุบเขาไม่ได้มีผู้คนเดินไปมา ที่นี่ราวกับเป็นแดนสวรรค์ที่ถูกลืม เงียบสงบมานับร้อยปี ราวกับว่าพึ่งต้อนรับแขกเป็นครั้งแรก มีนกฝูงหนึ่งส่งเสียงร้องบินไปมาบนหุบเขา

จิ๊บ จิ๊บ จิ๊บ

ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว มีบางอย่างบินย้อนลำแสงมาหานาง ลากหางยาวมาพร้อมสีสันสดใส

เมื่อนกบินเข้ามาใกล้ จึงได้เห็นชัดเจนว่าเป็นนกห้าสี มีขนหลากสีทั่วทั้งตัว จงอยปากแหลมสีแดง ดวงตาคู่นั้นสว่างราวกับอัญมณี สามารถสะท้อนภาพเงาของคนได้

นกห้าสีบินวนรอบตัวฉินหลิวซีไปมา ส่งเสียงร้องดังกังวานราวกับกำลังต้อนรับการมาของนาง สุดท้ายก็ไปหยุดอยู่บนไหล่ของฉินหลิวซีอย่างกล้าหาญ นางหันไปมองมัน

หัวหน้าเผ่าผู้เฒ่าเห็นแล้วก็ตื่นเต้นยิ่งกว่า กล่าวว่า “นี่คือนกห้าสีซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธ์ของตระกูลพ่อมดของพวกเรา มีสีสันหลากสี ปกติพบเห็นได้ยาก แต่เมื่อท่านมามันก็ปรากฏตัวทันที ต้องการต้อนรับการมาของท่านเป็นแน่”

ซือเหลิ่งเย่ว์ก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก เอ่ย “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ข้าพึ่งได้เห็นมันเพียงแค่สามครั้งเอง ล้วนเป็นตอนที่จัดพิธีบวงสรวงใหญ่ของตระกูล”

ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “เห็นได้ชัดว่าข้าเป็นคนที่ใครเห็นใครก็รัก เป็นคนที่นกเห็นนกก็…”

แผละ

คำพูดของฉินหลิวซีหยุดชะงัก มองไปยังไหล่ของตัวเอง มูลนกสดๆ ไหลลงมา สีหน้ามืดครึ้มทันที

ซือเหลิ่งเย่ว์ปิดปากกลั้นหัวเราะ

หัวหน้าเผ่าผู้เฒ่าและคนอื่นๆ “…”

รู้สึกอายเล็กน้อย

ฉินหลิวซีจ้องไปยังนกห้าสีที่ดูไร้เดียงสา เอ่ยอย่างขบขันว่า “ข้าคิดว่าตุ๋นมันกินด้วยรากโสมของปีศาจโสมน้อยจะช่วยยืดอายุขัยได้อย่างแน่นอน”

นกห้าสีตื่นตระหนก ‘ข้าเพียงแค่ตื่นเต้นมาจนกลั้นดอกเบญจมาศไว้ไม่ไหว ต้องทำขนาดนี้เลยหรือ’

เมื่อเห็นว่าฉินหลิวซียื่นกรงเล็บออกมา มันตกใจจนกระพือปีกสวยงามบินหนีไป

หัวหน้าเผ่าผู้เฒ่าค้ำไม้เท้าเดินไปข้างหน้า เอ่ย “ท่านอาจารย์ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าให้สะอาดก่อนดีหรือไม่”

ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยอีกว่า “ข้าก็มีที่พักอยู่ในหุบเขาเช่นกัน ทิ้งเสื้อผ้าเอาไว้อยู่สองสามตัว ไปล้างตัวแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าที่นั่นดีหรือไม่”

“ไม่ต้องหรอก” ฉินหลิวซีหยิบยันต์ออกมาจากแขนเสื้อ วาดยันต์กำจัดสิ่งสกปรกลงไปแล้วเผายันต์ มูลนกสดบนตัวของนางได้หายไปแล้ว เสื้อผ้าก็สะอาดราวกับผ่านการซักมาแล้ว

เมื่อทุกคนเห็นก็ตาเป็นประกาย สายตาที่มองฉินหลิวซีก็แฝงไว้ด้วยความยำเกรงมากขึ้น

ในตระกูลซือไม่มีใครฝึกพลังพ่อมดแล้ว ศิษย์คนอื่นๆ ต่างก็แยกย้ายกันไป ดังนั้นคนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านจึงไม่เคยเห็นพลังวิเศษเช่นนี้มาก่อน

มีเพียงหัวหน้าเผ่าผู้เฒ่าเท่านั้นที่ในใจเริ่มรู้สึกมั่นคงมากขึ้น ฉินหลิวซีเป็นคนมีความสามารถ จะต้องเป็นผู้มีบารมีที่เทพธิดาบอกว่าสามารถทำลายคำสาปเลือดได้อย่างแน่นอน

กลุ่มคนเดินขึ้นไปข้างบนต่อ

ซือเหลิ่งเย่ว์แนะนำกับฉินหลิวซีว่าสิ่งก่อสร้างหลังคาทองนี้เป็นวิหารศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพ่อมด นอกจากนี้ยังมีอารามศักดิ์สิทธิ์อยู่ด้านหลังวิหาร เป็นสถานที่บูชาบรรพบุรุษและลูกศิษย์สายตรงของเผ่าแม่มด

ในหุบเขามีแท่นบูชาศักดิ์สิทธิ์ อยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า ซึ่งหมายถึงการได้ใกล้กับท้องฟ้ามากยิ่งขึ้น

ฉินหลิวซีมองเข้าไปในหุบเขา เอ่ย “ยังมีรัศมีสีทองจางๆ ในหุบเขา คงจะเป็นค่ายกลเวทมนตร์ที่ได้ได้รับการรักษาโดยพลังพ่อมดจากบรรพบุรุษของพวกเจ้ากระมัง”

ซือเหลิ่งเย่ว์ “ปิดบังตาทิพย์ของเจ้าไม่ได้จริงๆ ด้วย”

ฉินหลิวซีเอ่ย “รัศมีมงคลสีทองนี้จางลงมากแล้ว ถ้ามันหายไป…”

ซือเหลิ่งเย่ว์เข้าใจความหมายของนาง หากมันหายไป ตระกูลซือจะไม่ได้รับการคุ้มครอง ไม่เพียงแต่ไร้ผู้สืบทอด แต่ทุกสิ่งที่เป็นของพวกเขาก็จะพังทลายไปด้วย

“หากเป็นเช่นนั้น นั่นก็เป็นชะตากรรมของเผ่าข้า”

พิธีบวงสรวงของตระกูลซือ จะมีการบวงสรวงใหญ่ในทุกๆ สิบปี แต่ปีนี้เป็นเพียงการบวงสรวงเล็กๆ ไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับการบวงสรวงใหญ่ แต่ก็จัดเตรียมอย่างครบครันและถี่ถ้วน

เมื่อไปถึงจัตุรัสขนาดเล็กหน้าวิหารศักดิ์สิทธิ์ มีคนอยู่จำนวนไม่น้อย ล้วนเป็นผู้ดูแลหุบเขา บางคนก็มาจากหมู่บ้าน มีบุรุษที่เป็นหัวหน้าครอบครัวอีกด้วย ขอเพียงแค่เต็มใจก็จะสามารถเข้ามาใช้ชีวิตยามชราและดูแลหุบเขาได้ แต่หลังจากที่เข้าไปในหุบเขาแล้วจะไม่สามารถออกจากหุบเขาได้ นอกจากจะได้รับความยินยอมจากหัวหน้าตระกูลและหัวหน้าเผ่าผู้เฒ่า

หากมีบุรุษที่ไม่ยินยอม ก็ยังสามารถใช้ชีวิตยามชราอยู่ในโลกมนุษย์ได้ บุรุษที่ดูแลหุบเขาในตอนนี้ ผู้ที่อายุมากที่สุดมีอายุได้เจ็ดสิบปีแล้ว นับเป็นปู่ทวดของซือเหลิ่งเย่ว์

ทุกคนมองการมาถึงของฉินหลิวซีด้วยสายตาร้อนระอุ นี่คือผู้มีบารมีที่เทพธิดาทำนายไว้ว่าจะสามารถดึงตระกูลซือออกจากคำสาปเลือดที่มีมาร้อยปีได้

ซือเหลิ่งเย่ว์หารือเรื่องพิธีบวงสรวงกับทุกคน ส่วนฉินหลิวซีเดินเข้าไปในวิหารศักดิ์สิทธิ์ การตกแต่งภายในไม่ได้หรูหรา แต่กลับเรียบง่ายและเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก ยึดถือโครงสร้างท้องฟ้าเป็นทรงกลมและพื้นดินเป็นสี่เหลี่ยม[1] แกะสลักด้วยภาพวาดอันประณีตที่พ่อมดแม่มดกำลังปราบวิญญาณชั่วร้าย มีไข่มุกขนาดเท่ากำปั้นอยู่ตรงกลาง บริเวณผนังก็เป็นภาพจิตรกรรม ฉินหลิวซีมองไปจากทางด้านซ้ายทีละภาพพลางหรี่ตาลง

เผ่าพ่อมดมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เรื่องราวต่อเนื่องในวิหารศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นประวัติความเป็นมาของพ่อมดขาวตระกูลซือ

ฉินหลิวซีมองดูไปทีละเล็กทีละน้อย ปะติดปะต่อเรื่องราวจากฉากต่างๆ ในภาพวาด และได้ปะติดปะต่อประวัติศาสตร์ที่สมบูรณ์ของพ่อมดตระกูลซือ ตั้งแต่ต้นกำเนิดไปจนถึงการเสื่อมถอย และการสนับสนุนของสตรีแต่ละรุ่น จากนั้นก็จบลงอย่างกะทันหัน

“หากข้าสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ข้าจะเติมเต็มส่วนตรงนี้อย่างแน่นอน” ไม่รู้ว่าซือเหลิ่งเย่ว์มายืนอยู่ข้างๆ ฉินหลิวซีตั้งแต่เมื่อใด นางชี้ไปยังกำแพงที่ยังไม่ได้มีการวาดต่อ เอ่ย “เริ่มจากที่นี่ ลุกขึ้นมาอีกครั้ง”

ฉินหลิวซีเลิกคิ้วพลางยิ้มแล้วเอ่ย “หากข้ามีส่วนช่วยเหลือ อย่าลืมวาดข้าให้ดูดีด้วย”

ซือเหลิ่งเย่ว์หัวเราะ “ได้สิ”

นางนำฉินหลิวซีไปที่ใจกลางของวิหารศักดิ์สิทธิ์ ยกมือทั้งสองข้างขึ้นคำนับตามธรรมเนียมของนาง ผายมือไปยังรูปปั้นนั้นแล้วเอ่ย “นี่คือซือชิ่งเทพธิดาของเผ่าข้า”

ฉินหลิวซีหันไปมอง กล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “เหตุใดจึงคล้ายกับเจ้าเช่นนี้”

“พวกเขาต่างก็บอกว่าข้าเป็นเทพธิดากลับชาติมาเกิด” ซือเหลิ่งเย่ว์หยิบไม้จันทร์มาจุด ยกขึ้นมาไว้หน้าหว่างคิ้วแล้วโค้งคำนับสามครั้ง จากนั้นก็ปักไว้ในกระถางธูป มองดูรูปปั้นอันวิจิตรงดงามพลางเอ่ย“กลับมาเกิดใหม่หรือไม่ข้าไม่รู้ แต่หากใช่ เช่นนั้นนางต้องมีความสามารถแค่ไหนที่สามารถทำนายได้ว่าข้าจะได้พบกับเจ้า แต่คนเช่นนี้กลับเสียชีวิตด้วยคำสาปเลือด”

“มิน่าล่ะข้าเห็นสายตาที่หัวหน้าเผ่าผู้เฒ่ามองเจ้า มักจะมีร่องรอยของอารมณ์ซับซ้อนอย่างไม่ทราบสาเหตุอยู่เสมอ ทั้งคิดถึง ทั้งรักและปวดใจ ราวกับว่าเห็นใครบางคนผ่านตัวเจ้า ที่แท้ก็เป็นเพราะนาง”

ซือเหลิ่งเย่ว์ยิ้มเล็กน้อย “เขาถูกเลี้ยงดูโดยเทพธิดาตั้งแต่อายุได้สามขวบ มีความเคารพเทพธิดาดั่งมารดา จนกระทั่งนางเสียชีวิตเขาก็ไม่เคยจากนางไปไหน ความรู้สึกที่มีต่อเทพธิดาย่อมผูกพันไม่ธรรมดา”

ฉินหลิวซีเข้าใจว่าสำหรับหัวหน้าเผ่าผู้เฒ่าแล้ว เทพธิดาก็เป็นเหมือนมารดาของเขา และยิ่งไปกว่านั้นคือเป็นความศรัทธาเดียวของเขาด้วยกระมัง

การที่เขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้จนอายุปูนนี้ เป็นไปได้ว่าเป็นเพราะมีความศรัทธานี้คอยสนับสนุนหรือไม่

“นายท่าน ได้เวลาไปทำพิธีบวงสรวงที่วัดศักดิ์สิทธิ์แล้ว” อูซังเดินเข้ามาพลางกล่าวด้วยความเคารพ

ซือเหลิ่งเย่ว์เอ่ยกับฉินหลิวซีว่า “อารามศักดิ์สิทธิ์ไม่อนุญาติให้คนนอกเข้าไป ข้าไปครู่เดียวเดี๋ยวกลับมา หลังจากทำพิธีบวงสรวงแล้วข้าจะพาเจ้าไปดูจดหมายที่เทพธิดาทิ้งไว้ สิ่งที่วางไว้ในตู้นั้นเป็นบันทึกประวัติศาสตร์ของเผ่าข้า เจ้าสามารถลองอ่านเองได้”

ฉินหลิวซียิ้มพลางกล่าวตอบรับ

[1] คนจีนมีความเชื่อว่าท้องนภา มีลักษณะเป็นทรงกลม แต่เท้าที่เราเหยียบอยู่นั้นคือ ปฐพี มีลักษณะเป็นทรงเหลี่ยม

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท