ตอนที่ 373 ค้นหาสิ่งนำพาเลือด
หลายวันต่อมา ฉินหลิวซีกับซือเหลิ่งเย่ว์ได้อ่านจดหมายเหตุภายในเผ่าเกี่ยวกับพ่อมดศักดิ์สิทธิ์ซือหลิง บวกกับคำบอกเล่าของหัวหน้าเผ่าผู้เฒ่า ค้นหาทีละเล็กทีละน้อย จนในที่สุดก็ได้พบเบาะแสบางอย่าง
ทั้งสองคนไม่รอช้า ไปเอ่ยลาหัวหน้าเผ่าผู้เฒ่า จากนั้นก็ไปสถานที่จริงที่กงเซียนฮู่ทำการสังเวย
อดีตที่ตั้งแท้จริงของวิหารศักดิ์สิทธิ์ของแม่มดดำ
ใช่แล้ว โบราณสถานนั้นเคยเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ก่อนที่แม่มดดำจะก่อตั้งขึ้นมา ซึ่งไม่ได้เป็นวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่นิยมนักเวลาต่อมา และตอนนี้ก็กลายเป็นซากปรักหักพัง เต็มไปด้วยวัชพืช รกร้างไร้ซึ่งร่องรอยของผู้คน เป็นสถานที่ที่แม้แต่นกก็ไม่เข้าใกล้
ฉินหลิวซีเปิดดวงตาสวรรค์ จ้องมองไปยังอาคารร้างที่ด้านล่างหุบเขา เอ่ย “บางทีพวกเราอาจจะมาถูกที่แล้วจริงๆ”
“หมายความว่าอย่างไร” ซือเหลิ่งเย่ว์กอดอก ที่นี่ค่อนข้างเย็นยะเยือกจนนางรู้สึกไม่สบายตัว
ฉินหลิวซีเอ่ย “ข้างใต้นั้น พลังชั่วร้ายหนาแน่นราวกับหมึก”
หากไม่มีสิ่งใดอยู่ข้างใต้ ก็คงไม่มีความชั่วร้ายและความขุ่นเคืองที่รุนแรงเช่นนี้
ซือเหลิ่งเย่ว์มองลงไป เห็นเพียงซากปรักหักพัง พวกพลังชั่วร้ายอะไรเหล่านั้นนางมองไม่เห็น แต่นางรู้สึกแสบดวงตาทั้งสองข้าง อดหลับตาไม่ได้
“เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะลงไปดู” ฉินหลิวซีให้นางรออยู่ที่เดิม
ซือเหลิ่งเย่ว์ดึงแขนเสื้อนาง ส่ายหน้าพลางเอ่ย “ไม่ได้ เดิมทีนี่เป็นการหาเบาะแสเรื่องคำสาปเลือดตระกูลซือของพวกเรา จะปล่อยให้เจ้าไปเสี่ยงอันตรายเพียงลำพังได้อย่างไร ไปด้วยกันเถิด”
ฉินหลิวซีได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มพลางพยักหน้า เสกคาถาบนตัวของนางเงียบๆ แล้วเดินลงไปพร้อมกัน
ยิ่งเข้าใกล้วิหารร้างมาขึ้นเท่าไหร่ ซือเหลิ่งเย่ว์ก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดและไม่สบายมากขึ้นเท่านั้น เลือดในร่างกายเหมือนกับกำลังเดือดพล่าน ราวกับเข็มเย็นทิ่มแทงแขนขาและกระดูก ความรู้สึกเย็นเฉียบที่ทิ่มแทงทำให้นางหนาวจนฟันกระทบกันและตัวสั่นเทา
ทันใดนั้นฉินหลิวซีก็จับมือของนาง ความอบอุ่นแผ่กระจายออกมาจากมือของฉินหลิวซี
ซือเหลิ่งเย่ว์ยิ้มด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง
ทั้งสองคนจูงกันเดินขึ้นไปยังวิหารร้างแห่งนั้น เป็นวิหารที่สร้างขึ้นมาจากหินและไม้ ซึ่งหากเทียบกับวิหารใหม่อันงดงามทางด้านหลัง วิหารนี้ก็ดูค่อนข้างทรุดโทรม
แต่ด้านบนก็มีภาพแกะสลักแม่มดดำอยู่ไม่น้อย เช่นแม่มดที่มีงูพันบนตัว มีฟันและกรงเล็บ มีเสน่ห์และพลังชั่วร้าย
“ซีซี ข้ารู้สึกไม่สบายมาก” ซือเหลิ่งเย่ว์ขมวดคิ้ว ใบหน้าซีดขาว
เมื่อเข้าใกล้สถานที่นี้ นางก็รู้สึกว่าตนหายใจลำบาก ราวกับว่านางถูกบีบคอไว้ หายใจไม่สะดวก
“เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน” ฉินหลิวซีเห็นสีหน้าของนางดูแย่มากจริงๆ จึงอดรู้สึกกังวลไม่ได้
ซือเหลิ่งเย่ว์สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ย “ไปด้วยกันเถิด หากข้าอยู่ที่นี่คนเดียวแล้วเกิดอะไรขึ้น เจ้าอาจจะช่วยเหลือได้ไม่ทันการ มีกันสองคนก็จะได้ดูแลซึ่งกันและกันได้”
ฉินหลิวซีคิดอยู่ครู่หนึ่ง เป็นเช่นนั้นจริงๆ
นางแตะไปที่ลูกปัดทองคำบนข้อมือของซือเหลิ่งเย่ว์ เมื่อเห็นแสงสีทองสว่างวาบขึ้นมาครู่หนึ่ง ซือเหลิ่งเย่ว์ก็รู้สึกเบาสบายขึ้นมาเล็กน้อย อดมองลูกปัดทองคำบนข้อมือไม่ได้
“ข้าได้เพิ่มพลังส่วนหนึ่งแก่เครื่องรางนี้ เจ้าจะรู้สึกดีขึ้น” ฉินหลิวซีกล่าว
พลังชั่วร้ายที่นี่รุนแรงเช่นนี้ หากไม่สวมเครื่องรางป้องกันไว้คงกลายเป็นบ้าไปนานแล้ว ซือเหลิ่งเย่ว์รู้สึกไม่สบายอย่างมากแต่ก็ยังไม่เป็นไร อย่างแรกเป็นเพราะจิตใจของนาง อย่างที่สองเป็นเพราะได้รับการคุ้มครองจากฉินหลิวซี
แต่นางก็ยังคงรู้สึกไม่สบาย คาดว่าเป็นผลกระทบจากคำสาปเลือดที่อยู่ในสายเลือดของนาง
ฉินหลิวซีเงยหน้าขึ้นมองแผ่นป้ายที่ห้อยอยู่ราวกับจะตกลงมา เขียนไว้ว่า ‘วิหารศักดิ์สิทธิ์ดำ’ จากนั้นก็สำรวจมองบริเวณรอบๆ
“เจ้ามองอะไรหรือ”
“หากเด็กคนนั้นบังเอิญบุกเข้ามาเห็นกงเซียนฮู่ทำการสังเวย เช่นนั้นก็คงจะอยู่ข้างนอก ข้ากำลังดูว่าค่ายกลนี้อยู่ที่ไหน”
ซือเหลิ่งเย่ว์ได้ยินดังนั้นจึงมองไปรอบๆ แต่ลักษณะภูมิประเทศที่นี่เป็นหุบเขา ล้วนเป็นเนินสูงต่ำ ไม่มีพื้นที่ราบเรียบ
“ข้ารู้สึกว่าที่นี่ไม่สบายตัวมากที่สุด” นางมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นอะไร ดังนั้นจึงทำได้เพียงอดทนกับความรู้สึกไม่สบายแล้วเอ่ยบอกฉินหลิวซีว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร
ฉินหลิวซีเองก็มองไม่เห็นสิ่งผิดปกติ เมื่อครู่นางกวาดมองจากข้างบนลงไปถึงข้างล่างแล้ว พลังงานชั่วร้ายที่นี่รุนแรงมากที่สุด แม้ว่าพลังชั่วร้ายนี้เกือบจะรวมเข้ากับสิ่งปลูกสร้างสีดำที่ทรุดโทรมแห่งนี้แล้วก็ตาม
นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขย่งปลายเท้าแล้วกระโดดต่อกันสองครั้ง จนขึ้นไปถึงบนจุดสูงสุดของวิหารศักดิ์สิทธิ์ดำ ก่อนจะหลับตาลงเล็กน้อยแล้วมองลงไปข้างล่าง
ซือเหลิ่งเย่ว์มองดูนางอยู่ตลอด ตอนที่ฉินหลิวซีมองลงมา นางเห็นแสงสีทองสาดส่องออกมาจากดวงตาของฉินหลิวซี
ฉินหลิวซีมองลงไปยังตัววิหารที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ในที่สุดก็เห็นสิ่งผิดปกติ สิ่งปลูกสร้างหลังนี้ไม่ได้สร้างขึ้นมาสุ่มสี่สุ่มห้า แม้ว่าจะได้รับความเสียหาย แต่เมื่อซ่อมแซมพื้นที่ที่เสียหายแล้ว แผนภาพรูปแบบที่สมบูรณ์ก็ผุดขึ้นมาในหัว
สิ่งปลูกสร้างนั้นมีค่ายกลหยินซ่อนอยู่
ดวงตาของฉินหลิวซีเต็มไปด้วยความสนใจ แม่มดดำนับว่าไม่ธรรมดาเลย
ในใต้หล้าตั้งแต่ท้องนภายันปฐพี มีงูเป็นใหญ่
นางนึกถึงบันทึกที่ได้เห็นเมื่อก่อนหน้านี้ แม่มดดำตระกูลนี้นับถืองูเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์
ฐานค่ายกลเป็นงูขดตัว ดวงตาค่ายกลเป็นงูพันเสา ส่วนหัวใจค่ายกล…
ฉินหลิวซีกระโดดลงมาจากหลังคา เดินเข้าไปในวิหารศักดิ์สิทธิ์ดำ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็สะดุ้งตกใจ พญางูยักษ์กำลังจ้องมาที่นาง
ดวงตางูคู่นั้นแผ่กระจายความขุ่นเคืองอันชั่วร้ายอยู่ตลอดเวลา
“โอ๊ย”
ซือเหลิ่งเย่ว์กดหัวใจที่เต้นแรงไม่หยุด นั่งคุกเข่าลงบนพื้น ใบหน้าแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวด อดกำลูกประคำแล้วหลับตาลงไม่ได้
ฉินหลิวซีเห็นดังนั้นก็ไม่อาจรอช้า มองหาพื้นที่ที่สามารถเหยียบได้ในวิหารเพื่อกระโดดขึ้นไปบนโดม เอาตะขอทองคำเกี่ยวคานที่ห้อยอยู่ เหยียดตัวตรง แล้วยื่นมือไปที่ดวงตาของงู
พลังชั่วร้ายที่รุนแรงไปถึงกระดูกได้พันรอบแขนของนางแล้วลงไปยังลำตัว ฉินหลิวซีท่องคาถา ไฟนรกผุดขึ้นมาจากปลายนิ้วของนาง พลังชั่วร้ายจางหายไปทันทีราวกับงูเลื้อยหนีไป ดูเหมือนว่ามีเสียงกรีดร้องดังขึ้นข้างใบหูของนาง
ตุบ
ซือเหลิ่งเย่ว์ล้มลงบนพื้น
ฉินหลิวซีตกใจ ไม่มีเวลาให้คิดมาก คว้าไปที่ดวงตาของงู มีบางอย่างถูกนางดึงออกมา
ฉินหลิวซีไม่มีเวลามาสนใจดูสิ่งของในมือ วางมันไว้ข้างๆ แล้วไปพยุงซือเหลิ่งเย่ว์ก่อน “เสี่ยวเย่ว์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
สังเกตเห็นว่าตัวนางเย็นเฉียบไปทั้งร่างกายจึงถ่ายทอดพลังภายในบางส่วนให้ และเขย่าลูกประคำในมือของนาง
ซือเหลิ่งเย่ว์ลืมตาขึ้น ริมฝีปากซีด เอ่ยอย่างอ่อนแรงว่า “ข้าไม่เป็นไร”
สวรรค์รับรู้ เมื่อครู่มีอยู่พักหนึ่งที่นางคิดว่าตัวเองกำลังถูกบางอย่างแผดเผา
เมื่อฉินหลิวซีเห็นว่านางดีขึ้นแล้ว จึงได้หันไปมองสิ่งที่ห่อด้วยผ้าสีดำบนพื้น
ซือเหลิ่งเย่ว์ก็หันไปมองเช่นกัน แต่ในใจกลับเกิดความรู้สึกต่อต้าน รู้สึกว่าของสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งดีเป็นอย่างมาก
ฉินหลิวซีถอดเครื่องรางน้ำเต้าหยกป้องกันตัวออกแล้วให้ซือเหลิ่งเย่ว์ถือไว้ จากนั้นก็เปิดผ้าสีดำออก เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน
เฮือก
ทั้งสองคนแทบจะถอยหลัง
ในผ้าสีดำมีลูกกรอกสีดำสนิท เปล่งพลังความชั่วร้ายและความขุ่นเคือง
สิ่งที่ทำให้ทั้งสองคนประหลาดใจก็คือไม่รู้ว่าลูกกรอกนี้ใช้อะไรรักษาไว้จึงไม่เน่าเปื่อยเลยแม้แต่นิด ทั้งใบหน้า มือและเท้าต่างอยู่ครบ เป็นศพแห้งของทารกชาย
ฉินหลิวซีเอ่ย “ผีน้อยตนนั้นไม่ได้คุยโม้ สิ่งที่เขาเห็นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงที่นี่ กงเซียนฮู่ผู้นี้ใช้วิธีที่โหดร้ายที่สุดในการสาปแช่งให้ตระกูลซือถูกคำสาปเลือดกัดกินไปตลอดชั่วกัปชั่วกัลป์ ไม่มีวันสงบสุข”
ซือเหลิ่งเย่ว์จ้องมองไปยังลูกกรอกสีดำสนิท ราวกับได้เห็นเหตุการณ์นั้นเมื่อร้อยปีก่อน คนผู้นั้นใช้ลูกกรอกเป็นสิ่งนำพา ใช้เลือดเป็นสื่อ และใช้วิญญาณเป็นเครื่องสังเวย กล่าวคำสาปแช่งด้วยแรงอาฆาต เสียงสะท้อนดังขึ้นมาข้างหู น่าตกใจจนขวัญผวา
นางรู้สึกกระอักกระอ่วน จากนั้นก็กระอักเลือดออกมา