ตอนที่ 378 เดิมพันชีวิต
ไฟนรกแผดเผา
คำพูดนี้ทำให้คนหวาดหวั่น
ฉินหลิวซีมองไปยังซือเหลิ่งเย่ว์อย่างไม่รู้ตัว นางสีหน้าสับสน หลังจากที่คิดจนเข้าใจแล้วก็ขมวดคิ้ว
“วิธีนี้โหดร้ายเกินไป แม้ว่าท่านพ่อของข้าจะรู้แต่ก็ไม่กล้าบอกใคร ไฟนรกสามารถแผดเผาสรรพสิ่ง คนธรรมดาจะต้านทานไหวได้อย่างไร” อูหยางถอนหายใจ “ต่อให้เป็นคนที่จิตใจเข้มแข็งเป็นพิเศษ แล้วจะหาไฟนรกมาจากที่ไหนได้ ท่านพ่อของข้าเคยทำนายไว้ว่าหากคำสาปนี้จะถูกแก้ไขได้ ทำได้เพียงแค่รอพบโอกาสของชีวิตอันริบหรี่บนถนนอันยาวเหยียด”
ซือเหลิ่งเย่ว์ใจเต้นรัว มองไปยังฉินหลิวซี โอกาสของชีวิตอยู่ที่นาง
ฉินหลิวซีหลับตาลง ทันใดนั้นก็มีความคิดเข้ามาในหัว มองไปยังสิ่งชั่วร้ายที่ปกคลุมไปด้วยอักขระ เกิดความคิดขึ้นในใจ ดีดไฟนรกเล็กๆ ที่ปลายนิ้วออกไป
อูหยางเบิกตาโต อยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ซือเหลิ่งเย่ว์กลับกรีดร้องอย่างทรมานแล้วล้มลงกับพื้น
ฉินหลิวซีรีบดับไฟทันที พยุงนางลุกขึ้น สองนิ้วกดลงบนชีพจรที่ข้อมือของนาง มองดูสีหน้านางอย่างละเอียด
นี่พึ่งจะเริ่มได้เพียงครู่เดียว ซือเหลิ่งเย่ว์ก็สีหน้าซีดแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีกลิ่นไหม้ออกมาจากร่างกายของนาง
ที่แท้ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
หากต้องการแก้ไขคำสาป ผู้ที่ถูกสาปไม่ได้ถูกไฟนรกแผดเผาโดยตรง แต่เป็นการเผาสิ่งนำพาเลือด ซึ่งผู้ที่ถูกสาปย่อมรู้สึกเช่นเดียวกัน เพราะว่ามีสายสัมพันธ์ต่อกัน
หากสามารถรอดจากความเจ็บปวดทรมานที่แผดเผาร่างกายได้ บาปกรรมทั้งหมดก็จะถูกลบล้างหมดสิ้น และได้เกิดใหม่อีกครั้ง แต่หากทนไม่ได้ก็จะตายและจิตวิญญาณดับสลายไป
ซือเหลิ่งเย่ว์สั่นไปทั้งตัว
“ชั่วร้ายเกินไปแล้ว เกรงว่ากงเซียนฮู่จะไม่ใช่เพียงปีศาจร้ายที่ก่อความวุ่นวาย เหตุใดนางจึงได้คิดวิธีชั่วร้ายเช่นนี้ออกมาได้” ฉินหลิวซีพยุงซือเหลิ่งเย่ว์ อยากจะพลิกแผ่นดินเอากงเซียนฮู่มาทุบตีให้สาสมใจ
คำสาปไม่มีวันสิ้นสุด การแก้คำสาปนั้นยากราวกับเดิมพันชีวิต
“ข้ารู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้ว” ซือเหลิ่งเย่ว์ตบมือนางเบาๆ แม้จะยังหายใจติดขัด
เมื่ออูหยางได้สติกลับมา เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “สหายเต๋าฉิน ไฟเมื่อครู่นี้คือ?”
ฉินหลิวซีเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูแย่ยิ่งกว่าตอนร้องไห้ “เป็นดั่งที่ท่านเห็น เป็นไฟนรก”
“เป็นไปได้อย่างไร!” อูหยางมีสีหน้าตกตะลึงมองสำรวจนาง พยายามระงับความคิดที่จะทำนายดวงชะตา
เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่อยู่ตรงหน้าอายุเพียงสิบกว่าปี จะมีไฟแห่งนรกติดตัวได้อย่างไร แม้ว่านางจะมีพรสวรรค์ แต่ก็เป็นแค่คนธรรมดา ไม่ว่าจะฝึกบำเพ็ญลึกล้ำแค่ไหนก็ไม่มีทางฝึกบำเพ็ญจนมีไฟนรกนี้ได้ อย่างไรเสียนั่นก็เป็นไฟแห่งนรก
คนธรรมดาจะมีไฟนรกติดตัวได้อย่างไร
อูหยางรูม่านตาหดลง
ฉินหลิวซีเอ่ย “ขอหัวหน้าเผ่าได้โปรดลืมเรื่องเมื่อครู่นี้ด้วย อย่าได้เผยแพร่ออกไปข้างนอก”
อูหยางตกตะลึง รีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว สายตาที่มองไปยังฉินหลิวซีแฝงไว้ด้วยความยำเกรง หลังจากกลืนน้ำลายแล้วจึงเอ่ย “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านพ่อของข้าบอกว่ามีโอกาสรอดอันริบหรี่ ที่แท้โอกาสของชีวิตคือสหายเต๋าฉินนี่เอง”
“หัวหน้าเผ่า ท่านดูนางเถิด นี่นับเป็นโอกาสรอดที่ดีหรือ เมื่อครู่ข้าเพียงลองทดสอบดูเท่านั้น นางก็เป็นเช่นนี้แล้ว หากเผาสิ่งนำพาเลือดขึ้นมาจริงๆ ร่างเล็กๆ ของนางจะทนไหวหรือ” ฉินหลิวซีค่อนข้างเป็นกังวล
แม้แต่ผีเร่ร่อนที่ร้ายกาจที่สุดก็ยังกลัวไฟนรก การถูกเผาเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นเพียงการรับรู้ความรู้สึกเดียวกัน แต่ก็เป็นการแผดเผาร่างกายด้วยเปลวไฟอันดุเดือดจนเนื้อหนังขาดออกจากกันอย่างไม่ต้องสงสัย
หากทนไม่ไหว ไม่เพียงแต่จะตาย แม้แต่วิญญาณก็จะแตกสลายไปในโลกนี้
ดังนั้นการแก้คำสาปนี้ไม่สามารถสรุปผลได้อย่างง่ายๆ แต่ควรใช้ความระมัดระวัง
อูหยางมองไปยังซือเหลิ่งเย่ว์ที่สีหน้าซีดเซียว หัวใจเต้นรัวไม่หยุด
“ใช่แล้ว ท่านพ่อเคยบอกไว้ว่าวิธีนี้อันตรายเกินไป แม้ว่าจะเป็นการเดิมพันชีวิต แต่ก็มีโอกาสชนะไม่มาก”
ฉินหลิวซีถามว่า “สิ่งที่เรียกว่าการเกิดใหม่อีกครั้ง หัวหน้าเผ่า เช่นนั้นเปลี่ยนถ่ายเลือดทั้งร่างกายของนางจะได้หรือไม่”
แม้ว่าจะต้องเปลี่ยนถ่ายทั้งร่างกาย ตราบใดที่ยังเหลือลมหายใจ หรือกระทั่งเกือบก้าวเข้าสู่ความตาย นางก็ยังสามารถแย่งซือเหลิ่งเย่ว์กลับคืนมาจากเจ้าแห่งนรกได้
แต่นางจะทนต่อความทุกข์ทรมานจากการแผดเผาของไฟนรกซึ่งเทียบเท่ากับโทษประหารชีวิตได้หรือ
อูหยางส่ายหน้า “คำสาปแทรกซึมเข้าไปถึงกระดูก จะกำจัดได้อย่างไร”
ทั้งสามคนมองไปยังลูกกรอกที่ปกคลุมไปด้วยอักขระชั่วร้ายแล้วพากันขมวดคิ้ว
“แล้วการปลดปล่อยวิญญาณล่ะ” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อ “หากให้พระภิกษุผู้รู้แจ้งสวดมนต์ปลดปล่อยวิญญาณจากความทุกข์จะได้หรือไม่ ข้าจะใช้คาถาปราบสิ่งชั่วร้ายของลัทธิเต๋าด้วย”
อูหยางเอ่ย “คาดว่าสหายเต๋าฉินก็คงรู้ว่า เพื่อที่จะทำลายคำสาปนี้ ตระกูลซือก็ได้ลองใช้พลังเวทมนตร์ทุกชนิดจนหมด รวมไปถึงการพึ่งพุทธศาสนาและขอความช่วยเหลือจากลัทธิเต๋า แต่ก็ล้วนไม่เป็นไปตามความปรารถนา มีเพียงตำราโบราณม้วนนี้เท่านั้นที่สามารถลองดูได้”
ฉินหลิวซีอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่างอีก แต่ซือเหลิ่งเย่ว์ดึงนางไว้ เผยให้เห็นรอยยิ้มอันสงบนิ่ง เอ่ยว่า “ซีซี ไม่มีประโยชน์ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะสามารถกำจัดได้ เจ้าลืมคำทำนายของเทพธิดาเผ่าข้าไปแล้วหรือ”
ฉินหลิวซีเงียบไป
“นางได้ทำนายไว้นานแล้วว่าจะมีวันนี้ มิเช่นนั้นคงไม่ปล่อยให้เผ่าของข้ารออย่างทรมานมาหลายร้อยปีจนค่อยๆ ล้มหายไป นางใช้การฝึกบำเพ็ญทั้งหมดเปิดความลับสวรรค์จึงได้เห็นว่าเจ้าคือโอกาสรอดของเผ่าข้า และในความเป็นจริง วิธีที่ตำราโบราณบอกไว้ก็มีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้ไม่ใช่หรือ”
ผู้ที่มีไฟแห่งกรรมติดตัวในโลกนี้มีเพียงฉินหลิวซีคนเดียวเท่านั้น มีเพียงนางที่จะสามารถทำลายคำสาปเลือดนี้ได้ เพราะมีเพียงนางเท่านั้นที่มีไฟแห่งกรรม
ทั้งหมดนี้ล้วนได้ถูกกำหนดไว้นานแล้ว
ฉินหลิวซีเงียบไปพักใหญ่ เอ่ย “เสี่ยวเย่ว์ นี่มันเสี่ยงอันตรายเกินไป ลองคิดดูอีกครั้งเถิด พวกเรายังมีเวลาหาตำราโบราณเหล่านั้นอีก ไม่แน่อาจจะหาวิธีอื่นได้”
ซือเหลิ่งเย่ว์ยิ้มเล็กน้อย ฉินหลิวซีหลบสายตาด้วยความรู้สึกหดหู่เล็กน้อย ใช้ยันต์เหล่านั้นห่อสิ่งนำพาเลือดอีกครั้ง แล้วขอให้อูหยางร่ายคาถาปราบวิญญาณชั่วร้ายเพิ่มอีก
ฉินหลิวซีมองไปยังสิ่งชั่วร้ายที่ถูกห่อไว้อีกครั้ง มีอยู่วูบหนึ่งที่รู้สึกอยากจะเผามันด้วยไฟเพื่อบรรเทาความเกลียดชังในหัวใจ
แม่มดศักดิ์สิทธิ์ดำ โหดร้ายไม่เบาเลยจริงๆ
ตกกลางคืน ทั้งสองคนพักอยู่ในหมู่บ้านตระกูลอู
ฉินหลิวซีล้างหน้าล้างตาแล้วเดินออกมา เห็นซือเหลิ่งเย่ว์นั่งอยู่บนราวระเบียงขนาดเล็กของหอไม้ แสงจันทร์เยือกเย็น ทำให้เงาของนางดูโดดเดี่ยวเป็นพิเศษ
ฉินหลิวซีหยิบเสื้อคลุมที่อยู่ด้านข้าง เดินไปคลุมบนร่างกายนาง เอ่ย “เข้าสู่หน้าหนาวแล้ว ในหมู่บ้านนี้ก็คงจะหนาวยิ่งกว่า ไยเจ้าจึงมานั่งตากลมหนาวอยู่ตรงนี้เล่า”
ซือเหลิ่งเย่ว์สวมเสื้อคลุม เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าเห็นว่าคืนนี้พระจันทร์และดวงดาวสว่างไสว จึงมองดูอยู่พักหนึ่งจนลืมตัว”
มือทั้งสองข้างของฉินหลิวซีเท้าราวระเบียงไว้ เอียงศีรษะมองนาง ถามว่า “ยังคิดถึงวิธีแก้คำสาปนั้นอยู่หรือ”
“ซีซี นี่เป็นความหวังเดียวของเผ่าข้า” ซือเหลิ่งเย่ว์เอียงศีรษะมองนางเช่นกัน “ดังนั้นข้าอยากจะลองดู”
ฉินหลิวซีสีหน้าเปลี่ยนไป “วันนี้ตอนที่ข้าได้ลองทดสอบ เจ้าเองก็ได้ลิ้มรสความรู้สึกนั้นไปแล้ว เทียบได้กับโทษประหารชีวิต นั่นเป็นเพียงแค่ไฟเล็กๆ เท่านั้น หากใช้ไฟนรกเผาสิ่งนั้นจริงๆ มันไม่ได้ง่ายเหมือนไฟเล็กๆ เช่นนั้นแล้ว ไฟนรกแผดเผาทำให้อกสั่นขวัญผวาได้เลย”
“ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางปล่อยให้ข้าตาย” ซือเหลิ่งเย่ว์ยิ้ม “อีกอย่างเทพธิดาก็ได้ทำนายไว้ว่าเจ้าคือผู้มีบารมีที่สามารถช่วยเผ่าข้าให้พ้นจากภัยพิบัติได้ ตอนนี้เจ้าปรากฏตัวแล้ว ดังนั้นข้าจึงเชื่อนาง”
“หากนางผิดพลาดขึ้นมาล่ะ” ฉินหลิวซียิ้มอย่างขมขื่น “แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังไม่กล้าให้คำมั่นเลยว่าข้าจะไม่มีวันผิดพลาด เพราะพวกเราทุกคนเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น”
ซือเหลิ่งเย่ว์เงียบไป เอ่ย “ต่อให้ผิดพลาดแล้วอย่างไร ผู้บำเพ็ญเต๋าอย่างพวกเจ้ามักจะกล่าวเสมอว่าการบำเพ็ญเต๋าหมายถึงการต่อสู้และต่อต้านกับสวรรค์ คำพูดนี้ก็เหมาะสมกับคนทางโลกเช่นกัน ชีวิตในชาติหนึ่งต้องต่อสู้กับสวรรค์แล้วจะอย่างไร หากโชคดีก็จะได้เกิดใหม่อีกครั้ง แต่หากไม่มีโชคก็เพียงแค่ดับสลายไปในโลกนี้ก็เท่านั้น”
นางเอื้อมมือไปจับมือฉินหลิวซี “ข้ากล้าต่อสู้กับสวรรค์ แล้วเจ้าล่ะ”
ฉินหลิวซีตกตะลึง