คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 387 สิ่งที่เจ้ามีข้าก็มี

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 387 สิ่งที่เจ้ามีข้าก็มี

ที่จริงแล้วโจวหนิงไม่ได้อยากจะตามพี่ชายมารักษาที่ร้านค้าในตรอกซอกซอยแห่งนี้ นางไม่เคยยอมรับอาการป่วยของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินว่าร้านนี้มีความลี้ลับ และเปิดในสถานที่อย่างถนนแดงขาว ก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย

และพี่ชายก็ได้เล่าเกี่ยวกับวิชาอาคมของนักพรตนามว่าปู้ฉิวผู้นั้นให้ฟังอยู่ตลอด กระทั่งพานางไปจุดธูปบูชาที่อารามชิงผิง และได้รู้ถึงสิ่งที่อารามชิงผิงทำ

นางเคยพบหมอหรือกระทั่งหมอหลวงมาไม่น้อย แต่ไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับหมอเต๋ามาก่อน ขณะที่กำลังรู้สึกลังเลก็ถูกพี่ชายพามาที่นี่

โจวหนิงมองไปยังป้ายร้าน ‘เฟยฉางเต๋า’

ชื่อร้านนั่นแปลกมาก แต่ตัวอักษรที่สลักไว้นั้นดูสง่างาม อิสระ และทรงพลัง มีอักขระที่เข้าใจยากอยู่บนแผ่นป้าย ดูเหมือนกำลังกระโดดไปมา

โจวหนิงเหลือบมองเพียงครู่หนึ่ง จากนั้นก็ละสายตา รู้สึกถึงความสงบสุขในใจอย่างอธิบายไม่ถูก

โจวเวยก็มาที่นี่เป็นครั้งแรก เมื่อเห็นป้ายร้านก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แค่แผ่นป้ายนี้เพียงป้ายเดียวทำให้ร้านนี้แตกต่างจากร้านอื่นๆ เป็นเพราะกิจการที่ทำมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างนั้นหรือ

“ท่านผู้ประเสริฐมาที่นี่เพื่อขอรับการรักษาหรือ เชิญเข้ามาข้างในขอรับ” เฉินผียิ้มพลางเข้าไปต้อนรับ

เมื่อโจวเวยเห็นเด็กหนุ่มคนนี้ เขายังเด็กมาก ในใจคิดว่า ‘หรือว่าเขาจะเป็นเด็กที่เชี่ยวชาญด้านยาสมุนไพรหรืออะไรทำนองนั้น’

แต่เมื่อเดินเข้าไปในร้าน สายตาก็ไปตกอยู่ที่คนที่อยู่ในร้าน เปลือกตากระตุกเล็กน้อย รู้ว่าอาจารย์ปู้ฉิวผู้นั้นอายุไม่มาก แต่คนที่ทำงานในร้านนี้ก็ล้วนเป็นเด็กทั้งนั้น

จู่ๆ โจวเวยก็เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจว่าคนผู้นี้จะสามารถรักษาโรคของน้องสาวตนได้จริงๆ หรือไม่

โจวหนิงขมวดคิ้ว แทบอยากจะหันหลังแล้วเดินจากไป เพียงแต่การอบรมสั่งสอนที่ดีทำให้นางอดกลั้นไว้ได้

ฉินหลิวซีลุกขึ้นยืน หัวเราะเบาๆ “คุณชาย เราพบกันอีกแล้ว”

โจวเวยมองไปยังฉินหลิวซี ยกมือขึ้นคารวะพลางเอ่ย “ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าท่านอาจารย์คือผู้มีฝีมือจึงได้เสียมารยาทไป ขอท่านอาจารย์โปรดอภัยด้วย”

“คนที่เสียมารยาทคือผู้อื่น เจ้าไม่จำเป็นต้องรับผิดแทนคนตระกูลติง” ฉินหลิวซีโบกมือ มองไปยังโจวหนิง เอ่ย “หากแม่นางต้องการรักษา หากไม่ถือสา ล้างหน้าก่อนได้หรือไม่”

โจวหนิงตกตะลึง ขมวดคิ้วแน่นยิ่งกว่าเดิม เหตุใดต้องล้างหน้าก่อนทำการรักษาด้วย

โจวเวยก็ไม่เข้าใจเช่นกัน

ฉินหลิวซียิ้มพลางอธิบายว่า “หมอยึดหลักการมอง ดม ถาม สัมผัส ใบหน้าของแม่นางปกคลุมไปด้วยแป้งหนา ทำให้ข้าแยกแยะสีหน้าได้ยาก”

โจวหนิงได้ฟังดังนั้นก็ใบหน้าแดงก่ำ ก้มหน้าลง

เป็นเพราะโรคนี้ทำให้นางสีหน้าไม่สดใส เพื่อไม่ให้ผู้อื่นมองเห็นปัญหามากเกินไป นางจึงแต่หน้าหนาเพื่อปกปิดเอาไว้

แต่คิดไม่ถึงว่านักพรตเต๋าที่เรียกว่าหมอเต๋าผู้นี้จะขอให้นางดึงเกราะกำบังนี้ของตัวเองออกอย่างไม่ลังเล

“แม่นางไม่จำเป็นต้องกังวลหรือรู้สึกโกรธ ความงามอยู่ที่กระดูก ไม่ใช่ผิวหนัง ผิวหนังจะแก่ตามวัยในที่สุด แต่กระดูกมาจากภายใน ยิ่งกว่านั้น แม่นางเต็มไปด้วยกลิ่นอายของผู้รู้ตำรา กล่าวกันว่าในท้องมีตำราและบทกวี บุคลิกย่อมสง่างามด้วยตัวเอง เหตุใดจึงละเลยต่อสมบัติที่จะติดตัวไปจนตายเพียงเพราะเห็นแก่รูปลักษณ์ผิวเผินเท่านั้น” ฉินหลิวซีเอ่ย “แต่ก็เพียงแค่อาการป่วย เมื่อรักษาหายแล้ว ร่างกายก็จะดีขึ้น เหตุใดต้องปิดบังไว้เพราะสายตาของผู้อื่น”

คำพูดนี้ไม่เพียงแต่ทำให้โจวเวยประหลาดใจ แม้แต่โจวหนิงเองก็ราวกับได้รับแรงบันดาลใจจากคำพูดนี้ จมูกชาเล็กน้อย ยืดหลังตรงอย่างไม่รู้ตัว

นางเพียงแค่ป่วยเท่านั้น

“พี่ชาย ข้าขอตัวไปล้างหน้าก่อน” โจวหนิงกล่าว

โจวเวยยิ้มพลางพยักหน้า ให้ฉินซูสาวใช้ข้างกายนางตามไปด้วย

วั่นเช่อพาสองคนนายบ่าวเข้าไปล้างหน้าที่ห้องโถงด้านใน

โจวเวยถือโอกาสนั่งลงแล้วเอ่ย “ได้ยินมาว่าวิชาแพทย์ของท่านอาจารย์นั้นยอดเยี่ยมมาก ไม่ทราบว่าจะช่วยจับชีพจรแล้วเขียนใบสั่งยาพื้นฐานให้ข้าได้หรือไม่”

ค่าน้ำมันตะเกียงที่ได้มาเปล่าๆ หากปฏิเสธจะเป็นการไม่เคารพต่อเจ้าลัทธิเต๋า

ฉินหลิวซีให้เขายื่นข้อมือมา แล้ววางสองนิ้วลงไป ชายหนุ่มเลือดลมพลุ่งพล่าน มีกำลังวังชา ร่างกายแข็งแรงมาก

“คุณชายฝึกวรยุทธ์เป็นประจำใช่หรือไม่ ร่างกายนี้ได้รับการดูแลอย่างดี จิงของไต[1]เพียงพอ กล้ามเนื้อและกระดูกแข็งแรง และเลือดพลุ่งพล่าน” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อว่า “เพียงแต่พลุ่งพล่านมากเกินไป ไฟภายในค่อนข้างแรง ไม่ควรกินยา เพราะยาก็มีพิษสามส่วน ควรกินอาหารเป็นยาหรือน้ำแกงที่ช่วยดับไฟภายใน เช่นน้ำแกงเมล็ดบัวเชื่อม หรือน้ำแกงเนื้อไร้มันตุ๋นสาลี่หิมะและมะกอก”

นางเอ่ยพลางใช้พู่กันจุ่มหมึกแล้วเขียนใบสั่งยา “นี่เป็นตำรับยาสำหรับใช้อาบ สามารถเสริมร่างกายให้แข็งแรงได้ คุณชายสามารถแช่น้ำยาสมุนไพรเพื่อรักษาสุขภาพของท่านได้ ไม่จำเป็นต้องกินยา”

โจวเวยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย รับใบสั่งยามาดู กล่าวว่า “ท่านอาจารย์แตกต่างจากคนอื่นจริงๆ ด้วย”

หมอคนอื่นๆ แม้กระทั่งหมอหลวงในวังเมื่อจับชีพจรก็มักจะสั่งจ่ายยาพื้นฐานให้ทาน อย่างไรก็กินแล้วไม่เสียหาย แล้วก็ไม่ถึงตาย แต่เมื่อเป็นเขากลับสั่งจ่ายยาสำหรับอาบ

โจวหนิงล้างหน้าเสร็จแล้วเดินออกมา เป็นครั้งแรกที่นางหน้าสดต่อหน้าคนแปลกหน้าจึงรู้สึกทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย

เมื่อโจวเวยเห็นสีหน้าของนาง รอยยิ้มก็จางหายไป แววตาเผยให้เห็นเพียงความปวดใจ เดินเข้าไปช่วยพยุงนางนั่งลง เอ่ย “น้องสาวอย่ากลัวไปเลย พี่ใหญ่จะอยู่กับเจ้า”

โจวหนิงพยักหน้า มองไปยังฉินหลิวซี ฉินหลิวซีก็มองมาที่นางเช่นกัน ดวงตาของฉินหลิวซีสดใสชัดเจน ราวกับมองทะลุถึงใจคน ทำเอานางแทบจะหนีไปเพราะความวิตกกังวล

“แม่นางโปรดยื่นมือมา ข้าจะจับชีพจรให้เจ้า”

โจวหนิงไม่ได้ยื่นมือออกไป เมื่อเห็นว่ามีคนจำนวนมากในห้องโถง ใบหน้าของนางก็เริ่มร้อนขึ้น รู้สึกอายเล็กน้อย เอ่ยว่า “เปลี่ยนห้องได้หรือไม่”

ฉินหลิวซีได้คาดเดาไว้ในใจอยู่แล้ว เมื่อเห็นท่าทางนางเช่นนี้ก็เข้าใจอย่างชัดเจน จึงกล่าวว่า “เช่นนั้นเปลี่ยนไปที่ห้องโถงด้านในเถิด”

นางหยิบหมอนรองแล้วยืนขึ้น บอกเฉินผีกับเถิงเจาว่าไม่ต้องตามไป จากนั้นก็เดินเข้าไปห้องโถงด้านในแล้วเรียกวั่งชวนออกมา

โจวหนิงพาสาวใช้ส่วนตัวไปด้วยเพียงคนเดียว โจวเวยไม่วางใจจึงตามไปด้วย เมื่อเห็นเด็กน้อยที่เคยพบเมื่อก่อนหน้านี้วิ่งออกมาจากอีกห้องหนึ่งก็อดตกตะลึงไม่ได้

“นี่คือลูกศิษย์ข้า แม่นางจะรังเกียจหรือไม่หากข้าให้นางอยู่ฟังการวินิจฉัย” ฉินหลิวซีกล่าวกับโจวหนิงว่า “เจ้าวางใจได้ พวกเราก็มีจรรยาบรรณแพทย์ จะไม่เผยแพร่ข่าวลือเกี่ยวกับโรคของผู้ป่วยตามอำเภอใจ”

โจวหนิงแสดงท่าทางเข้าใจในคำพูดของฉินหลิวซี

โจวเวยก็อยากจะตามมาด้วย ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “คุณชาย ห้องเต๋านั้นสามารถเข้าไปฝึกบำเพ็ญเต๋าได้ ไม่สู้คุณชายลองไปสัมผัสดูสักหน่อย”

โจวเวยขมวดคิ้ว

“แม้ว่าจะเป็นพี่น้องกัน แต่โรคของสตรี ก็คงไม่สะดวกให้ท่านมาฟังด้วยหรอกกระมัง”

โจวเวยรู้สึกกระดากอายเล็กน้อย มองไปยังโจวหนิงแล้วจึงเอ่ย “เช่นนั้นพี่ใหญ่จะอยู่ที่ห้องถัดไป หากเจ้ามีเรื่องอะไรก็ตะโกนเรียกข้าได้เลย”

ฉินหลิวซียิ้มใบหน้านิ่ง ไม่ได้เปิดเผยความหมายในคำพูดของเขา

ความจริงแล้วโจวหนิงเห็นด้วยกับฉินหลิวซี แม้ว่าจะเป็นพี่น้องกัน แต่สำหรับเรื่องเช่นนี้ นางก็ไม่อยากให้พี่ใหญ่อยู่ข้างๆ

โจวเวยส่งสายตาให้ฉินซูก่อนที่จะเข้าไปในห้องเต๋า

ฉินหลิวซีพาโจวหนิงและบ่าวรับใช้เข้าไปในห้องหย่า[2] เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนท่าทางทำตัวไม่ถูกอยู่บ้าง จึงยิ้มพลางปลอบว่า “พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกลัว สิ่งที่พวกเจ้ามีข้าก็มี”

เพียงแค่ไม่ใหญ่เท่าพวกนาง

อะไรนะ

โจวหนิงมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง

“กล่าวคือข้าก็เป็นสตรีเช่นกัน ข้าเป็นนักพรตหญิง ดังนั้นไม่จำเป็นต้องรู้สึกเขินอายและไม่สบายใจ” ฉินหลิวซีเอ่ย

โจวหนิงตกใจมาก

ฉินซูก็มีสีหน้าตกใจเช่นกัน มองฉินหลิวซีตั้งแต่หัวจรดเท้า แม้ว่าคนผู้นี้จะไม่ได้ดูห้าวหาญเหมือนคุณชาย แต่ก็มองไม่ออกว่ามีความเป็นสตรีสักหน่อย แต่นางบอกว่านางเป็นสตรี?

ฉินหลิวซีเดินไปอยู่ตรงหน้าหนิงโจวโดยตรง คว้ามือของนางมาวางบนหน้าอกของตัวเอง

โจวหนิงที่ตกตะลึงกับความใจกล้าของอีกฝ่าย “!”

มันนุ่ม

นางหน้าแดง

“คราวนี้เชื่อแล้วหรือยัง” ฉินหลิวซีจึงได้ปล่อยมือนาง พาไปนั่งลงที่โต๊ะ ใช้นิ้วสัมผัสลงบนชีพจรของนาง หลังจากเงียบไปนานก็ถามว่า “อาการป่วยของเจ้านี้มีภาวะขาดเลือด ยังไม่เคยมีระดูใช่หรือไม่”

[1] จิงของไต มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของกระดูก สมอง และการเจริญทางเพศ

[2] ห้องหย่า ห้องที่ตกแต่งอย่างเรียบหรู

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท