คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 389 กล้ายืนยัน

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 389 กล้ายืนยัน

ฉินหลิวซีกำลังจะทำการฝังเข็ม โจวหนิงก็ไม่ได้รู้สึกอายเลยแม้แต่น้อย ถอดเสื้อคลุมออกแล้วนอนลงบนเตียงเล็กในห้องหย่า นางมองไปยังวั่งชวนที่ยืนเป็นผู้ช่วยอยู่ด้านข้างด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็มองไปยังฉินหลิวซี

“ท่านอาจารย์ ศิษย์ของท่านอายุเพียงห้าหกขวบก็ติดตามเรียนวิชาแพทย์กับท่านแล้วหรือ นางฟังเข้าใจด้วยหรือ” เด็กๆ ในตระกูลของพวกนางยังคงออดอ้อนอยู่ในอ้อมแขนของบิดามารดา รู้จักแต่เล่นสนุกสนานอยู่เลย

ฉินหลิวซียิ้มพลางเหลือบมองวั่งชวน เอ่ย “แน่นอนว่าฟังไม่เข้าใจ นางพึ่งจะห้าขวบเอง รู้จักตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัวด้วยซ้ำ”

วั่งชวนก้มหน้าลงอย่างเขินอาย

“แต่มีคำกล่าวที่ว่าการได้ฟังหรือเห็นบ่อยๆ ก็จะได้เรียนรู้อย่างไม่รู้ตัว ตอนนี้นางไม่เข้าใจ ก็อยู่ด้านข้างคอยฟังและมองดูเพื่อสะสมประสบการณ์ ในภายภาคหน้าจะได้นำสิ่งที่เรียนรู้มาประยุกต์ใช้” ฉินหลิวซีดูเหมือนจะอธิบายให้โจวหนิงฟัง แต่ก็เหมือนกำลังสอนวั่งชวนด้วย “หากหลายปีต่อจากนี้นางยังคงไม่สามารถตระหนักรู้ได้ เช่นนั้นก็แสดงว่าไม่มีคุณสมบัติทางด้านนี้ ไม่จำเป็นต้องเรียนอีกต่อไป เพราะการเรียนวิชาแพทย์ต้องใช้พรสวรรค์ การเป็นหมอต้องใช้ความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น การระบุโรคอย่างถูกต้องเท่านั้นจึงจะสามารถจ่ายยาได้อย่างถูกต้อง วัตถุดิบยาในใบสั่งยาจะขาดหรือเกินไม่ได้ เพราะเป็นตัวกำหนดประสิทธิภาพของใบสั่งยา และวัตถุดิบยาบางชนิดก็ไม่สามารถเข้ากันได้ การเพิ่มยาหนึ่งชนิดหรือลดไปหนึ่งชนิด หรือการเพิ่มปริมาณ อาจทำให้เกิดความเสียหายหรือเสียชีวิตได้”

นางมองวั่งชวนแล้วเอ่ยว่า “ดังนั้นการเรียนวิชาแพทย์จะต้องอาศัยความอดทนและความเอาใจใส่อย่างมาก จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด เพราะสิ่งที่ถืออยู่ในมือนางคือชีวิตของคนหนึ่งคน”

วั่งชวนรู้สึกหวาดหวั่น รีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว

ฉินหลิวซีเช็ดฆ่าเชื้อเข็มเงินทีละเข็ม ยิ้มพลางมองโจวหนิง เอ่ยว่า “นางเป็นศิษย์หญิง ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่านางจะได้รับสืบทอดเสื้อคลุมนี้ ในภายภาคหน้าจะได้รักษาคนไข้ที่เป็นสตรีอย่างเจ้าที่เขินอายจะเจอหมอที่เป็นบุรุษ”

“อาจารย์ช่างมีคุณธรรมสูง” สายตาของโจวหนิงแสดงให้เห็นถึงความเคารพนับถือเล็กน้อย

ฉินหลิวซีหาจุดฝังเข็มให้นาง กล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเรามาเริ่มกันเลย”

เดิมทีโจวหนิงหวาดหวั่นอยู่บ้าง แต่ก่อนที่นางจะมีเวลาวิตกกังวล เข็มเงินก็ได้ฝังเข้าไปในร่างกายอย่างรวดเร็ว ฉินหลิวซีแทงเข็มอย่างตื้นๆ และเบามือ หมุนปลายเข็มเล็กน้อย ทำให้จุดฝังเข็มบวมขึ้นมา

เข็มเงินฝังลงบนจุดเซินเจวี๋ย กวนหยวน ชี่ไห่ และจุดฝังเข็มอื่นๆ ทีละจุด ราวกับงูเลื้อยไปทั่วแขนขา

วิชาการฝังเข็มเช่นนี้ หากไม่ได้ฝึกฝนติดต่อกันเป็นเวลาหลายปีก็จะไม่มีทางชำนาญและเก่งกาจเช่นนี้

โจวหนิงมองไปยังฉินหลิวซี อีกฝ่ายสีหน้าจริงจังเป็นอย่างมาก มันยากที่จะนึกออกว่าสตรีในวัยเช่นนี้จะสามารถมีทักษะวิชาแพทย์ล้ำเลิศเทียบเคียงกับหมอหลวงผู้อาวุโสเหล่านั้นได้

“ท่านอายุเท่าไหร่แล้ว”

ฉินหลิวซีเหลือบมองนาง ยิ้มแล้วกล่าวว่า “พึ่งปักปิ่นปีนี้”

“อายุน้อยกว่าข้าเสียอีก” โจวหนิงเอ่ยพึมพำ นางอดทนต่อการเรียนวิชาแพทย์ที่น่าเบื่อเช่นนี้ได้อย่างไร แล้วถามอีกว่า “วันปกติทั่วไปเจ้าก็แต่งตัวเช่นนี้หรือ หากเจ้าไม่บอกข้าก็มองไม่ออกจริงๆ ว่าเจ้าเป็นสตรี”

“ในฐานะสตรี เจ้าก็รู้ว่าการกระทำการต่างๆ อยู่ข้างนอก หากเป็นบุรุษจะสะดวกมากกว่า” ฉินหลิวซียิ้มพลางอธิบายว่า “ดังนั้นข้าจึงไม่เปิดเผยตัวตนที่แท้จริง แต่ก็จะไม่ปิดบังเช่นกัน จะมองออกหรือไม่นั้น ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับข้า เพราะไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรีก็ไม่ได้แตกต่างกัน”

ดวงตาโจวหนิงเป็นประกาย “ผู้ที่ออกบวชล้วนเป็นอิสระเหมือนเจ้าทุกคนเลยหรือ”

“ก็ไม่ใช่เช่นนั้นเสมอไป มักจะมีผู้ที่ออกบวชบางคนที่ลักษณะภายนอกดูเป็นคนน่าเกรงขาม แต่ภายในกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ความจริงข้าก็เช่นกัน ไม่ว่าเจ้ากับข้าจะสนิทกันมากแค่ไหน แต่ค่ารักษาที่ควรให้ เจ้าก็ต้องให้ไม่ควรน้อยไปแม้แต่ตำลึงเดียว!”

โจวหนิง “…”

นางกับฉินหลิวซีมองหน้ากันเป็นเวลานาน จากนั้นก็หัวเราะออกมา สีหน้าสดใส

“ควรจะยิ้มแย้มเช่นนี้” ฉินหลิวซี “เด็กสาวไม่ควรดูไร้ชีวิตชีวาเช่นนั้น เส้นทางของเจ้ายังอีกยาวไกล”

โจวหนิงกล่าวหยอกล้อ “ดูเหมือนว่าเจ้าจะอายุน้อยกว่าข้า แต่กลับแกล้งทำเป็นผู้ใหญ่”

“เห็นได้ชัดว่าข้ากำลังแนะนำเจ้าให้ไปทางเต๋า เมื่อเจ้ากลับไป ให้เจ้าบูชารูปปั้นเจ้าลัทธิเต๋าจากที่นี่หรือจากอารามชิงผิงกลับไปด้วย จะช่วยคุ้มครองเจ้า”

“บูชารูปปั้นจะต้องมีพิธีรีตรองอะไรหรือไม่”

ฉินซูที่อยู่ด้านข้างกังวลเล็กน้อย สตรีที่ยังไม่ได้ออกเรือนถามถึงเรื่องการบูชารูปปั้นเจ้าลัทธิเต๋า หากเผยแพร่ออกไป จะส่งผลกระทบต่อการแต่งงานหรือไม่

“เพียงแค่บูชาด้วยความศรัทธาก็พอ หรือจะอ่านพระสูตรเต๋าด้วยก็ได้ จะช่วยฝึกบำเพ็ญจิตใจ” ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “ห้องเต๋าที่พี่ใหญ่ของเจ้าเข้าไปเมื่อครู่นี้ มีอักขระที่ข้าแกะสลักด้วยตัวเอง สามารถไปบำเพ็ญเต๋าสงบจิตใจได้”

ฟังดูน่าอัศจรรย์เป็นอย่างมาก

ฉินหลิวซีดึงเข็มขึ้นมา นวดหน้าท้องส่วนล่างของนางเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “เสร็จแล้ว”

โจวหนิงได้สติกลับมา แค่นี้เองหรือ นางลุกขึ้นจากเตียง ถอนหายใจ ลูบที่ท้องส่วนล่าง รู้สึกร้อนๆ

“กลับไปก็ดื่มยาต้ม มะรืนค่อยมาฝังเข็มอีกรอบก็พอแล้ว”

โจวหนิงเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “แล้วต้องดื่มยานานแค่ไหน”

“หากหายช้าก็สิบวัน หากหายเร็วก็ไม่ถึงสิบวัน” ฉินหลิวซีเอ่ยต่อว่า “เพียงแต่ว่าอย่ากังวลมากเกินไป หลับตื่นให้เป็นเวลา ไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันเรื่องอาหารการกินมากเกินไป แต่ก็ต้องตรงเวลา”

หากหายช้าก็สิบวัน หากหายเร็วก็ไม่ถึงสิบวัน

โจวหนิงรู้สึกว่าค่อนข้างน่าเหลือเชื่อ ไม่มีหมอคนไหนกล้ายืนยันเช่นนี้หรอกกระมัง

นางเดินตามฉินหลิวซีออกมาจากห้องหย่าอย่างร่าเริง ฉินหลิวซีเห็นว่าโจวเวยยังไม่ออกมา จึงให้วั่งชวนไปเชิญเขา

เดิมทีโจวเวยเงี่ยหูฟังมุ่งความสนใจไปที่ความเคลื่อนไหวของห้องหย่าที่อยู่ด้านข้าง แต่หลังจากเข้าไปในห้องเต๋าที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีอักขระแกะสลักและกลิ่นไม้กฤษณาจางๆ เมื่อจ้องไปที่อักขระเป็นเวลานาน รู้สึกราวกับได้เข้าสู่โลกที่ไร้ตัวตน หายใจเข้าออกเบาๆ ร่างกายและจิตใจก็ผ่อนคลายเป็นอย่างมาก ปัญหาที่คิดไม่ตกบางอย่าง ราวกับรู้แจ้งขึ้นมาทันที และมีความคิดที่แตกต่างออกไป

ความลึกลับเช่นนี้ทำให้โจวเวยประหลาดใจมาก จนกระทั่งเด็กน้อยตัวเล็กๆ นามว่าวั่งชวนผู้นั้นมาเรียก เขาถึงมีสติกลับขึ้นมา

เมื่อได้ยินว่าการรักษาเสร็จสิ้นแล้ว โจวเวยก็ใจเต้นรัว ยังคงรู้สึกหงุดหงิด เมื่ออยู่ในห้องเต๋านี้ เขาลืมเรื่องการรักษาของน้องสาวไปโดยไม่รู้ตัว

หากเกิดอะไรขึ้นมาโดยที่เขาไม่รู้เรื่อง จะไม่เป็นการรู้สึกเสียใจตลอดไปหรือ

โจวเวยแอบระมัดระวัง เดินออกจากห้องเต๋าด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย เมื่อเห็นโจวหนิงก็รีบเรียกนาง “น้องสาว เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง เป็นความผิดของพี่เอง พี่ลืมความเป็นตัวเองเมื่อเข้าไปอยู่ในห้องเต๋านั้น”

โจวหนิงประหลาดใจ เอ่ยว่า “ท่านอาจารย์บอกว่าห้องเต๋าเหมาะสำหรับการบำเพ็ญเต๋าเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องโกหก พี่ใหญ่ลืมความเป็นตัวเองเมื่ออยู่ในห้องนั้นจริงๆ หรือเจ้าคะ”

โจวเวยพยักหน้า แต่สีหน้ากลับดูแย่เล็กน้อย ขมวดคิ้วพลางเอ่ย “ห้องเต๋านี้ค่อนข้างลึกลับ ไม่รู้ว่า…”

เขาลืมเรื่องภายนอกเมื่ออยู่ในห้องนั้น หากอีกฝ่ายพยายามจะทำอะไรบางอย่าง เกรงว่าจะถูกโจมตีได้ในคราวเดียว

การสูญเสียความระมัดระวังนั้นเป็นเรื่องอันตรายถึงชีวิต

“พี่ใหญ่กล่าวเช่นนี้ ข้ารู้สึกอยากจะเข้าไปบำเพ็ญเต๋าสักหน่อยเสียแล้ว” แววตาของโจวหนิงเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ทันใดนั้นโจวเวยก็รู้สึกว่าน้องสาวมีบางอย่างผิดปกติ เขาถอยหลังหนึ่งก้าว มองสำรวจโจวหนิงหัวจรดเท้า เขาคิดไปเองหรือ รู้สึกว่าความหดหู่อย่างรุนแรงบนตัวของน้องสาวได้หายไปแล้ว

โจวหนิงที่อยู่ตรงหน้า แม้ว่าสีหน้าจะยังคงซีดเซียวเล็กน้อยแต่ก็ดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน ดวงตาก็ดูมีชีวิตชีวา ดูใจกว้างและสงบมากขึ้น

“น้องสาว ท่านอาจารย์ว่าอย่างไรเกี่ยวกับอาการป่วยของเจ้า” โจวเวยลองถามดู

โจวหนิงเผยให้เห็นรอยยิ้ม กล่าวว่า “พี่ใหญ่ ท่านอาจารย์บอกว่าอาการป่วยของข้าอย่างช้าสิบวัน อย่างเร็วเพียงแค่ห้าวันก็หายแล้ว”

โจวเวยเบิกตาโต ขี้โม้กระมัง

เขามองไปยังฉินซู นางเองก็พยักหน้าเช่นกัน

โจวเวยตกใจเล็กน้อย หากเป็นจริงดั่งที่พวกนางกล่าว เช่นนั้นวิชาแพทย์ของฉินหลิวซีจะไม่ล้ำเลิศกว่าหมอหลวงที่อยู่ในวังเหล่านั้นหรือ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท