คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 390 คนทำผิดแล้วกลับตัวเป็นคนดีมีค่ามากกว่าทองคำ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 390 คนทำผิดแล้วกลับตัวเป็นคนดีมีค่ามากกว่าทองคำ

แม้ว่าโจวหนิงจะยอมรับวิชาแพทย์ของฉินหลิวซีแล้ว แต่โจวเวยยังคงไม่วางใจ ถามฉินหลิวซีเกี่ยวกับการวินิจฉัยอาการอย่างละเอียด ฟังไปฟังมาก็รู้สึกมึนงง แต่โดยรวมแล้วก็เข้าใจ

แต่เข้าใจก็ส่วนเข้าใจ เขาเชื่อในคำยืนยันของฉินหลิวซีว่าจะหายขาดภายในสิบวันเพียงเสี้ยวเดียว

อาการป่วยของน้องสาว แม้แต่หมอหลวงเหลียงในวังที่เชี่ยวชาญด้านโรคของสตรีก็ยังรักษาไม่หาย แต่หมอเต๋าตัวน้อยอย่างอีกฝ่ายรักษาเพียงไม่กี่วันก็หายแล้วหรือ

โจวเวยรับใบสั่งยามาดู เอ่ยว่า “วัตถุดิบสำหรับยาต้มกุยผีนั้นค่อนข้างง่าย เพียงแต่ยาหย่างหรงนี้ ข้าจำได้ว่ามีเฉพาะที่ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะ หาซื้อได้ยาก”

ฉินหลิวซีไม่ได้เงยหน้าขึ้น กล่าวว่า “ลองไปถามที่ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะ หากซื้อมาได้ก็กิน หากหาซื้อไม่ได้ก็ดื่มยาต้มหย่างหรงโสม”

โจวเวยมองนางด้วยท่าทางครุ่นคิด

โจวหนิงคิดถึงค่ารักษาจำนวนนั้นที่ขาดไปไม่ได้ ยิ้มพลางเอ่ย “ไม่ทราบว่าควรให้ค่ารักษาเท่าไหร่หรือ”

ฉินหลิวซีเงยหน้าขึ้น ยิ้มพลางกล่าวว่า “แล้วแต่ท่านผู้ประเสริฐ” หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง ก็มองไปยังโจวเวย “คือว่า ห้องเต๋าที่ใช้สำหรับบำเพ็ญเต๋า เนื่องจากมีการวางค่ายกล สิ่งนั้นต้องใช้จิตวิญญาณเป็นอย่างมาก ดังนั้น…”

“เป็นเงินเท่าไหร่”

“ยี่สิบตำลึงต่อหนึ่งชั่วยาม”

“อะไรนะ” โจวเวยแทบจะดีดตัวขึ้นมา “ยี่สิบตำลึงต่อหนึ่งชั่วยาม?”

เพียงแค่นั่งอยู่ในห้องนั้นก็ต้องเสียเงินยี่สิบตำลึง นี่มันร้านเถื่อนชัดๆ ปล้นกันอย่างโจ่งแจ้ง

ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “ท่านผู้ประเสริฐคงไม่รู้ว่าห้องเต๋าของข้านั้นมีค่ายกลรวบรวมจิตวิญญาณที่สร้างด้วยหินหยกชั้นดี การบำเพ็ญเต๋าในห้องนั้นมีประสิทธิภาพในการกำจัดเสนียด ทำให้จิตใจปลอดโปร่งแจ่มใส ขจัดความเหนื่อยล้า ท่านผู้ประเสริฐก็ได้สัมผัสไปแล้ว คาดว่าคงจะมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง”

เจ้าคุยโวอยู่กระมัง ขี้โม้จนแม้แต่วัวก็ถูกเจ้าเป่าลอยขึ้นฟ้าไปแล้ว ยังกล้าบอกว่าขจัดเสนียดจัญไรได้ ทำไมไม่บอกไปเลยว่าเมื่อนั่งอยู่ในนั้นเป็นเวลานานก็จะกลายร่างเป็นเทพเซียนได้

แต่ก็มีความรู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัวอยู่จริงๆ

“เดี๋ยวนะ ก่อนหน้านี้เจ้าเรียกข้าว่าคุณชายทุกประโยค เหตุใดตอนนี้จึงเรียกท่านผู้ประเสริฐเสียแล้ว” จู่ๆ โจวเวยก็ถือสากับคำเรียกขึ้นมา

ฉินหลิวซี “ลัทธิเต๋าเรียกผู้ศรัทธาทุกคนว่าผู้ประเสริฐ” โดยเฉพาะตอนที่ให้ค่าน้ำมันตะเกียง

โจวเวย “…”

เขาหยิบถุงเงินมาจากมือบ่าวรับใช้ ยื่นไปให้ “นี่เป็นเงินค่ารักษาส่วนหนึ่ง หากอาการป่วยของน้องสาวข้าหายขาดแล้วจริงๆ จะตอบแทนอย่างหนักแน่นอน

ฉินหลิวซีไม่ดูเลยแม้แต่นิด รับมาแล้วส่งให้เฉินผี

ขณะนี้โจวหนิงยิ้มพลางกล่าวขึ้นมาว่า “เช่นนั้นวันมะรืนเมื่อข้ากลับมาฝังเข็ม สามารถไปนั่งสมาธิที่ห้องเต๋านั้นได้หรือไม่”

“ย่อมได้”

มีค่าน้ำมันตะเกียงให้หากไม่เอาก็นับว่าโง่เต็มทน

โจวเวยเหลือบมองน้องสาว รู้สึกว่าน้องสาวดูเหมือนว่าจะสนิทสนมกับท่านอาจารย์มากเกินไปแล้ว เพียงแค่ตรวจอาการไม่ใช่หรือ

จากนั้นเขาก็มองไปยังฉินหลิวซี เมื่อเปรียบเทียบกับนักพรตเต๋าที่มีหนวดเคราสีขาวและผมหงอกคนอื่นๆ แล้ว ฉินหลิวซีนั้นรูปงามกว่าไม่น้อย

หรือว่าน้องสาวจะหลงใหลใบหน้านี้เข้าให้แล้ว

โจวเวยสีหน้ามืดครึ้ม

“น้องสาว พวกเราควรไปได้แล้ว”

โจวหนิงพยักหน้าแล้วหันไปคารวะฉินหลิวซี

ขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะเดินออกไป ด้านนอกประตูก็มีคนเดินท่ามกลางหิมะเข้ามา จึงหลบไปด้านข้าง

“ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ ข้ามาแล้ว”

ชายผู้นี้หนวดเครารกรุงรัง แก้มตอบ แต่งตัวค่อนข้างบาง แต่ดวงตากลับสดใสมีชีวิตชีวา

ฉินหลิวซีเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปมอง

“ท่านอาจารย์ ข้าเอง เซี่ยชงไง” เซี่ยชงปัดผมที่กระจัดกระจายอยู่บนหน้าผากของเขา ขยับเข้าไปอยู่ตรงหน้าฉินหลิวซี พยายามให้นางมองเห็นชัดเจนยิ่งขึ้น

ฉินหลิวซีเอ่ย “ข้ารู้ว่าเป็นเจ้า”

เซี่ยชงดีใจ รีบหยิบกระเป๋าผ้าออกมาจากอ้อมแขน วางมันลงบนโต๊ะด้วยมือที่สั่นไหว เอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ ข้าหาเงินมาได้ยี่สิบตำลึงตามที่ท่านกำชับแล้ว ล้วนเป็นเงินที่ข้าหามาทีละเล็กทีละน้อยอย่างยากลำบาก ล้วนอยู่ในนี่หมดแล้ว”

แกร๊งๆ

เขาเทกระเป๋าที่มีเงินหยวนเป่าห้าตำลึงสองแท่ง ซ้ำยังมีเศษเงินเล็กๆ น้อยๆ และเหรียญทองแดง

“ข้าลองนับดูแล้ว ทั้งหมดยี่สิบตำลึง ไม่ขาดไปแม้แต่นิดเดียว ท่านอาจารย์ ท่านรีบทำพิธีปัดเป่ามนต์ดำชั่วร้ายซื้อชีวิตอะไรนั่นให้ข้าด้วยเถิด”

ฉินหลิวซีเหลือบมองจำนวนเงินกองเล็กนั้น ก่อนจะเอ่ยว่า “หามาได้อย่างไร”

“ก่อนอื่นข้าทำงานอย่างหนักที่ท่าเรือเป็นเวลาสองวัน เมื่อได้รับค่าจ้างมาจึงนำมาใช้เป็นเงินทุน ซื้อสิ่งของบางอย่าง ทำหาบสักอันแล้วนำไปเร่ขายในชนบท” เซี่ยชงเล่าถึงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ให้ฟังอย่างละเอียด

การเป็นพ่อค้าก็ไม่ได้กำไรมากนัก แต่เขาเป็นคนรู้จักพูด เมื่อไปที่หมู่บ้าน คำพูดหวานๆ ของเขาทำให้บรรดาสาวๆ และป้าๆ เหล่านั้นมาช่วยซื้อ จากนั้นเขาก็ถือโอกาสถามว่ามีอะไรที่สามารถขายได้อีก จากนั้นก็ซื้อมาจากพวกเขา แล้วนำไปขายหรือแลกเปลี่ยนที่หมู่บ้านถัดไป ด้วยวิธีนี้จะทำให้ได้รับส่วนต่างของราคาจากการขายต่อ แล้วค่อยๆ สะสมเงินในมือได้มากขึ้น

สิ่งที่ทำให้เขาหาเงินได้มากที่สุดคือเขาได้ผ้าสองสามผืนมาจากหมู่บ้าน งานทออย่างดี มีลวดลายซับซ้อนและสวยงาม พอนำไปขายที่ท่าเรือก็ทำเงินได้ทั้งหมดสิบตำลึง

มิเช่นนั้นเขาจะรวบรวมเงินยี่สิบตำลึงนี้ในช่วงเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร นับว่ามีโชคอยู่บ้าง

“ไม่เลวเลยนี่นา” ฉินหลิวซีเอ่ย “รู้สึกอย่างไรที่หาเงินได้”

เซี่ยชงยิ้มอย่างขมขื่น “เหนื่อย เหนื่อยมากๆ รองเท้าข้าขาดไปหลายคู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะท่านแม่ให้รองเท้าข้ามา เกรงว่าคงจะต้องเดินเท้าเปล่ามาพบท่านอาจารย์แล้ว

ขณะที่เขาพูดก็ขยับนิ้วเท้าที่โผล่ออกมานอกรองเท้าผ้า

ฉินหลิวซีเหลือบมอง เอ่ย “นอกจากเหนื่อยแล้ว ได้เดินไปตามถนนและตรอกซอกซอยหาเงินมาเองอย่างยากลำบาก เก็บสะสมทีละน้อยแล้วก็นำมาให้ข้าเช่นนี้ ไม่ปวดใจหรือ”

“หากบอกว่าไม่ปวดใจนั้นเป็นเรื่องโกหก แต่ไม่ว่าจะปวดใจแค่ไหนก็เทียบไม่ได้กับชีวิตของข้า หากไม่มีชีวิตแล้ว ต่อให้มีเงินมากมายแค่ไหนแล้วจะมีประโยชน์อะไร” เซี่ยชงยิ้มกว้าง “แต่หากยังรักษาชีวิตไว้ได้ ข้าก็จะสามารถหาเงินได้มากกว่ายี่สิบตำลึงไม่ใช่หรือ”

“อ้อ ไม่ลองวางบนโต๊ะพนันสักตั้ง ไม่แน่อาจจะมีโชคลาภ ดีกว่าเจ้าไปเดินตามถนนในตรอกซอกซอยไม่ใช่หรือ”

เซี่ยชงรีบโบกมือ “ท่านอาจารย์ ท่านเลิกล้อข้าเล่นได้แล้ว ข้าไม่กล้าเล่นการพนันอีกแล้ว หากโชคดีก็ชนะ แต่หากโชคไม่ดี เงินที่หามาอย่างยากลำบากที่วางไว้บนโต๊ะพนันก็จะไม่เหลืออะไรเลยไม่ใช่หรือ น่าปวดใจยิ่งกว่าตอนนี้เสียอีก!”

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเมื่อเขาแบกสินค้ากลับมาบ้านอย่างยากลำบาก แม้ว่าแม่ของเขาจะเอาแต่บ่น แต่ในสายตากลับเต็มไปด้วยความสุข นางดีใจที่เขาเติบโตแล้ว

“ท่านอาจารย์ หลังจากเหตุการณ์นี้ ข้าไม่กล้าเอาเงินไปพนันโดยไม่เกิดประโยชน์อีกต่อไป หลังผ่านเหตุการณ์นี้ไปแล้ว ข้าก็ยังจะเป็นพ่อค้า เมื่อหาเงินได้แล้วค่อยไปสู่ขอภรรยาสร้างครอบครัวและมีบุตร การมีภรรยาและบุตรที่ครอบครัวอบอุ่นเป็นสิ่งสวยงามกว่าสิ่งอื่นใดไม่ใช่หรือ” เซี่ยชงยิ้มพลางเอ่ย “ดังนั้นท่านอาจารย์ ท่านรีบลงมือเถิด ข้ายังต้องกลับบ้านไปซ่อมอ่างซักผ้าให้ท่านแม่”

“เจ้าไปเถิด มนต์ดำนั้นถูกทำลายไปนานแล้ว”

เซี่ยชงตกตะลึง “ทำลายแล้ว?”

ฉินหลิวซีพยักหน้า “ทำลายไปตั้งแต่วันนั้นที่เจ้ามาแล้ว มิเช่นนั้นในช่วงนี้เจ้าจะไม่มีเรื่องร้ายเลยแม้แต่นิดได้อย่างไร คงจะเสียชีวิตไปนานแล้ว เพียงแต่ข้าไม่บอกเจ้า แค่อยากดูว่าเจ้าจะปรับปรุงตัวได้หรือไม่ ตอนนี้ดูแล้ว แม้ว่าเจ้าจะเป็นคนไม่ดีแต่ก็ยังกลับตัวได้ จำคำในวันนี้ของเจ้าไว้ เมื่อเจ้าเปลี่ยนใจและเริ่มต้นชีวิตใหม่ ต้องทำมันให้ดี จากนี้ไปจงตั้งใจทำความดี ไม่ต้องถามถึงอนาคต ทำความดีสะสมบุญ เจริญทั้งครอบครัวและลูกหลาน”

เซี่ยชงขอบตาร้อนผ่าว นั่งลงคำนับ “ขอบคุณอาจารย์ที่ชี้นำข้า จะไม่ลืมบุญคุณที่ท่านอาจารย์ช่วยชีวิตไว้เป็นอันขาด เมื่อประสบความสำเร็จในภายภาคหน้า จะไปถวายค่าน้ำมันตะเกียงที่อารามชิงผิงและส่งเสริมกิจการของท่านอาจารย์อย่างแน่นอน”

ฉินหลิวซีมองดูเงินกองเล็กนั้นอีกครั้ง ให้เฉินผีไปนำยันต์แคล้วคลาดมามอบให้หนึ่งแผ่น “คนที่เคยทำผิดแล้วกลับตัวเป็นคนดีมีค่ามากกว่าทองคำ ยันต์แคล้วคลาดนี้มอบให้เจ้า คุ้มครองให้เจ้าแคล้วคลาดปลอดภัย”

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท