ตอนที่ 391 มีข้อได้เปรียบไม่เอาเปรียบคือคนโง่
เซี่ยชงถือยันต์แคล้วคลาดแล้วเดินออกไปอย่างมีความสุข
เมื่อฉินหลิวซีเห็นว่าโจวเวยและคนอื่นๆ ยังไม่ไป จึงเอ่ยว่า “พวกเจ้ายังไม่ไปอีกหรือ”
“คนผู้นั้นมาขอให้ท่านอาจารย์ช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายหรือ” โจวเวยเอ่ยถาม
ยี่สิบตำลึง นึกออกแล้ว ตอนที่มาตรวจสอบร้านเฟยฉางเต๋าเมื่อก่อนหน้านี้ ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเก็บเงินซื้อชีวิตอะไรนั่น ก็คือคนผู้นั้นหรือ
“ท่านผู้ประเสริฐก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ” ฉินหลิวซียิ้มใบหน้านิ่ง
ใบหน้าโจวเวยร้อนเล็กน้อย กระแอมเบาๆ ถามว่า “สิ่งที่เรียกว่าเงินซื้อชีวิต ในโลกนี้มีมนต์ดำที่ชั่วร้ายเช่นนี้จริงๆ หรือ”
“แน่นอนว่ามี บางคนป่วยหนักเหลือเวลาชีวิตอีกไม่มาก เมื่อพวกเขาพบกับหมอผีบางคนที่สามารถทำอะไรเช่นนี้ได้ ยอมทุ่มหมื่นตำลึงทอง ซื้อชีวิตเพื่อหนีความตาย”
โจวหนิงได้ฟังดังนั้นก็ตกใจมาก ถามอย่างสงสัยว่า “เช่นนั้นคนที่ซื้อชีวิตก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างมั่นคงและสงบสุขหรือ”
“ไม่ใช่เช่นนั้น” ฉินหลิวซีส่ายหน้า “มนต์ดำเช่นนี้ อย่างไรเสียก็เป็นสิ่งชั่วร้าย ไม่สามารถคงอยู่ได้ตลอดไป แม้ว่าคาถาจะทำให้ชีวิตคงอยู่ได้สักระยะหนึ่ง แต่เมื่อผ่านไปเป็นเวลานาน ก็จะเปิดเผยข้อเสียออกมา และอาจร้ายแรงกว่าก่อนที่จะทำการเปลี่ยนชะตาชีวิตเสียอีก กระทั่งส่งผลเสียต่อโชคลาภและบุญกุศลของคนในครอบครัว อย่างไรเสียสวรรค์นั้นยุติธรรมเสมอ เจ้าเอาอะไรไป ย่อมให้เจ้าชดใช้คืนในอีกด้านหนึ่ง”
นางเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี
โจวเวยและคนอื่นๆ รู้สึกหวาดหวั่นในใจเล็กน้อย
“ย่อมมีคนที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้มีชีวิตยืนยาวเสมอ” โจวเวยเอ่ยพึมพำ
เป็นเช่นนั้นจริงๆ ในบรรดาผู้มีอำนาจก็ใช่ว่าจะไม่มีคนเช่นนั้น โดยเฉพาะผู้ที่เป็นฮ่องเต้ ยิ่งหวังว่าจะมีชีวิตยืนยาว นั่งอยู่บนตำแหน่งนั้นตลอดชีวิต
โจวเวยมองไปยังฉินหลิวซีโดยไม่รู้ตัว เอ่ยอย่างมีนัยยะแอบแฝง “การมีชีวิตอยู่ตลอดไป ถึงแม้จะน่ากลัว แต่กลับมีคนมากมายที่ต้องการต่อต้านสวรรค์ ทางที่ดีคือท่านอาจารย์ควรจะเก็บมันไว้ อย่าได้เปิดเผย ‘ความสามารถ’ เช่นนี้”
ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว เมื่อรู้ว่าเขากำลังโน้มน้าวด้วยความหวังดี จึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่มีความสามารถเช่นนั้น และไม่สามารถช่วยให้คนฝึกบำเพ็ญจนเป็นอมตะได้ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมชาติของคน เราต้องเป็นไปตามวัฏสงสารของชะตาชีวิต และสิ่งที่เรียกว่าความเป็นอมตะนั้น ก็เป็นเพียงแค่การมีชีวิตอยู่ ไม่ได้ทำให้คนร่างกายแข็งแรงยังหนุ่มยังแน่นตลอดไป คนเมื่อแก่ชรา ร่างกายก็จะชราภาพไปด้วย แม้ว่าจะยังมีชีวิตอยู่ ก็มีแต่เปลือกที่ห่อหุ้มไว้ แต่ภายในนั้นได้เน่าเปื่อยไปแล้ว”
อย่างไรเสียโลกมนุษย์ก็ขาดพลังแห่งจิตวิญญาณ ที่นี่ไม่ใช่โลกแห่งการฝึกบำเพ็ญเป็นอมตะ
โจวเวยและคนอื่นๆ ได้ฟังก็รู้สึกคล้อยตาม
โจวหนิงเอ่ย “ที่แท้สิ่งที่เรียกว่าความเป็นอมตะนั้นก็หนีไม่พ้นความแก่ชรา ร่างกายเน่าเปื่อยแล้ว ผิวหนังภายนอกแห้งเหี่ยว การเป็นอมตะเช่นนี้ ไม่เป็นเสียจะดีกว่า”
“แม่นางเป็นคนที่มีความตระหนักรู้”
โจวเวยยกมือขึ้นประสาน เอ่ยว่า “คำพูดของท่านอาจารย์ทำให้คนตระหนักรู้ได้ในทันที พวกเราก็ได้ให้ค่ารักษาไปแล้ว ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์จะมอบยันต์แคล้วคลาดให้พวกเราได้หรือไม่”
ยันต์แคล้วคลาดที่มอบให้ มีใครบ้างไม่อยากได้ มีข้อได้เปรียบไม่เอาเปรียบคือคนโง่
“พี่ใหญ่!” โจวหนิงรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวเพราะความไร้ยางอายของพี่ชาย
ฉินหลิวซีหยิบยันต์แคล้วคลาดมอบให้ไปสองแผ่น เอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ขอให้ท่านผู้ประเสริฐโจวหน้าที่การงานราบรื่น และขอให้แม่นางได้เจอคู่ที่ดี”
โจวหนิงตกตะลึง ใบหน้าแดงก่ำ รับยันต์แคล้วคลาดมาใส่ไว้ในกระเป๋า
โจวเวยเอ่ย “หน้าที่การงานราบรื่น? ท่านอาจารย์เข้าใจผิดแล้ว ข้ายังเป็นคนไร้ยศไร้ตำแหน่งอยู่!”
ฉินหลิวซีเพียงแต่ยิ้มไม่ได้เอ่ยอะไร
โจวเวยเห็นเช่นนั้นก็ใจเต้นเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้ถามอะไร เอ่ยลาฉินหลิวซี แล้วพาโจวหนิงออกไป
หลังจากที่สองพี่น้องออกมาจากร้านเฟยฉางเต๋า ก็ไปที่ร้านยาตำหนักอายุวัฒนะก่อน โจวเวยเอาใบสั่งยาของฉินหลิวซีมอบให้คนงาน ลองถามดูว่า “ไม่ทราบว่าร้านยาแห่งนี้ยังมียาหย่างหรงขายอยู่หรือไม่”
ยาหย่างหรงใช่ว่าจะซื้อก็สามารถหาซื้อได้ แม้แต่ในเมืองหลวงก็ขาดตลาดอยู่บ้าง โจวเวยจึงลองถามดู
เป็นเช่นนั้น คนงานตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า “ขาดตลาดขอรับ”
เขาก้มลงมองใบสั่งยา เห็นอักษร ‘เต๋า’ ตัวเล็กๆ อยู่ที่มุมขวาล่างของใบสั่งยา ดวงตาเบิกกว้าง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยกับโจวเวยว่า “คุณชายโปรดรอสักครู่ขอรับ”
โจวเวยไม่เข้าใจ แต่ก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
คนงานเดินเข้าไปที่ห้องโถงด้านใน หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเถ้าแก่คนหนึ่งเดินออกมา เอ่ยกับโจวเวยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “คุณชายต้องการซื้อยาสมุนไพรหรือ”
“ใช่แล้ว”
“ได้เลยขอรับคุณชาย” ผู้ดูแลไหลยื่นใบสั่งยาให้เด็กจ่ายยาอีกคนหนึ่ง เอ่ยว่า “จัดยาอย่างระมัดระวัง อย่าให้เกิดข้อผิดพลาดเป็นอันขาด”
เด็กจ่ายยารับใบสั่งยามาแล้วเริ่มจัดจ่ายยา
ผู้ดุแลไหลเอ่ยอีกว่า “ได้ยินว่าคุณชายยังต้องการซื้อยาหย่างหรงอีกด้วยหรือ”
โจวเวยดวงตาเป็นประกายขึ้นมา เอ่ยว่า “คนงานในร้านบอกว่าขาดตลาด”
“ตอนนี้การจัดหายาหย่างหรงนั้นได้มาน้อยมาก เนื่องจากขาดแคลนวัตถุดิบยา หมอยาที่กลั่นยาก็ยุ่งอยู่กับการศึกษายาอื่นๆ แต่ละสาขามีสินค้าในคลังไม่มากนัก” ผู้ดูแลไหลยิ้มพลางเอ่ยว่า “แต่คุณชายมาสนับสนุนกิจการที่นี่ พวกเราก็สามารถแบ่งให้ท่านได้หนึ่งขวด เพียงแต่ราคา…”
“เงินไม่ใช่ปัญหา” โจวเวยแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง
“เช่นนั้นก็ตกลง ยาหย่างหรงหนึ่งขวดมีหกสิบเม็ด ราคาห้าพันตำลึง”
โจวเวยตกใจ เอ่ยว่า “ราคาขึ้นถึงห้าพันตำลึงแล้วหรือ”
“เนื่องจากว่าที่ไหนๆ ก็ขาดตลาดทั้งหมดจริงๆ ไม่ขอปิดบังคุณชาย ในเมืองก็มีคนมาถามหาไม่น้อย ล้วนสินค้าขาดตลาดทั้งนั้น หากคุณชายไม่ต้องการ…”
ผู้ดูแลไหลใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ช่วยไม่ได้ หมอยาขี้เกียจเกินไป จึงกลายเป็นของหายากจนมีมูลค่ามาก
หากไม่ใช่เพราะเขาไปขอรับการรักษามาจากร้านเฟยฉางเต๋า ก็ไม่มีสินค้าให้เช่นกัน
โจวเวยรีบเอ่ยว่า “ต้องการสิ จะไม่ต้องการได้อย่างไร ความจริงแล้วข้าอยากได้สองขวดด้วยซ้ำ”
“แบ่งได้เพียงขวดเดียวเท่านั้น”
โจวเวยแอบรู้สึกเสียดาย หากมีมากกว่านี้ ก็ยังสามารถนำไปให้ท่านพ่อกับท่านแม่ได้อีกหนึ่งขวด แม้ว่าจะแพง แต่ก็เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
ยาถูกจัดเตรียมอย่างรวดเร็วพร้อมกับขวดยาหย่างหรง โจวเวยเก็บยาไว้กับตัวเอง ถือไว้ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง ในใจเจ็บปวดกับเงินที่เสียไป แต่เมื่อเทียบกับร่างกายของน้องสาวแล้ว เงินก็ไม่มีค่าอะไร
“เราไม่มีตั๋วเงินติดตัวมากมายขนาดนั้น ขอให้ผู้ดูแลส่งคนตามพวกเราไปชำระบัญชีที่จวนด้วยเถิด” โจวเวยเอ่ย
ผู้ดูแลไหลเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าจะตามคุณชายไปด้วย อย่างไรเสียข้าก็มีธุระต้องไปทำ”
ใบสั่งยาของท่านนั้นจ่ายยาหย่างหรงไปหลายขวดแล้ว เขาต้องไปเร่งให้นางปรุงยา มิเช่นนั้นจะได้ขาดตลาดจริงๆ แล้ว
กลุ่มคนไปยังบ้านที่โจวเวยและคนอื่นๆ พักอยู่ชั่วคราว เดิมทีตระกูลติงได้เชิญพวกเขาไปพักอาศัยที่จวน แต่โจวเวยไม่ชอบใจ และเพื่อโจวหนิง จึงเช่าบ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งพักอยู่ข้างนอก
เมื่อผู้ดูแลไหลได้รับตั๋วเงิน ก็รีบเดินทางไปที่ร้านเฟยฉางเต๋าทันที
โจวเวยหยิบยาขวดนั้นออกมา มอบให้โจวหนิง เอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าท่านอาจารย์ผู้นี้จะมีความสัมพันธ์กับร้านยาตำหนักอายุวัฒนะอยู่บ้าง”
“พี่ใหญ่เอ่ยเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
“เจ้าไม่เห็นหรือ ตอนที่พวกเราพึ่งไปถึง เมื่อถามถึงยาหย่างหรง คนงานผู้นั้นก็บอกทันทีว่าขาดตลาด แต่เมื่อเขาเห็นใบสั่งยาก็เข้าไปพบผู้ดูแล ทันใดนั้นก็มีสินค้า ต้องเป็นเพราะรู้ว่าผู้ที่เขียนใบสั่งยาคือใครเป็นแน่” โจวเวยหรี่ตาพลางวิเคราะห์ เอ่ยอีกว่า “เอาใบสั่งยามาให้ข้าดูหน่อย”
ฉินซูรีบยื่นใบสั่งยาให้ โจวเวยคลี่ออกดู เห็นอักษร ‘เต๋า’ จางๆ ที่มุมขวาล่างจริงๆ ด้วย
“เป็นเช่นนี้จริงๆ ด้วย”
โจวหนิงก็รับมาดูด้วย รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง
ในเวลานั้น พ่อบ้านจางรีบเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยความสุข
“คุณชาย มีเรื่องมงคลขอรับ” พ่อบ้านจางยกมือคำนับแสดงความยินดี ในมือยังถือจดหมายหนึ่งฉบับ เอ่ยว่า “คุณชาย นายท่านผู้เฒ่ามีจดหมายมา เนื่องจากนายท่านผู้เฒ่ามีส่วนร่วมในการปราบปรามพวกโจร ฮ่องเต้จึงได้แต่งตั้งให้คุณชายได้รับตำแหน่งเป็นนายพันค่ายใหญ่จู้ตงขุนนางขั้นหกขอรับ”
โจวหนิงตกตะลึง ก่อนจะดีใจเป็นอย่างมาก “ยินดีกับพี่ใหญ่ด้วย ท่านอาจารย์เอ่ยไว้ได้แม่นยำจริงๆ!”
ดวงตาทั้งสองข้างของโจวเวยเปล่งประกาย นี่คือสิ่งที่เขาเอ่ยว่า ‘หน้าที่การงานราบรื่น’ อย่างนั้นหรือ