ตอนที่ 394 จ้างผีร้ายมาคุ้มกัน
น้ำใจที่มีหากไม่ใช้ก็เสียเปล่า ฉินหลิวซีเล่าให้ฟังเกี่ยวกับการกระทำชั่วของพวกหลี่เจียง ซ้ำยังมุ่งเน้นไปที่หลี่เจียงและคนที่มีหูดซึ่งบนหลังของเขา
“สองคนนี้ยังติดชีวิตของคนไว้ด้วย” ฉินหลิวซีแสร้งทำท่าทางหวาดกลัวพลางเอ่ยว่า “ใต้เท้าอวี๋ก็นับว่าเป็นนายอำเภอ จะต้องทวงความยุติธรรมแทนพวกเราผู้บริสุทธิ์ที่ไร้ที่พึ่ง มิเช่นนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครจะต้องตายอย่างไม่ยุติธรรมเป็นรายต่อไป”
อวี๋ชิวไฉมุมปากกระตุกเล็กน้อย
คนอื่นนั้นไม่มีที่พึ่งจริงๆ แต่ท่านเพียงแค่ขยับปากก็สามารถฆ่าคนได้อย่างโหดเหี้ยมโดยที่ไม่มีใครรู้
หลี่เจียงและคนอื่นๆ ต่างก็ตกใจจนขวัญเสีย เขารู้ได้อย่างไร
เมื่อเห็นว่าอวี๋ชิวไฉเรียกเจ้าเด็กคนนั้นว่าท่านอาจารย์ และคำพูดร้ายกาจที่เจ้าเด็กคนนั้นพูดเมื่อก่อนหน้านี้ หลี่เจียงก็ขนหัวลุก สันหลังเย็นวาบในทันที
อวี๋ชิวไฉย่อมไม่ลืมน้ำใจของฉินหลิวซี ให้ทหารประจำตัวที่อยู่ข้างหลังเขาพาคนเหล่านั้นส่งไปที่ศาลปกครองตัดสินคดีในเมืองเพื่อสอบปากคำอย่างเข้มงวด
ทหารรับคำสั่งแล้วก็รีบควบคุมตัวคนเหล่านั้นไปทันที
สะใภ้หวังกับฉินเหมยเหนียงเห็นดังนั้นก็รู้สึกมึนงงไปหมด
ภาพนี้ดูเหมือนเป็นภาพลวงตา
“ใต้เท้าอวี๋มาทำอะไรหรือ” เมื่อฉินหลิวซีเห็นว่าเขายังสวมเครื่องแบบทางการอีกด้วยจึงถามด้วยรอยยิ้ม
อวี๋ชิวไฉยิ้มในทันที เอ่ยว่า “อย่างที่ท่านทราบ ภรรยาของข้าเริ่มท้องแก่แล้ว ช่วงนี้นางไม่ค่อยอยากอาหาร บ่าวรับใช้ที่จวนบังเอิญเห็นว่าที่นี่เปิดร้านผลไม้แช่อิ่มจึงซื้อกลับไปลองชิมดู ภรรยาชมไม่ขาดปาก ข้าเองก็เคยได้ยินนางเอ่ยชม จึงอยากจะมาซื้อไปให้นางก่อนกลับจวน”
“ใต้เท้ารักฮูหยินมากจริงๆ” ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ยกับสะใภ้หวังและคนอื่นๆ ว่า “ท่านแม่ พวกท่านก็ได้ยินแล้ว ห่อผลไม้แช่อิ่มทุกอย่างในร้านให้ใต้เท้านำกลับไปด้วย เรื่องราคาจดไว้ในบัญชีของข้า”
สะใภ้หวังจำอวี๋ชิวไฉได้แล้ว ตกใจที่ฉินหลิวซีมีมิตรภาพใกล้ชิดกับเขา เมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบให้ฉินเหมยเหนียงไปห่อผลไม้แช่อิ่มมา
อวี๋ชิวไฉตกตะลึง
เขาเหลือบมองร้านหรูอี้ แล้วมองไปที่สะใภ้หวัง จำได้ทันที “ฮูหยินฉิน?”
สะใภ้หวังยิ้มพลางคำนับเขา “ใต้เท้าอวี๋ สตรีธรรมดาอย่างข้าไม่อาจเป็นฮูหยิน”
“เดี๋ยวนะ ท่านกับท่านอาจารย์…” อวี๋ชิวไฉชี้ไปยังทั้งสองคน
ฉินหลิวซีเอ่ยว่า “เข้าไปคุยในร้านเถิด”
อวี๋ชิวไฉเดินเข้าไปในร้านด้วยความสับสน รู้สึกมึนงงเล็กน้อย
ตอนแรกที่พบสะใภ้หวังถูกกลั่นแกล้งตอนเข้าเมือง เขาก็ได้สืบเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลฉิน ก็ได้แต่ถอนหายใจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเห็นใจมากนัก
อย่างไรเสียการอยู่ข้างกายฮ่องเต้ก็เหมือนกับอยู่ข้างกายเสือ การปฏิบัติหน้าที่ต่อหน้าฮ่องเต้ แม้ว่าจะทำให้ฮ่องเต้คุ้นเคย เป็นประโยชน์ต่อการเลื่อนตำแหน่ง แต่ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน เมื่อทำได้ไม่ดี หากบอกว่าเจ้าผิดเจ้าก็ต้องผิด ไม่จำเป็นต้องใช้หลักฐานหรือเหตุผลมากนัก
ดังนั้นกรณีอย่างฉินหยวนซานเช่นนี้ เขาไม่ใช่คนแรก แล้วก็ไม่ใช่คนสุดท้าย ยิ่งฮ่องเต้อายุมากเท่าไหร่ ความสงสัยก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น ข้าราชการก็ยิ่งเหมือนเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งอันเปราะบาง และจะมีเรื่องเช่นนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
หอที่สร้างขึ้นมาสูงแล้วถล่มลงนั้นเป็นเรื่องปกติในเมืองหลวง
หลังจากรู้เรื่องราวภายในแล้ว เขาก็ปล่อยเรื่องนี้ทิ้งไว้ข้างหลัง แม้ว่าเขากับตระกูลฉินจะรู้จักกัน แต่ก็ไม่ได้มีมิตรภาพต่อกัน รู้ว่าบ้านเดิมของคนตระกูลฉินอยู่ที่เมืองหลี แต่ก็ไม่ได้มีความคิดใดๆ จึงไม่ได้ให้ความสนใจ
แต่ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะรู้เกี่ยวกับเรื่องใหญ่อะไรบางอย่างแล้ว
สะใภ้หวังดูแลกิจการร้านหรูอี้แห่งนี้ ท่านอาจารย์เรียกนางว่าท่านแม่ แต่บุรุษทั้งสิบสองคนของตระกูลฉินล้วนถูกเนรเทศไปหมดแล้ว เช่นนั้นท่านอาจารย์คือ?
จู่ๆ อวี๋ชิวไฉก็คิดบางอย่างออก
เขามองไปยังฉินหลิวซี นางยิ้มพลางถามอย่างเจ้าเล่ห์ “ใต้เท้าอวี๋เข้าใจแล้วใช่หรือไม่”
อวี๋ชิวไฉเป็นคนมีไหวพริบ เอ่ยว่า “ฮูหยินฉินคือ…”
“คือแม่ใหญ่ของข้า” ฉินหลิวซีเอ่ย
“เช่นนั้นท่าน? ข้าจำได้ว่าบุรุษตระกูลฉินล้วนถูกเนรเทศไปแล้ว”
“ข้าเป็นสตรี ย่อมไม่ได้อยู่ในรายชื่อเนรเทศ”
“อ้อ” อวี๋ชิวไฉถอยหลังไปสองก้าว แม้ว่าจะคาดเดาได้บ้างเล็กน้อยแต่ก็ยังตกใจกับคำตอบเช่นนี้
ท่านอาจารย์ที่เขาเคารพนับถือเป็นสตรี
สะใภ้หวังที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่รู้ว่าควรทำตัวอย่างไร
“ข้าเป็นนักพรตหญิง ฝากตัวเป็นศิษย์อารามชิงผิงตั้งแต่เด็ก ก่อนหน้านี้ไม่เคยได้อธิบายกับใต้เท้าอย่างชัดเจน เพราะคิดว่าจะได้กระทำการได้สะดวก” ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “ส่วนพวกนางก็คือญาติในทางโลกของข้า”
อวี๋ชิวไฉสูดหายใจเข้าลึกๆ ยกมือขึ้นคารวะ “ต้องโทษที่ข้าตาถั่วจนมองไม่ออกเอง”
“ส่วนใหญ่ข้าปรากฏตัวโดยแต่งตัวเป็นบุรุษ ซ้ำยังเป็นผู้ที่ออกบวช ท่านมองไม่ออกก็ไม่โทษท่าน หลายคนก็มองไม่ออกเช่นกัน”
อวี๋ชิวไฉยิ้มอย่างลำบากใจ เป็นเช่นนั้นจริงๆ ใบหน้าของนางไม่มีความอ่อนโยนของสตรีแม้แต่นิด รวมถึงท่าทางก็ไม่ได้มีความเป็นสตรีเช่นกัน แต่คิดไม่ถึงว่านางจะเป็นสตรี
ฉินเหมยเหนียงห่อผลไม้แช่อิ่มเรียบร้อยแล้ว ฉินหลิวซีเห็นดังนั้นก็ไปหยิบมามอบให้ เอ่ย “ผลไม้แช่อิ่มเหล่านี้ล้วนทำจากสูตรของข้า เหมาะสำหรับทุกวัย มอบให้ฮูหยินแก้กระหายของหวาน”
“ไม่ได้หรอก คนในครอบครัวของพวกท่านมีทั้งเด็กและคนชรา ทำกิจการก็ไม่ง่ายเลย” อวี๋ชิวไฉรีบดึงกระเป๋าเงินออกมา
สะใภ้หวังยิ้มพลางเอ่ย “เพียงแค่ผลไม้แช่อิ่มเล็กๆ น้อยๆ จะมีค่าเท่าไหร่กันเชียว ถูกปากฮูหยินอวี๋ก็พอใจแล้ว อีกอย่างพวกเรายังต้องขอบคุณที่ใต้เท้าช่วยแก้ไขปัญหาให้”
อวี๋ชิวไฉเอ่ย “นี่ก็เป็นฝีมือของท่านอาจารย์เช่นกัน ข้าเพียงแค่เรียกคนให้ช่วยพาตัวไปส่งที่ศาลปกครองเท่านั้น”
“แต่ด้วยป้ายชื่อของท่านและคำขอให้สอบปากคำอย่างเข้มงวด คนที่รับผิดชอบเรื่องนี้ย่อมไม่มีทางกระทำการอย่างหละหลวม พวกเขาก็จะไม่กล้ามาอีก” ฉินหลิวซีเอ่ย
แม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่มีชีวิตกลับมาอีก แต่ต่อหน้าสาธารณะก็ยังคงต้องเอ่ยเช่นนี้
อวี๋ชิวไฉเห็นดังนั้นจึงทำได้เพียงรับมา เอ่ย “พวกท่านทำกิจการอย่างวางใจเถิด ข้าจะบอกกับหน่วยลาดตระเวนในเมืองให้มาลาดตระเวนบริเวณของพวกท่านบ่อยขึ้น คาดว่าคงจะไม่มีคนตาถั่วเหล่านั้นกล้ามาก่อปัญหาที่นี่อีก”
สะใภ้หวังดีใจ เมื่อเป็นเช่นนี้พวกนางก็จะลดปัญหาลงได้ไม่น้อย นับว่าได้รับการคุ้มครองจากอวี๋ชิวไฉ
“เช่นนั้นก็ขอบคุณใต้เท้าอวี๋เป็นอย่างมาก” สะใภ้หวังคารวะด้วยความขอบคุณ ฉินเหมยเหนียงเองก็ระงับความดีใจและคารวะขอบคุณด้วยเช่นกัน
อวี๋ชิวไฉปลีกตัวออกมา เอ่ยกับฉินหลิวซีว่า “นี่คือร้านตระกูลฉินของพวกท่าน แต่ข้าจำได้ว่าท่านอาจารย์บอกว่ามีร้านแห่งหนึ่งอยู่ที่ตรอกโซ่วสี่?”
“คนละร้านกัน” ฉินหลิวซีเอ่ยอธิบายว่า “ข้าดูแลเฉพาะร้านที่อยู่ตรอกโซ่วสี่เท่านั้น”
อวี๋ชิวไฉเข้าใจแล้วจึงไม่เอ่ยอะไรอีก ยกมือขึ้นคารวะพวกนาง จากนั้นก็เอ่ยลาแล้วจากไป
ความจริงแล้วท่านอาจารย์เป็นสตรี เขาต้องไปสงบจิตใจสักพัก
หลังจากที่เขาจากไป สะใภ้หวังจึงเอ่ยกับฉินหลิวซีทันที “เจ้ามุทะลุเกินไปแล้ว เหตุใดต้องไปถือสาพวกอันธพาลเหล่านั้น แค่ไปรายงานเจ้าหน้าที่ก็พอแล้ว หากมันทำอันตรายเจ้าขึ้นมาจะทำอย่างไร ตีหนูแต่ทำให้ขวดหยกเสียหาย ไม่คุ้มค่า”
“ท่านวางใจเถิด พวกอันธพาลเหล่านั้นไม่เป็นปัญหาสำหรับข้า การรายงานเจ้าหน้าที่ก็มีประโยชน์ พวกเขาก็จะไม่กล้ากำเริบเสิบสานเช่นนี้อีก” จู่ๆ ฉินหลิวซีก็ตบมือก่อนจะเอ่ย “ตายจริง ข้าลืมเก็บค่าคุ้มครองกับพวกเขา จ่ายเงินไปทั้งหมดเท่าไหร่แล้ว ต้องเอาคืนมา”
สะใภ้หวังหัวเราะ “เพียงแค่เศษเงินไม่กี่ตำลึง เจ้าอย่าไปเอาเลย คิดเสียว่าเป็นการเสียเงินฟาดเคราะห์ก็แล้วกัน”
ฉินหลิวซีมองดูร้านที่สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เอ่ยว่า “เปิดร้านได้ไม่กี่วันก็มีคนมาหาเรื่องแล้ว นอกจากคนเหล่านี้แล้วยังมีใครอื่นอีกหรือไม่”
“มีเพียงแค่กลุ่มนี้กลุ่มเดียว” สะใภ้หวังเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เพียงเพราะเห็นว่าพวกเราเป็นสตรีที่ทำกิจการก็เลยมาเอาเปรียบก็เท่านั้น”
ฉินเหมยเหนียงไปเอาผลไม้แช่อิ่มมาให้เถิงเจาและวั่งชวนทาน ถอนหายใจแล้วเอ่ย “ใช่แล้ว พึ่งจะเปิดร้าน ตอนนี้สินค้าอย่างผลไม้แช่อิ่มก็นับว่ามีไม่มาก ข้ากับพี่สะใภ้ทำกิจการอยู่เบื้องหน้า นับว่ายุ่งมากจริงๆ จึงให้สตรีที่ทำงานอยู่เบื้องหลังออกมาช่วย คนที่เข้าออกที่นี่ล้วนเป็นสตรี จึงคิดว่าพวกเรารังแกได้ง่าย”
สตรีทำกิจการก็เป็นเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เปิดเผยตัวตนในที่สาธารณะ ซ้ำยังไม่มีคนหนุนหลัง ดังนั้นจึงเหมาะที่จะมาเหยียบย่ำมากที่สุด ไม่แน่อาจจะได้รับส่วนแบ่งอีกหนึ่งส่วน จึงพากันมาเอาเปรียบ
“ในเมื่อใต้เท้าอวี๋บอกว่าจะให้คนมาลาดตระเวนบริเวณนี้มากขึ้น ต่อไปก็ไม่ต้องกลัวแล้ว เพียงแต่แน่ใจหรือว่าต่อไปนี้พวกท่านจะทำอยู่เบื้องหน้า เมื่อร้านเป็นไปตามแผนแล้ว ก็ควรจะจ้างคนงานหญิงมาเพื่อช่วยเหลือหรือจ้างคนงานชายสักคน แล้วยังต้องมีผู้ดูแลอีก ไม่คิดว่าจะจ้างคนหรือเจ้าคะ” ฉินหลิวซีเอ่ยถาม
สะใภ้หวังเอ่ย “จ้างคนนอกมาก็เป็นการจ้าง ให้คนของตัวเองมาทำก็เป็นการจ้างเช่นกัน ข้าจึงอยากจะให้ท่านอาหญิงใหญ่ของเจ้าเป็นผู้ดูแลร้าน ควรให้ค่าจ้างเท่าไหร่ก็ให้เท่านั้น จากนั้นก็จะจ้างคนงานที่มีความคล่องแคล่วอีกสองคน ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องอื่น เพียงแค่การนำเข้าสินค้าก็ต้องมีการขนย้าย ส่วนเรื่องบัญชีข้าจะทำเอง”
ฉินเหมยเหนียงมองฉินหลิวซีอย่างระมัดระวัง เอ่ยว่า “หากซีเอ๋อร์คิดว่าไม่เหมาะสม เช่นนั้นข้าเป็นคนงานก็ได้”
อย่างไรเสียนางก็ต้องทำงานหาเงิน และนางพบว่าการหารายได้ด้วยความสามารถของตัวเองโดยไม่พึ่งพาใคร ทำให้รู้สึกมีความมั่นใจเป็นพิเศษ
นางคิดไว้แล้วว่าเมื่อหาเงินได้มากแล้วก็จะซื้อที่ดินสะสมทรัพย์สินของครอบครัวทีละเล็กทีละน้อย ในภายภาคหน้าพวกนางสามคนแม่ลูกก็จะได้มีที่พึ่ง
ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “มีหรือจะไม่ได้ ตัวท่านอาหญิงใหญ่เองก็คำนวณบัญชีเป็นและเคยดูแลเรือน การดูแลร้านคงไม่ใช่ปัญหา อีกอย่างข้าก็ไม่ได้ดูแลเรื่องในร้านนี้ จะจ้างกี่คน หรือจ้างใครก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านแม่ แต่การที่จ้างคนงานที่มือเท้าคล่องแคล่วและสามารถแบกหามได้นั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง”
ฉินเหมยเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ยิ้มพลางเอ่ย “ข้าจะทำให้ดีอย่างแน่นอน”
นางแค่กลัวว่าฉินหลิวซีจะไม่เห็นด้วย
สะใภ้หวังก็ยิ้มเช่นกัน ในใจได้ตัดสินใจแล้ว หลังจากเกิดเรื่องในวันนี้ การจ้างคนงานที่พอมีวรยุทธ์อยู่บ้างนั้นเป็นเรื่องจำเป็น
แม้จะเอ่ยได้ว่าโชคดีที่ฉินหลิวซีมาที่ร้านพอดี และยังได้พบกับอวี๋ชิวไฉ แต่หากพวกเขาทั้งสองไม่ได้อยู่ที่นี่ วันนี้พวกนางจะต้องประสบกับความสูญเสียอย่างแน่นอน
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าจะได้เปิดกิจการ เริ่มมีความหวังขึ้นมาแล้วจะปล่อยให้ถูกคนทำลายเช่นนี้ไม่ได้
สะใภ้หวังให้ฉินเหมยเหนียงดูแลกิจการ ส่วนนางก็พาฉินหลิวซีเดินเข้าไปข้างใน
ฉินหลิวซีได้ยินมาว่าคนงานหญิงในร้านนี้อาศัยอยู่ในห้องเล็กๆ ด้านหลัง ประการแรกเพื่อเฝ้าร้านค้า ประการที่สองเพื่อที่จะได้มีที่พักอาศัย
“ตอนนี้ให้พวกนางเฝ้าร้านนั้นยังไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่ รอให้จ้างคนงานชายได้แล้ว ข้าก็จะให้เขามาเฝ้าร้านนี้” สะใภ้หวังเอ่ย
ฉินหลิวซีก็เห็นด้วยเช่นกัน แต่ในใจก็ได้วางแผนไว้แล้ว ปืนที่อยู่ตรงหน้าหลบหลีกง่าย ธนูที่แอบยิงนั้นป้องกันยาก หากสะใภ้หวังจ้างคนในทางสว่าง เช่นนั้นนางก็จะจ้างผีร้ายมาช่วยดูแลร้านนี้
อย่างไรเสียก็เพียงแค่จ้างด้วยเทียนสองสามเล่มกับอาหารหนึ่งมื้อเท่านั้น
ไม่ใช่เพราะฉินหลิวซีอยากเข้าไปยุ่งเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ความจริงแล้วการดำเนินกิจการร้านนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หากร้านค้าดำเนินไปได้ดี คนในตระกูลฉินมีที่พึ่งพา นางก็จะได้ไม่ต้องกังวลมากเกินไป
หาปลามาให้กินหรือจะสู้สอนวิธีจับปลาให้ นางเข้าใจหลักการนี้ดี
มีร้านนี้เป็นหลักประกัน ชีวิตก็จะดีขึ้น จะได้อยู่อย่างสงบสุขสักที หากตระกูลฉินลุกขึ้นเองได้ เช่นนั้นก็ไม่มีธุระของนางแล้ว
ฉินหลิวซีแอบจำไว้ว่าจะต้องอัญเชิญให้ผีร้ายมาคุ้มกันดูแล แต่ก็ไม่ได้บอกกับสะใภ้หวัง เพื่อไม่ให้นางไม่สบายใจ เรื่องบางเรื่องไม่รู้ก็จะได้ไม่กลัวจะดีกว่า