คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 397 บุตรชายข้า เจ้าก็มีหน้าตาไง!

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 397 บุตรชายข้า เจ้าก็มีหน้าตาไง!

ฉินหลิวซีหัวเราะจนตัวงอ ชี้ไปยังฉินหมิงฉุน อาจารย์อาน้อยที่ขี้เหนียวและยากจน ฮ่าๆ ตลกจะตายอยู่แล้ว

ความไม่พอใจของฉินหมิงฉุนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จ้องมองนางพลางเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ข้าถูกเรียกว่าท่านอาจารย์อาน้อยอย่างกะทันหัน แล้วจะไปเตรียมของขวัญต้อนรับทันได้อย่างไร นี่ไม่ใช่ความผิดข้า”

“ก็จริงของเจ้า แต่เจ้าที่พึ่งได้ตำแหน่งท่านอาจารย์อาน้อยมาก็ควรจะให้ของขวัญสักเล็กน้อยไม่ใช่หรือ” ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ

ฉินหมิงฉุนตัวแข็งเล็กน้อย รู้สึกเขินอาย

คือว่า ดูเหมือนเขาจะยากจนจริงๆ

ก่อนหน้านี้ตอนที่ตระกูลฉินอยู่ในจุดสูงสุดและยังไม่ล้มลง เขาก็มีของเล็กๆ น้อยๆ มากมาย สามารถมอบเป็นของขวัญต้อนรับได้ตามต้องการ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีอะไรดีๆ ที่จะมอบให้ได้

ฉินหมิงฉุนรู้สึกกังวลเล็กน้อย อยากจะกลับไปค้นห้องตัวเองทันที ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องนำของสักหนึ่งถึงสองชิ้นมาเป็นของขวัญต้อนรับ

“กลับไปข้าจะชดเชยให้” เขาดูเหมือนกำลังให้คำสาบาน

ฉินหลิวซีอยากจะหัวเราะอีกครั้ง แต่อดกลั้นเอาไว้ หยิกเนื้อนุ่มๆ บนใบหน้าเขาพลางเอ่ย “การเรียนที่สำนักศึกษาเป็นอย่างไรบ้าง”

ฉินหมิงฉุนยืนอยู่ตรงหน้านาง ยืดหลังตรง เอ่ยว่า “เจ้าสำนักกับบรรดาท่านอาจารย์นั้นดีทุกคนขอรับ”

“สหายร่วมชั้นล่ะ”

ฉินหมิงฉุนเงียบไป

ฉินหลิวซีเหลือบมอง เลิกคิ้วพลางเอ่ย “ทำไม ถูกรังแกหรือ”

“ก็ไม่ใช่เช่นนั้น ข้าไม่เป็นไร ข้าหน้าด้านจะตายไป อายุก็ยังน้อย แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำนินทาของผู้อื่นหรือแกล้งโง่ก็ได้แล้วขอรับ” ฉินหมิงฉุนยังเอ่ยต่อว่า “แต่ว่าพี่สี่ทนคำยั่วยุไม่ได้ ตีกันกับคนผู้นั้น ก็เลยถูกท่านอาจารย์ลงโทษ”

“คำยั่วยุอะไร”

“ไม่รู้ว่ามีคนรู้ตัวตนของพวกเราได้อย่างไร บอกว่าพวกเราเป็นเด็กโชคร้าย ท่านพ่อกับพี่ชายนอนกลางดินกินกลางทรายอยู่ที่ซีเป่ย ส่วนพวกเรากลับมาเรียนอยู่ที่สำนักศึกษา บอกว่าพวกเราเป็นคนใจร้าย ควรจะติดตามไปนอนกลางดินกินกลางทรายด้วย ไม่ใช่มามีความสุขอยู่ที่นี่” ฉินหมิงฉุนสูดหายใจ เอ่ยว่า “แต่หากถามข้า ข้าว่าพวกเขาต่างหากที่นิสัยไม่ดี จงใจยั่วยุพวกเรา จึงได้พูดคำเหล่านั้น ให้ติดตามไปเผชิญความลำบาก ก็ใช่ว่าพวกเราอยากตามไปด้วยก็สามารถตามไปได้ พวกเขาไม่รู้อะไรแล้วยังจะพูดอีก”

ฉินหลิวซีดีใจมาก “แล้วอย่างไรต่อ”

“หลังจากนั้นพี่สี่ก็ทนคำยั่วยุไม่ไหว ก็เลยตีกันกับคนผู้นั้น จึงถูกอาจารย์ลงโทษให้คัดตัวอักษรร้อยตัว” ฉินหมิงฉุนพูดไม่ออก รู้สึกกลัว ก่อนจะเอ่ย “โชคดีที่ข้าไม่ได้ตามเขา มิเช่นนั้นข้าก็คงถูกลงโทษไปด้วย”

ฉินหลิวซีหรี่ตาลง ถามว่า “เจ้าคิดว่าถูกแล้วหรือที่ปล่อยให้พี่สี่ของเจ้าตีกับคนอื่นโดยไม่เข้าไปช่วย”

ฉินหมิงฉุนเย็นสันหลัง

เขากลืนน้ำลาย เอ่ยว่า “ข้าสู้ไม่ได้ หากข้าบุกเข้าไป ก็มีแต่จะโดนตีไม่ใช่หรือ ข้าแค่อยู่นิ่งๆ จากนั้นค่อยหาโอกาสตลบหลัง”

“ตลบหลัง?”

ฉินหมิงฉุนเอ่ย “ข้าอาศัยตอนที่คนผู้นั้นไปเข้าห้องน้ำ จับคางคกมาหนึ่งตัวแล้วโยนเข้าไป ทำเอาเขาตกใจจนตกลงไปในโถส้วม! ท่านวางใจได้ ก่อนที่ข้าจะลงมือได้วางแผนทางหนีทีไล่ไว้เรียบร้อยแล้ว ซ้ำยังหาสหายร่วมชั้นหนึ่งคนมาเป็นพยานให้ข้าอีกด้วย เขาสงสัยข้าไม่ได้หรอก”

แค่การแกล้งอำ ไม่ใช่เรื่องใหญ่

ฉินหลิวซีพยักหน้า เอ่ย “ดีมาก กล้าหาญและรู้จักวางแผน ไม่ใช่กระทำการอย่างมุทะลุ เมื่อต้องเผชิญกับคำพูดยั่วยุที่โจ่งแจ้งเช่นนี้ เจ้าไม่หลงกลนั้นถูกแล้ว ไม่ว่าคำพูดของเขาจะรุนแรงแค่ไหน ก็เทียบไม่ได้กับผลคะแนนที่น่าภูมิใจของพวกเจ้า”

ฉินหมิงฉุนเอียงศีรษะ เอ่ย “แต่หลังจากเรื่องนั้นพี่สี่ด่าว่าข้าขี้ขลาดและอ่อนแอ”

“เขามีความกล้าหาญ นอกจากทะเลาะกับผู้อื่นแล้วถูกลงโทษ แล้วเขาได้ประโยชน์อะไรอีก” ฉินหลิวซีมองไปทางนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าเรียบเฉย เอ่ยว่า “เขาไม่ได้อะไรเลย ได้รับเพียงบทลงโทษจากอาจารย์ บางทีอาจจะมีอาจารย์ที่ไม่พอใจเขา และการถูกลงโทษโดยการให้คัดตัวอักษรยิ่งต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างมาก หากมีเวลานี้ไม่สู้เอาไปอ่านหนังสือสักสองเล่ม หารือกับอาจารย์ไม่ดีกว่าหรือ”

“เป็นเพราะความกล้าหาญเขาจึงทนต่อความยั่วยุไม่ได้ หรือว่าเป็นเพราะตัวเองทนการประชดประชันไม่ไหว ก็ยังยากที่จะเอ่ยได้ ไม่มีกำลังแล้วยังจะพูดถึงความกล้าหาญอะไรอีก พวกเจ้ายังไม่ใช่ลูกศิษย์อย่างเป็นทางการของสำนักศึกษา หลังจากเหตุการณ์นี้ การที่อาจารย์กับเจ้าสำนักมีความรู้สึกว่าพวกเจ้าไม่มีความอดทนและไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้นั้นไม่เป็นผลดีต่อพวกเจ้าเลย การลงโทษจะต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง เมื่อถึงเวลาสอบประจำเดือนแล้วสอบไม่ผ่าน เช่นนั้นก็ทำได้เพียงเก็บของแล้วออกไป ซึ่งเป็นการตกหลุมพรางของเขาพอดี”

“หากจนก็ต้องอบรมคุณธรรมของตัวเองให้ดี หากรวยก็ให้สร้างประโยชน์แก่ใต้หล้า พวกเจ้ายังเป็นเพียงไก่อ่อนตัวหนึ่ง ตระกูลอยู่ในสถานการณ์อ่อนแอ่ เข้าร่วมสำนักศึกษาก็เป็นได้เพียงผู้ที่เข้าร่วมฟังการสอน ไม่มีอะไรทั้งนั้น อ่อนแอเช่นนี้ยังจะยึดหลักความกล้าหาญอะไรอีก หากอดทนต่อการยั่วยุของผู้อื่นไม่ได้ ในภายภาคหน้าจะประสบความสำเร็จได้อย่างไร” ฉินหลิวซีน้ำเสียงแหลมคม “หากข้าเป็นพวกเจ้าก็จะระมัดระวังอยู่อย่างเงียบสงบ ยืนในสำนักศึกษาให้มั่นคงก่อน แล้วค่อยๆ เสริมสร้างตนเอง ในภายภาคหน้าจะเป็นแมลงหรือมังกรย่อมแยกแยะได้เอง จำเอาไว้ว่าพวกเจ้าต้องแข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะสามารถฟื้นฟูตระกูลได้ แต่ไก่อ่อนอย่างพวกเจ้ากลับไปยึดหลักความกล้าหาญ พิสูจน์ความหยิ่งผยองของตัวเอง นั่นคือความโง่เขลา”

ฉินหมิงฉุนใจสั่น ก้มหน้ารับคำสอน

“เจ้าทำได้ดี ในที่โจ่งแจ้งพวกเราสู้ไม่ได้ เช่นนั้นก็แอบทำอย่างลับๆ” ฉินหลิวซีมองเขาด้วยความชื่นชม เอ่ยว่า “วางแผนทางหลบหนีได้ดี รู้จักหาคนมาเป็นพยาน เพื่อไม่ให้ถูกจับได้ นับว่าเจ้าชนะแล้ว คนผู้นั้นปากร้ายพูดจาสกปรก ตกลงไปในถังส้วมนั้นสมควรแล้ว เสี่ยวอู่ แม้ว่าพี่สี่ของเจ้าจะผิดที่มุทะลุ แต่พวกเจ้าเป็นพี่น้องกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน รุ่งเรืองก็รุ่งเรืองด้วยกัน เสียหายก็เสียหายด้วยกัน เมื่อเผชิญหน้ากับผู้อื่นก็ต้องเป็นหนึ่งเดียวกันนั้นถูกแล้ว เพียงแต่ต้องเลือกวิธีให้ถูกต้อง”

ฉินหมิงฉุนเกาหัวพลางยิ้มอย่างเขินอาย “ข้าไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงแค่รู้สึกว่าไม่สามารถปล่อยเขาให้อยู่อย่างสงบสุขได้”

ฉินหลิวซีมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่สนใจเสียฝีเท้าที่เหยียบย่ำบนหิมะ จากนั้นก็เริ่มทดสอบความรู้ของฉินหมิงฉุนที่เรียนมาในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา

เมื่อเริ่มทดสอบ ก็เริ่มอธิบายอย่างตะกุกตะกัก

“เจ้าสำนักบอกว่าข้ามีพรสวรรค์ด้านการคำนวณเลขเป็นอย่างมาก” ฉินหมิงฉุนเริ่มรู้สึกไม่สบายใจอีกครั้ง

ฉินหลิวซีอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดไป ถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “เอาล่ะ เจ้าศึกษาให้สุดความสามารถ เรียนรู้ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ไปเถิด”

“ขอรับ”

ฉินหมิงฉุนเอ่ยลาฉินหลิวซี วิ่งกลับไปที่เรือนของตัวเอง ค้นของที่มีในหีบและตู้ต่างๆ

อนุวั่นเดินเข้ามา ถามว่า “เจ้าไม่ได้ไปที่เรือนของพี่หญิงใหญ่เจ้าหรอกหรือ ข้าบอกแล้วว่านางไม่อยู่”

“อยู่ พี่หญิงใหญ่กลับมาแล้วขอรับ” ฉินหมิงฉุนนั่งลงบนเตียงนั่ง เอ่ย “แม่เล็ก ข้าได้พบลูกศิษย์ทั้งสองของพี่หญิงใหญ่แล้ว”

อนุวั่น “อ้อ” เห็นเขาท่าทางเหี่ยวเฉาจึงเอ่ย “ทำไมหรือ ถูกพวกเขาทำให้รู้สึกไม่ดีหรือ กลัวอะไร เจ้าเป็นน้องชายแท้ๆ ของพี่สาวเจ้า แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้ดีไปกว่าพวกเขา แต่เจ้ามีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาไม่ได้ดีกว่าเจ้าอย่างแน่นอน”

“อะไร”

“หน้าตาไง บุตรชายข้า เจ้ามีหน้าตาไง” อนุวั่นนั่งลง เอ่ยว่า “ข้าเคยเห็นแล้ว พวกเขาไม่ได้ดูดีเหมือนเจ้า ในภายภาคหน้าเมื่อโตขึ้นจะต้องสู้เจ้าไม่ได้อย่างแน่นอน ซ้ำพวกเขายังสวมชุดนักพรตธรรมดาๆ เพียงแค่เจ้าแต่งตัวเล็กน้อย ก็ดูงดงามดั่งดอกไม้แล้วไม่ใช่หรือ จะต้องดึงดูดสายตาพี่สาวเจ้าได้อย่างแน่นอน”

ฉินหมิงฉุนใบหน้ามืดครึ้ม “แม่เล็ก ข้าไม่ได้เป็นกังวลเพราะเรื่องนี้สักหน่อย”

“แล้วเป็นอะไรหรือ”

“หากเรียงตามความอาวุโส พวกเขาต้องเรียกข้าว่าท่านอาจารย์อาน้อย พี่หญิงใหญ่ก็ยอมรับแล้ว แสดงว่าพวกเขาให้ความเคารพข้า เช่นนั้นข้าก็ต้องมอบของขวัญต้อนรับไม่ใช่หรือ แต่ข้าไม่มีอะไรที่มอบให้ได้เลย” ฉินหมิงฉุนไม่รู้จะทำอย่างไร หงุดหงิดเป็นอย่างมาก

ในหัวของอนุวั่นว่างเปล่า “อาจารย์อาน้อย? เช่นนั้นหากนับตามความอาวุโส ข้าจะไม่เป็นอาจารย์ยายของเขาเลยหรือ แม่เจ้า ข้าแก่มากแล้วหรือ!”

ฉินหมิงฉุน “!”

ช่างเถิด พวกเขาสองแม่ลูกนั้นแตกต่างกัน พูดไปก็เปลืองน้ำลาย!

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท