คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 402 เจ้าคือผีที่นายท่านน้อยส่งมาหรือ

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 402 เจ้าคือผีที่นายท่านน้อยส่งมาหรือ

ฉินหลิวซีไม่ได้ตกลงรับงานนี้ ที่จริงยังไม่ทันฟังเรื่องที่นายน้อยของเขาเจอวิญญาณชั่วร้ายก็ไล่เขากลับไปแล้ว

แม้ว่าบ่าวรับใช้ผู้นั้นจะไม่เต็มใจ แต่ก็กลัวอำนาจของโจวเวยและอวี๋ชิวไฉ จึงจากไปด้วยความสิ้นหวัง

เมื่อเห็นว่าเขาไปแล้ว โจวเวยก็ยกมือคารวะอวี๋ชิวไฉ “ข้าน้อยโจวเวยคารวะใต้เท้าอวี๋”

“แซ่โจว?” ภาพบุคคลหนึ่งปรากฏขึ้นมาในหัวของอวี๋ชิวไฉ เอ่ยถามว่า “โจวซิงผิงเป็นอะไรกับเจ้าหรือ”

โจวเวยยิ้มพลางตอบ “เป็นบิดาของข้า”

อวี๋ชิวไฉตีมือ “ข้าก็ว่าเจ้าดูคุ้นตาเป็นอย่างมาก ที่แท้ก็เป็นบุตรชายของโจวทั่นฮวา[1] บัณฑิตที่ถูกแห่ไปตามท้องถนนในยามนั้น ท่านพ่อของเจ้าเป็นทั่นฮวา ยังได้รับดอกไม้และผ้าเช็ดหน้ามากกว่าบัณฑิตอันดับหนึ่งเสียอีก คิดไม่ถึงว่าในชั่วพริบตาบุตรชายของเขาจะโตเพียงนี้แล้ว ไม่เลวเลย เจ้าเด็กคนนี้มีสง่าราศีเหมือนกับพ่อของเจ้าในตอนนั้นอยู่บ้าง”

โจวเวยกล่าวอย่างถ่อมตัว “ผู้น้อยมักจะถูกท่านพ่ออบรมสั่งสอน บอกว่าไม่ได้ครึ่งเขาแม้แต่นิดเดียว”

อวี๋ชิวไฉอยากจะเอ่ยอะไรอีก แต่ฮูหยินอวี๋กระแอมขึ้นมา เขาตอบสนองในทันที กล่าวแนะนำ “นี่คือภรรยากับบุตรสาวของข้า เตี๋ยเอ๋อร์ เรียกว่าพี่โจวเถิด นี่คือ?”

“นี่คือน้องสาวข้า เป็นคุณหนูรอง” โจวเวยคารวะฮูหยินอวี๋กับอวี๋อวิ๋นเตี๋ย โจวหนิงรีบคารวะตามทันที

อวี๋อวิ๋นเตี๋ยก็คารวะทั้งสองอย่างเป็นกันเอง ซ้ำยังมอบอาหารที่ตัวเองทำให้กับโจวหนิง

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายคารวะซึ่งกันและกันแล้ว ฮูหยินอวี๋จึงเอ่ย “ตอนนี้ยังอยู่ในร้านของท่านอาจารย์ อย่าพึ่งรำลึกความหลังกันที่นี่เลย เดี๋ยวจะไปรบกวนการทำกิจการของอาจารย์ ในเมื่อพวกเจ้าสองคนพี่น้องมาเมืองหลีแล้ว พวกเราเป็นเจ้าถิ่น อีกสักครู่ไปนั่งเล่นที่จวนเถิด”

“จริงสิ พวกเจ้ามาขอรับการรักษาหรือมาขอยันต์ เช่นนั้นพวกเจ้าก็มาถูกแล้ว ข้าไม่ได้คุยโม้ ท่านอาจารย์เป็นเลิศทั้งวิชาแพทย์และการทำนาย เป็นผู้ที่โดดเด่นในเสวียนเหมิน” อวี๋ชิวไฉมองไปยังฉินหลิวซีพลางเอ่ยชม

ฉินหลิวซี “ใต้เท้าเกรงใจแล้ว”

โจวเวยกลับถามอย่างสงสัยว่า “อาจารย์ไม่คิดจะรับงานเมื่อครู่นี้หรือ บอกได้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด”

“เขายังไม่ถึงจุดที่ข้าต้องยอมเดินทางไกล และในช่วงนี้อารามเต๋าจะทำการกุศล ข้าจึงไปไหนไม่ได้ ยิ่งเป็นหน้าหนาวก็ยิ่งไม่อยากเดินทาง หากต้องการขอรับการรักษาหรือขอยันต์ก็ให้มาที่ร้านด้วยตัวเอง” ฉินหลิวซีอธิบาย จากนั้นก็เอ่ยอย่างมีนัยยะว่า “อีกอย่าง บางคนก็ไม่ควรช่วยเหลือ”

อวี๋ชิวไฉเอ่ย “ข้าได้ยินท่านเคยบอกว่าจะไม่ช่วยคนชั่วร้ายที่มีบาปกรรมติดตัว หรือว่านายน้อยของคนผู้นั้นมีอะไรไม่เหมาะสมหรือ”

ฉินหลิวซีเอ่ย “ยังไม่เห็นคนคนนั้นจึงไม่อาจสรุปได้ แต่เห็นว่าคนผู้นั้นคำพูดไม่สอดคล้อง ไม่มีความจริงออกมาจากปากสักคำ เห็นได้ชัดว่าพฤติกรรมของนายน้อยผู้นั้นมักถูกผู้คนวิพากษ์วิจารณ์อยู่เสมอ อีกอย่างข้าเห็นว่ามีพลังชั่วร้ายติดตามคนผู้นั้นมาด้วย แต่กลับไม่ได้มีวิญญาณร้ายตามอาฆาตเขา อาจไปติดมาจากนายน้อยผู้นั้น เกรงว่าคนผู้นั้นอาจจะทำเรื่องที่ไม่เหมาะสมจึงได้เป็นเช่นนี้ แน่นอนว่านี่ล้วนเป็นการคาดเดาของข้า ที่ข้าไม่ไปเป็นเพราะเขายังไม่มีคุณสมบัติมากพอให้ข้าไป หากเขาต้องการมา ร้านของข้าอยู่ที่นี่ เขาย่อมหาเจอจนได้ แต่ก็ดั่งที่กล่าวไว้ จะช่วยได้หรือไม่นั้นยังยากที่จะบอกได้”

“ท่านอาจารย์รู้ว่าควรทำอย่างไรก็พอ หากมีอะไรไม่สะดวก ก็ให้คนนำข้อความไปส่งที่จวน ท่านเป็นสตรี อย่าได้ทนฝืน” อวี๋ชิวไฉกล่าว

ฉินหลิวซีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม นางรับน้ำใจแล้ว แต่จะส่งข้อความไปบอกหรือไม่นั้นค่อยว่ากันทีหลัง

โจวเวยที่เดิมทีกำลังไตร่ตรองอย่างลึกซึ้งว่าฉินหลิวซีจะช่วยหรือไม่ เมื่อเขาได้ยินอวี๋ชิวไฉเอ่ยถึงสตรี ก็เบิกตาโตเท่าระฆัง “สตรี?”

ใคร ฉินหลิวซีเป็นสตรีหรือ

โจวหนิงก้าวไปข้างหน้า เอ่ยเสียงเบา “ท่านพี่ จริงๆ แล้วท่านอาจารย์เป็นนักพรตหญิง”

โจวเวยจ้องไปที่ฉินหลิวซีแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “เดี๋ยวนะ ท่านเหมือนสตรีตรงไหน”

ฉินหลิวซี ‘เจ้าช่วยมีมารยาทหน่อยได้ไหม’

นางกล่าวกับทุกคนว่า “ในเมื่อได้รับการรักษาและเขียนใบสั่งยากันแล้ว เช่นนั้นข้าก็ไม่ขอรั้งไว้แล้ว”

ทุกคนกล่าวลาอย่างรู้มารยาท

เมื่อร้านว่างเปล่า ฉินหลิวซีก็นั่งลง นวดขมับด้วยความเหนื่อยล้าเล็กน้อย

เฉินผีรินชาให้นางก่อนจะเอ่ย “ท่านเป็นอะไรหรือ”

“ไม่มีอะไร ข้าแค่รู้สึกว่าคำสรรเสริญของผู้คนเป็นเหมือนภาระสำหรับข้า” ฉินหลิวซีถอนหายใจพลางเอ่ย “ที่แท้การแต่งตัวเป็นบุรุษกระทำการในทางโลกนั้นถูกต้องแล้ว”

หากนางถูกมองว่าเป็นบุรุษ แม้ว่าทุกคนจะเอ่ยชม แต่ก็จะไม่มีการตอบสนองมากเพียงนี้ แต่หลังจากที่รู้ว่าเป็นสตรี คำชมเหล่านั้นมักจะทำให้นางรู้สึกอึดอัดอยู่เสมอ

เฉินผียิ้มพลางเอ่ย “ท่านสมควรได้รับคำชมจากใครก็ตามที่บอกว่าสตรีด้อยกว่าบุรุษ”

ฉินหลิวซีโบกมือ “ ชื่อเสียงโด่งดังบางครั้งก็นำมาซึ่งภาระและหน้าที่รับผิดชอบ ไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว พรุ่งนี้ข้าไม่ได้มาที่นี่ จะต้องไปรักษาการกุศลที่อารามเต๋า เจ้าคอยดูแลร้านให้ดี”

เฉินผีหน้าเศร้า ก่อนหน้านี้ เขากับพี่สาวคอยช่วยงานอยู่ข้างกายฉินหลิวซี ตอนนี้คนหนึ่งอยู่จวน อีกคนหนึ่งอยู่ที่ร้าน และข้างกายเจ้านายก็มีถั่วเล็กๆ เพิ่มมาอีกสองเม็ด พวกเขาจะไปทำอะไรได้

เขามองไปยังวั่นเช่อแล้วจึงเอ่ย “เจ้านาย หรือว่าจะให้วั่นเช่ออยู่เฝ้าร้าน ส่วนข้าก็ติดตามท่านไปบำเพ็ญกุศลที่อารามเต๋าเหมือนเดิมดีหรือไม่ อีกอย่างเสวียนอีกับเสวียนซินก็อายุยังน้อย คงจะยังช่วยอะไรไม่ได้ ไม่สู้อยู่ฝึกบำเพ็ญเต๋าที่ห้องเต๋าในร้านนี้จะดีกว่า”

“วั่นเช่อพึ่งจะอายุเท่าใดเอง เขาเองก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่องเหล่านี้มากนัก จะปล่อยให้เขาดูแลคนเดียวได้อย่างไร” ฉินหลิวซียิ้มพลางเอ่ย “ส่วนเจาเจากับวั่งชวน ในเมื่อเข้าร่วมสำนักของข้าแล้ว ซ้ำยังเป็นลูกศิษย์ข้า แม้ว่าจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่ให้คอยดูอยู่ข้างกายให้มากๆ ก็ยังดี”

ฉินหลิวซีมองไปยังเด็กทั้งสองคน เอ่ย “เมื่อเข้าสู่เสวียนเหมินแล้ว การเรียนรู้วิชานั้นเป็นเรื่องยาก เช่นเดียวกับการเผชิญกับสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เมื่อได้เห็นพฤติกรรมต่างๆ ของคนทั้งหลายก็จะรู้ถึงความอบอุ่นและความเย็นชาของโลกได้”

เถิงเจา ‘ตัวเองก็พึ่งจะผ่านพิธีปักปิ่นมา แต่กลับเอ่ยราวกับเป็นคนแก่ที่ผ่านเรื่องทางโลกมาหมดแล้ว’

ณ เป่ยชวนที่ห่างไกลออกไป

ในป่าที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งหิมะ ร่างสีแดงเพลิงนอนแผ่อยู่ในหิมะหนาทึบ เขายกผลเสวี่ยในมือขึ้นมาพลางมองดูแสงอาทิตย์ ยกริมฝีปากขึ้นด้วยความพึงพอใจ มองดูหิมะทับถมกันอยู่บนยอดไม้ ทันใดนั้นก็ส่งเสียงร้องเห่าหอน

หิมะตกจากต้นไม้ลงมาปกคลุมใบหน้าของเขา

ความแตกต่างระหว่างสีแดงกับสีขาวสะดุดตาเป็นอย่างมาก

นี่คือปีศาจหนุ่มรูปงามตนหนึ่ง ดวงตาจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ มีรูม่านตาชัดเจน หากมองใกล้ๆ จะสังเกตเห็นว่ามีสีแดงทองอยู่ในนั้น เมื่อมองมาจากทางด้านข้าง ดวงตาคู่นั้นมีเสน่ห์เย้ายวนเป็นอย่างยิ่งแต่กลับดูน่ากลัว ผมยาวถึงเอวนุ่มลื่นราวกับผ้าไหมถูกพาดไว้ด้านหลัง ริมฝีปากบางยกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มมีเสน่ห์อย่างร้ายกาจ

ในป่ามีเสียงหายใจหอบดังขึ้นอย่างแผ่วเบา

ชายผู้นั้นดีดปลายนิ้ว เกล็ดหิมะพุ่งเข้าหาความว่างเปล่าด้วยแรงลมที่พุ่งออกไป

ตุบ

มีคน ไม่สิ มีผีหล่นลงมาบนหิมะ มองดูบุรุษผู้นั้นอย่างทำตัวไม่ถูก

บุรุษผู้นั้นหมุนตัวแล้วลุกขึ้น เสื้อคลุมสีแดงเพลิงของเขาลากไปตามพื้นหิมะ ท่อนบนไม่ได้สวมเสื้อไว้ข้างใน เผยให้เห็นหน้าอกแข็งแกร่ง เขาเดินเท้าเปล่าเปลือยบนหิมะ มองดูผีตนนั้น

“ผีป่ามาจากไหนบังอาจมาถ้ำมองข้า ข้ารู้ว่าข้ารูปร่างงดงามที่หนึ่งในใต้หล้า แต่ความงามนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผีป่าอย่างเจ้าจะปรารถนาได้” บุรุษผู้นั้นเดินเข้าไปหาผีป่าที่มีใบหน้าแดงก่ำทีละก้าว ยื่นมือออกไป กำลังจะลงมือแต่กลับหยุดชะงัก ขยับปลายจมูก “เดี๋ยวนะ กลิ่นเหล้านี้…เจ้าคือผีที่นายท่านน้อย ไม่สิ คือผีที่คนขี้เกียจผู้นั้นส่งมา? เกิดอะไรขึ้นกับนางหรือ”

ผีป่าที่เขาเรียกนั้นก็คือควงซานที่เขินอายเล็กน้อย เกาหัวแล้วถามว่า “เจ้า เจ้าคือเฟิงซิวหรือ”

นายท่านเอ่ยไว้ไม่ผิดจริงๆ เมื่อมาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของป่าเป่ยชวนก็จะได้เห็นผู้ที่รูปงามและเย้ายวนที่สุดผู้นั้นก็คือคนที่เขาตามหา

[1]ทั่นฮวา บัณฑิตจิ้นชื่อ ที่สอบได้อันดับที่สาม

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท