ตอนที่ 403 อารามชิงผิงจัดการทุกอย่างได้เพราะพึ่งพานางเพียงคนเดียว
ทุกๆ ปี อารามชิงผิงจะมีการจัดงานสำคัญๆ หลายงาน งานแรกคืองานวันขึ้นปีใหม่และวันสารทจีน และอีกงานหนึ่งก็คืองานให้ทานในช่วงฤดูหนาว
และการให้ทานนี้เป็นการให้ทานครั้งใหญ่ เรื่องที่ต้องจัดการจึงเยอะตามไปด้วย นักพรตในอารามก็มีน้อย จึงจำเป็นต้องให้ผู้ที่มีจิตศรัทธามาช่วยงานด้วยความสมัครใจ ที่จริงขั้นตอนการให้ทานที่นอกเหนือจากการแจกทานโจ๊กแล้ว ยังมีการทำน้ำขิงไล่ความหนาวเย็น และยาอายุวัฒนะที่ช่วยเสริมสร้างร่างกายแข็งแรงเพื่อมอบให้กับคนยากไร้อีกด้วย เรื่องที่ต้องทำค่อนข้างเยอะ อาศัยแค่นักพรตในอารามที่น้อยจนนับนิ้วได้ บางทีอาจไม่สามารถควบคุมความวุ่นวายนี้ได้
ยาอายุวัฒนะนี้ฉินหลิวซีเป็นคนปรุงมันด้วยตัวนางเอง แม้แต่น้ำขิงไล่ความหนาวเย็นนางก็เป็นคนที่เขียนสูตรขึ้นมาเอง และสำหรับเครื่องปรุงยาที่จำเป็นทุกอย่าง ก็ได้มาจากร้านยาตำหนักอายุวัฒนะที่ส่งมาให้กับอารามชิงผิงก่อนล่วงหน้า
ช่วงปลายเดือนสิบ ฤดูหนาวของปีนี้ก็หนาวยิ่งขึ้นกว่าเดิม ท้องฟ้ายังไม่ทันสาง ฉินหลิวซีได้พาลูกศิษย์ทั้งสองคนขึ้นไปยังอารามชิงผิงก่อนล่วงหน้า เพื่อพูดคุยกับนักพรตเฒ่าชื่อหยวน และพบกับนักพรตของอารามเต๋าอีกครั้ง เมื่อทำวัตรเช้าเสร็จ ฉินหลิวซีก็ได้เข้าไปศึกษาในห้องยาของอาราม และเริ่มปรุงยาอายุวัฒนะบำรุงร่างกาย
การให้ทานจัดขึ้นสามวัน ในวันแรกจะมีการแจกจ่ายโจ๊กและหมั่นโถว สำหรับน้ำขิงไล่ความหนาวเย็นจะมีแจกจ่ายให้ทุกวัน ถึงเวลานั้นจะแบ่งไปวางไว้ตามลานเล็กๆ หน้าวิหาร และบ้านพักผู้ยากไร้บริเวณตีนเขาให้ผู้คนได้ดื่มกัน
วันที่สอง จะมีการรักษาโรคและการแจกจ่ายยาเป็นการกุศล การรักษาการกุศลในวันนี้ก็จะมีหมอจากร้านยาตำหนักอายุวัฒนะมาช่วยที่นี่ด้วย
วันที่สาม เป็นการแจกเสื้อกันหนาว ซึ่งจะต้องออกไปด้านนอก ไปยังค่ายผู้อพยพเพื่อมอบเสื้อผ้าและข้าวของที่ป้องกันความหนาว และเครื่องนอนให้กับผู้อพยพจริงๆ
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งผิวเผินเท่านั้น ถ้าหากยังพอมีเหลือกินเหลือใช้ ก็สามารถแบ่งเงินทองหรือสิ่งของมาให้กับมูลนิธิได้ เพราะว่าที่รับมาเลี้ยงในมูลนิธิล้วนแล้วแต่เป็นเด็กกำพร้าทั้งนั้น
เมื่อก่อนยาอายุวัฒนะที่ฉินหลิวซีปรุงนั้น ใช้เปลือกส้มและตำราแพทย์แผนจีนและมีตนผู้เดียวทำเกือบทั้งหมด ที่จริงแล้วเป็นเพราะคนในอารามมีน้อย และแต่ละสถานที่ก็ต้องการกำลังคนค่อนข้างมาก อีกทั้งการปรุงยาอายุวัฒนะไม่สามารถเกิดความผิดพลาดได้ จึงไม่สามารถให้ผู้อื่นทำแทนได้
ปีนี้อารามชิงผิงก็มีอู๋เหวยมาเพิ่มอีกหนึ่งคน ต่อมาก็มีนักแสวงบุญเดินผ่านเข้ามาพักแรมอยู่อีกสองคน แต่ก็ยังคงขาดคนอยู่ ถึงอย่างไรก็ตาม ธูปเทียนของอารามชิงผิงก็สว่างไสวอยู่ไม่น้อย ผู้นับถือและผู้มีจิตศรัทธาก็มีมากมาย เป็นธรรมดาที่จะดูยุ่งอยู่ตลอด
ฉินหลิวซีเองก็ไม่ได้เคร่งเครียด นางได้ฝึกฝนการปรุงยาอายุวัฒนะเพื่อเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงมาหลายปี ยาสมุนไพรทุกอย่างที่จำเป็น และขั้นตอนการปรุงทั้งหมดนางก็จำได้ขึ้นใจมาตั้งนานแล้ว เพียงแค่ให้ชิงหมิงช่วยเป็นกำลังกาย ก็สามารถเริ่มทำงานได้แล้ว
สำหรับเด็กสองคนนั้น ก็ติดตามอยู่ข้างกาย ทั้งดูทั้งเรียนและจำแนกจดจำยาสมุนไพรไปด้วย
“…ในการปรุงยาให้ดี สมุนไพรบางชนิดก็ไม่จำเป็นต้องสดเสมอไป แต่จำเป็นต้องผ่านการจัดการเพื่อให้ผลลัพธ์ของยานั้นมีประสิทธิภาพสูงสุด ในใบสั่งยาหนึ่งใบ หากต้องการให้ฤทธิ์ของยาออกมาดีที่สุด ในการจัดการยาสมุนไพรบางชนิดก็ต้องพิจารณาตามสภาพร่างกายของผู้ป่วยด้วย เช่นเดียวกันกับลูกเดือย คั่วกับไม่คั่วนั้นไม่เหมือนกัน ลูกเดือยที่มีฤทธิ์เย็น สามารถระบายความชื้นออกทางการขับถ่ายได้ ถ้าหากโรคที่เกิดจากพิษชื้นสะสมภายใน ลูกเดือยดิบจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ส่วนลูกเดือยที่ผ่านการคั่วจะมีฤทธิ์ร้อนเล็กน้อย หากต้องการระบายความชื้นและเสริมสร้างม้ามไปพร้อมกันก็จะต้องคั่วก่อน แต่ไม่ว่าจะคั่วหรือไม่คั่ว สตรีมีครรภ์ควรระวังว่าในยาบำรุงครรภ์ไม่ควรมีลูกเดือย เพราะว่าฤทธิ์เย็นในลูกเดือยนั้นจะทำให้เกิดการแท้งได้ง่าย
ฉินหลิวซีจัดการกับยาสมุนไพรไป พร้อมกับสอนศิษย์ทั้งสองคนไปด้วย “มียาสมุนไพรบางชนิดที่ไม่สามารถใช้ไฟเพื่อเพิ่มความร้อนได้ เช่นผักกระชับ มะกล่ำตาหนู ละหุ่ง พวกนี้หากนำมาปรุงเพิ่มความร้อน ฤทธิ์ก็อาจจะเปลี่ยนไป กลายเป็นยาพิษได้ การเรียนแพทย์ ต้องจดจำสิ่งต่างๆ มากมาย การจัดการยาสมุนไพรหนึ่งอย่างจะต้องให้ความสำคัญกับมันมากๆ หากไม่เข้าใจมันก็อาจจะเปลี่ยนจากการช่วยคนเป็นการทำร้ายคนแทนได้ ดังนั้นจะต้องระมัดระวัง และต้องละเอียดรอบคอบ”
เถิงเจาและวั่งชวนพยักหน้ารับหนักๆ
ชิงหมิงมองเด็กทั้งสองคนด้วยความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ อายุก็ยังน้อย แต่ต้องเรียนและจดจำสิ่งที่ซับซ้อนมากมายขนาดนี้ ช่างลำบากจริงๆ
แต่ว่าถึงจะลำบากก็ต้องลำบาก พวกเขาไม่สามารถบ่นมันออกมาได้ เพราะว่าการช่วยเหลือผู้คนจะต้องไม่กลายเป็นการทำร้ายผู้คน เวรกรรมแบบนั้น ล้วนเป็นกรรมที่ต้องแบกรับไว้
ดังนั้นชิงหมิงจึงทำได้เพียงเอ่ยให้กำลังใจขึ้นหนึ่งประโยค “ได้ยินมาว่าเจ้าอาวาสน้อยได้บวชเป็นนักพรตตั้งแต่อายุได้ห้าขวบ ตั้งแต่เริ่มฝึกฝนเบญจศาสตร์แห่งเต๋า ไม่เคยบ่นว่ายากลำบากเลยแม้แต่คำเดียว พวกเจ้าเองก็ต้องเอาท่านอาจารย์เป็นแบบอย่างนะ”
ดวงตาของวั่งชวนเป็นประกาย นั่นไม่ใช่อายุเท่ากันกับตัวเองหรอกเหรอ
แต่เมื่อคิดถึงความเก่งกาจของท่านอาจารย์ และตัวเองที่ยังคงพยายามสุดชีวิตในการจดจำตัวหนังสือ ตำรายาจีนก็ยังจำไม่ทันหมด นางก็ไม่มีกำลังใจ นางช่างโง่เอาเสียมากๆ
ฉินหลิวซีเอ่ยขึ้น “การเรียนรู้ทักษะให้มีความสามารถ ต้องใช้พรสวรรค์สามส่วนและเจ็ดส่วนเป็นความพยายาม เพราะความขยันมุมานะนั้นสามารถลบจุดอ่อนได้ ข้าสามารถสอนพวกเจ้าในสิ่งที่ข้ารู้ได้ พวกเจ้าสามารถเรียนรู้มันได้มากน้อยเพียงใด จะได้เป็นอภิชาตศิษย์หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้า”
เถิงเจาหลุบตาลง และเก็บแยกยาสมุนไพรอย่างเงียบๆ และวางใส่ตะกร้าอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ถึงแม้ว่าจะทั้งสอนศิษย์ไปด้วย แต่การปรุงยาของฉินหลิวซีก็ไม่ได้ช้าลงเลย ขั้นตอนต่อไปนำยาสมุนไพรทีละอย่างใส่ลงไปในหม้อยาสำริด เมื่อเวลาผ่านไป กลิ่นหอมของยาที่ทำให้จิตใจผู้คนสดชื่นก็ลอยออกไป
ในขณะฉินหลิวซีที่กำลังปรุงยา ห้องครัวใหญ่ของอารามชิงผิงก็กำลังยุ่งจนงานล้นมือเช่นเดียวกัน แม่ครัวและผู้มีจิตศรัทธากำลังยุ่งอยู่กับการต้มโจ๊กและนึ่งบะหมี่เส้นหนากับหมั่นโถวอยู่ ทำไมถึงต้องเป็นบะหมี่เส้นหนาอย่างนั้นเหรอ ก็เพราะว่าบะหมี่เส้นหนานั้นราคาถูกและกินอิ่มกว่า และเงินที่ได้จากการประหยัดนั้นก็สามารถนำไปทำหมั่นโถวให้ได้มากกว่าเดิม
ชิงหยวนเป็นคนนำอู๋เหวยต้มน้ำขิงไล่ความหนาวเย็น น้ำขิงที่เข้มข้นมีรสเผ็ดนอกจากจะใช้ขิงสดแล้วหั่นแว่นแล้ว ยังเพิ่มไป๋ซู่ โฮ่วผู่ โหราข้าวโพด และยาสมุนไพรอื่นๆ ลงไปต้มด้วย สามารถกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด และมีฤทธิ์ขจัดความหนาวเย็นให้ลดลง
อู๋เหวยรินน้ำขิงก่อนหนึ่งถ้วย ช่วงท้องอุ่นวาบ อบอุ่นไปทั้งร่างกาย จนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น “น้ำขิงที่เคยดื่มมาก่อนหน้านี้ นับว่าเป็นน้ำขิงต้มธรรมดา ที่แค่นำขิงมาต้ม มีตำลึงอยู่ในมือแล้ว เพิ่มน้ำตาลทรายแดงเข้าอีกนิดก็นับว่าหรูแล้ว ช่างแต่งต่างจากคำนี้เสียจริงๆ”
ชิงหยวนถอนหายใจและเอ่ยขึ้น “เป็นเพราะธูปหอมของอารามชิงผิงได้รับความนิยม ถึงได้สามารถเพิ่มสมุนไพรดีๆ เหล่านี้ได้ ข้าได้ยินที่เจ้าอาวาสพูด ว่าตอนที่เริ่มเปิดอารามใหม่ในตอนนั้น อารามยังคงทรุดโทรมรอการฟื้นฟูอยู่ อย่าพูดถึงการให้ทานสามวันเช่นนี้เลย แม้แต่น้ำขิงที่แจกจ่ายทั่วๆ ไป ก็เป็นแค่น้ำต้มขิงเท่านั้น รสชาติจืดชืด”
หลายเดือนมานี้ที่อู๋เหวยมาเป็นนักพรตที่อารามชิงผิง ถึงแม้ว่าจะเป็นการฝึกฝนอย่างเงียบๆ ในโลกของตน ซึ่งไม่เหมือนกับเมื่อก่อนที่อดมื้อกินมื้อ ร่อนเร่พเนจรไปทุกหนแห่งแบบนั้น มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง จิตใจสงบมั่นคง หน้าตาก็ดูมีน้ำมีนวลขึ้น สำหรับอารามชิงผิงแล้วตั้งแต่ที่เขาเริ่มลองเข้ามาจำวัดจนถึงวันนี้ ก็ได้กลายมาเป็นลูกศิษย์ของอารามด้วยความจริงใจไปแล้ว แน่นอนว่าก็ต้องรู้ที่มาและการพัฒนาของอารามในช่วงที่ผ่านมา
ถึงแม้ว่าความสามารถของฉินหลิวซีจะมาจากคำสั่งสอนของนักพรตเฒ่าชื่อหยวน แต่ตามที่เขาได้พูดเปรียบเปรยไว้ นักพรตเฒ่าชื่อหยวนก็สอนแบบปล่อยเลยตามเลย ให้นางเรียนรู้ได้ตามที่ใจต้องการ และนั่นก็เป็นพรสวรรค์แห่งเต๋าของฉินหลิวซีมาแต่โดยกำเนิด ตั้งใจเรียนทักษะฝีมือมาตั้งแต่อายุยังน้อยๆ จากนั้นก็สร้างกุศลด้วยการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ แม้ว่านางจะขี้เกียจ แต่ว่าก็ถูกถีบให้มีความรับผิดชอบในการหาเงินมาพัฒนาอารามเต๋า
นางขี้เกียจ ขี้เกียจจริงๆ น่าสงสารก็น่าสงสารจริงๆ แต่ถ้าจะให้พูดตามความจริง การที่อารามชิงผิงอยู่ต่อไปได้ก็เพราะนางคนเดียวจริงๆ ถึงมีสภาพอย่างเช่นทุกวันนี้ได้นั่นเอง
“อย่าเห็นว่าตอนนี้อารามเต๋าของพวกเราสามารถใช้วัตถุดิบแท้ในการต้มน้ำขิง แต่ในความเป็นจริงแล้ว นี่มันยังไม่ถึงจุดที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดจริงๆ ของอารามชิงผิงนะ ได้ยินว่าเมื่อพันปีก่อนอารามชิงผิง มีชื่อเรียกว่านิกายชิงผิง นิกายนี้ยังแบ่งเป็นนิกายชั้นนอก นิกายชั้นในซึ่งมีลูกศิษย์มากกว่าพันคน แต่ว่ามันก็เสื่อมลงมาจากรุ่นสู่รุ่น จนถึงตอนนี้ สามารถเรียกได้แค่อารามชิงผิง และได้ปิดตัวลงไปเมื่อสามสิบปีก่อน”
ชิงหยวนตบอู๋เหวยเบาๆ และเอ่ยขึ้นด้วยความจริงใจ “ฉะนั้นศิษย์น้องอู๋เหวยน่ะ ต่อให้ไม่สามารถทำให้อารามชิงผิงกลับไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองสูงสุดได้เหมือนกับเมื่อพันปีก่อน ก็ต้องขึ้นเป็นที่หนึ่งให้ได้ถึงจะดี ด้วยเหตุผลนี้ ภาระที่หนักหน่วงและหนทางอันยาวไกลของพวกเรา ไม่เพียงแต่ต้องขยายผู้มีจิตศรัทธาที่มีต่ออารามเต๋าให้แผ่ขยายออกไปเท่านั้น ต้องกระตุ้นเจ้าอาวาสน้อยให้หาความก้าวหน้าอยู่เสมอด้วย เพื่อเป็นการยกชื่อเสียงบารมีอารามของข้า”
ฉินหลิวซีขยี้หูไปมา การที่รู้สึกว่ามีคนถ่อยอยู่ใกล้ๆ ตัว ต้องทำอย่างไรนะ