ตอนที่ 406 ข้านี่ยิ่งเสียกว่าแตะต้องไม่ได้
เกล็ดหิมะกำลังปลิวไหว รถม้าคันหนึ่งลงเขามาจากวัดอู๋เซียงบนยอดเขาข้างๆ ชายชราที่นั่งอยู่บนรถม้ารวบเสื้อคลุมต้าฉ่างที่อยู่บนร่างเข้าด้วยกัน หัวคิ้วขมวดขึ้น ขณะที่กำลังทุบขาทั้งสองข้างอยู่สักพัก
“ท่านโหว ขาชาอีกแล้วหรือขอรับ” ข้างกายของชายชรา มีบ่าวรับใช้ชราที่มองเขาด้วยความห่วงใยอยู่
ชายชรามองออกไปด้านนอกหน้าต่างที่เต็มไปด้วยเกล็ดหิมะ ถอนหายใจ เอ่ย “แข้งขานี่ก็คงถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องเสื่อมโทรมลง กลัวว่าถ้าก้าวต่อไปก็คงจะลากไปไม่ไหวแล้ว”
บ่าวรับใช้ชราขยับเตาถ่านเล็กๆ เข้ามาใกล้มากขึ้น พร้อมกับบีบขาให้เขาไปด้วย บ่าวรับใช้ชราลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “ท่านโหว เมื่อครู่นี้ท่านอาจารย์ฮุ่ยเหนิงเพิ่งบอกว่า อารามชิงผิงที่อยู่ใกล้ๆ กันนี้กำลังจัดทำบุญให้ทานอยู่มิใช่หรือขอรับ วันนี้ก็ยังทำการรักษาเป็นการกุศลอีก ไม่แน่บางทีอาจจะพบกับปาฏิหาริย์และการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น”
ชายชรายิ้มอย่างขมขื่น เอ่ยขึ้น “การรักษาโรคการกุศล ส่วนใหญ่ก็เพื่อให้คนยากไร้และชาวบ้านไปรักษา ข้าเป็นมาจนเรื้อรังแล้ว หมอเหล่านั้นจะสามารถรักษาได้หรือ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงสองปีมานี้ ข้าไปพบหมอเลื่องชื่อลือนามมาก็มากมายนับไม่ถ้วน ยาก็กินมาแล้วไม่น้อย อาการกลับไม่ทุเลาลงเลย กลับกันยิ่งไร้เรี่ยวแรงลง อาการชาที่ไร้ความเมตตา ร่างกายนี้คงต้องพิการลงอย่างแน่นอน น่าแค้นใจนักที่ข้าเป็นข้าราชการระดับหนึ่ง จากเดิมที่คิดว่าจะปกครองบ้านเมืองให้มั่นคงนานกว่านี้อีกสักนิด สุดท้ายก็คงเป็นได้เพียงความเพ้อฝันเท่านั้น”
ในใจของบ่าวรับใช้ชรากำลังเจ็บปวด
“นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่ข้าเกลียดที่สุด ในวัยนี้ของข้า จะพิการหรือยอมแพ้ไปก็ไม่เป็นไร ถ้าหลังจากนี้มีคนพอที่จะพูดคุยและปลอบใจได้ บังเอิญว่าติ้งเอ๋อร์เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นอีก หรือว่าสวรรค์อาจเห็นว่าข้าได้กระทำบาปหนักเกินไป ถึงได้ลงโทษบรรพบุรุษและลูกหลานของข้าทั้งคู่เช่นนี้ ต้องชดใช้ด้วยขาข้างหนึ่งอย่างนั้นหรือ” ดวงตาของชายชราแดงก่ำ และทุบไปที่ขาตนเองอย่างแรง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและการไม่ยินยอม
บ่าวรับใช้ชรารีบจับมือของเขา เอ่ย “ท่านอย่าทำเช่นนี้”
“หากข้าพิการ ก็ไม่สามารถเหนี่ยวรั้งมันได้อีกต่อไป อำนาจทางทหารนี้ไม่ช้าหรือเร็วก็จะต้องถูกส่งมอบไป กองกำลังทางน้ำของตระกูลเยว่ของข้า ต้องยอมหลีกทางให้ผู้อื่นทั้งหมดเลยอย่างนั้นหรือ” ชายชรากัดฟันด้วยความคับแค้นใจ
บ่าวรับใช้ชราเม้มริมฝีปาก นายท่านของเขาเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองกำลังทางน้ำที่เก่งกาจที่สุดของต้าเฟิง คอยรักษาการณ์อยู่ที่ทะเลตงไห่มาโดยตลอด และเป็นข้าราชการระดับสูงมาหลายชั่วอายุคน เนื่องจากความดีความชอบในการทำศึกจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตงหยางโหว เขาฝึกฝนกองกำลังทางน้ำของตระกูลเยว่ด้วยตัวของเขาเอง โจมตีเอาชนะการรุกรานทางน้ำและบนเกาะมานับไม่ถ้วน ชื่อเสียงลือนามแพร่กระจายไปทั่ว ถูกราษฎรขนานนามให้ว่า แม่ทัพศักดิ์สิทธิ์แห่งทะเลตงไห่
แต่เนื่องจากที่เขาต้องเกี่ยวข้องกับน้ำอยู่ตลอดทั้งปี มักจะกินลมฝ่าหมอกอยู่เสมอ และอยู่บนอานม้าเป็นเวลานาน ลมภายนอกเข้าสู่เส้นลมปราณ ขาข้างหนึ่งไม่เพียงแต่ค่อยๆ เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม ซ้ำยังค่อยๆ เกิดอาการชาขึ้นทุกวันๆ หลังจากนั้นก็ไม่มีแรงที่จะเดินต่อไป จำเป็นต้องให้คนคอยประคอง
เช่นเดียวกับที่ท่านโหวกล่าว หากท่านพิการแล้ว มีใครสักคนสืบทอดต่อไปก็ยังพอโล่งใจ แต่ทว่าสิ่งที่คิดกลับตรงกันข้าม…
บ่าวรับใช้ชราเอ่ย “ท่านโหว ท่านอาจารย์ฮุ่ยเหนิงเป็นพระอาจารย์ผู้เลื่องชื่อน่าเกรงขาม จะเอ่ยอะไรมั่วๆ ได้อย่างไรกัน ข้ารู้มาว่าในบรรดาหมอที่มาทำการรักษาการกุศลนี้ มีหมอที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่ด้วยนะขอรับ พวกเราลองไปดูก่อนสักครั้ง ถึงอย่างไรก็ได้มาแล้ว”
ตงหยางโหวส่ายหน้า และไม่ตั้งความหวังอะไรทั้งนั้น
เขาถึงขั้นเคยให้หมอหลวงจากในวังมาดูอาการ สั่งจ่ายยา และขับไล่ลมตามการรักษากลุ่มอาการภายนอกเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงการรักษาที่ต้นตอเหตุเลย แม้แต่ปลายเหตุก็ไม่รู้ว่ารักษาไปมากเพียงใด แล้วในเมืองหลีเล็กๆ เช่นนี้ จะมีแพทย์ที่เก่งกาจและเลื่องชื่อได้อย่างไร
“ท่านโหว ลองไปดูก็ไม่เสียหายนะขอรับ นี่เป็นเพียงการรักษาโรคการกุศล เงินก็ไม่ต้องจ่าย ท่านก็เพียงทำหน้าที่สำรวจเส้นทางข้างหน้าให้กับคุณชายติ้งก็เท่านั้น” ชายชรารับใช้โน้มน้าวขึ้นอีกครั้ง
ร่างกายของตงหยางโหวสั่นไหว
“ยังไงมันก็ไม่ดีขึ้นอีกแล้ว ตอนนี้อารามชิงผิงกำลังจัดทำบุญให้ทาน พวกเราขึ้นไปอารามเต๋าแห่งนี้เพื่อบริจาคน้ำมันตะเกียง รับกุศล ไม่แน่บางทีสวรรค์อาจจะคุ้มครองพวกเรา”
ตงหยางโหวหัวเราะออกมาดังๆ และชี้ไปที่เขา “ตาเฒ่าเช่นเจ้า ยังเรียนรู้เรื่องความเชื่อในศาสนาและเทพเจ้าอย่างพวกสตรีอืดอาดยืดยาดของพวกนั้นอยู่อีกหรือ”
บ่าวรับใช้ชราเองก็หัวเราะเช่นกัน “ก็เพราะว่าบ่าวไม่มีทางเลือกแล้วขอรับ เรื่องศาสนาและสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น หากเราเชื่อก็เกิดผล ไม่เชื่อก็ไม่เกิดผล แต่มันก็เป็นเพียงความสบายใจเท่านั้น เช่นเดียวกันกับชาวทะเลที่ทะเลตงไห่ ที่มักจะไปสักการะราชามังกรอยู่เสมอ เพื่อขอให้วันนี้อากาศดีและขอให้ทุกอย่างราบรื่นมิใช่หรือขอรับ”
“พอเถิด พวกเราไปบริจาคน้ำมันตะเกียงได้แล้ว”
บ่าวรับใช้ชราถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ จากนั้นจึงรีบเคาะลงผนังรถม้าเพื่อแจ้งเตือน “เปลี่ยนเส้นทางไปอารามชิงผิง”
…
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ฉินหลิวซีจะทำการตรวจผู้คนที่มาต่อแถวจนเสร็จ นางจึงหนีออกมาจากเพิงกระท่อมอ้างว่าไปเข้าห้องน้ำ แต่ว่าแอบไปซ่อนตัวอยู่ที่ซุ้มน้ำชาแทน
ป้าที่ซุ้มน้ำชาจำนางได้ จึงให้นางมานั่งใกล้ๆ กับเตาเพื่อจะได้ไม่หนาว
ฉินหลิวซีนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กด้วยรอยยิ้ม และยังเติมฟืนเพิ่มเข้าไปในเตา เริ่มพูดคุยกันอย่างสบายๆ
ขณะนั้น ม้าที่งดงามสง่าผ่าเผยหลายตัวเดินเข้ามาใกล้ มีคนเอ่ยถามถึงสถานที่รักษาโรคเป็นการกุศลอยู่ที่ใด เมื่อได้คำตอบแล้ว จึงได้กลับไปที่ด้านหลังของรถม้าเพื่อตอบ
เนื่องจากทางที่แคบ จึงจอดรถม้าไว้ข้างซุ้มน้ำชา ฉินหลิวซีที่กำลังแยกถั่วลิสงมาหนึ่งกำมือมองผ่านไป ม้าตัวใหญ่และคนเหล่านั้น พวกเขาสวมชุดตวนต่าและคลุมด้วยเสื้อคลุมขนาดใหญ่ แต่ละคนมีดาบเหน็บอยู่ที่เอว ร่างกายมีพลังความร้ายกาจ ใบหน้ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความชอบธรรม คนเหล่านี้ออกมาจากกองทัพกระมัง
คนที่อยู่บนรถม้านั้นคงเป็นผู้สูงศักดิ์หรือพวกคนร่ำรวย
ฉินหลิวซีอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมานับคำนวณ คิ้วนางพลันเลิกขึ้น งานเข้าแล้ว งานใหญ่เสียด้วย
รถม้าหยุดลง สองคนที่นั่งอยู่บนเกวียนก็กระโดดลงมาอย่างคล่องแคล่ว มาที่ท้ายรถม้า เพื่อประคองชายชราคนหนึ่ง และกระซิบอะไรบางอย่าง
ฉินหลิวซีอ่านจากลักษณะปากได้ว่าต้องแบกชายผู้นั้น
เมื่อชายชราที่กำลังถูกประคองออกมาปรากฏตัว ฉินหลิวซีหรี่ตาลง ชายผู้นั้นดูน่าเกรงขามไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด ร่างกายมีพลังความร้ายกาจกระจายออกมารุนแรงมากกว่าเหล่าบ่าวรับใช้เหล่านั้น แข็งแกร่งมีพลัง แก้มของเขาขึ้นรูปกระดูกโหนกแก้มเด่นชัดออกมา แสกกลางหน้าผากกว้าง หน้าใบหูทั้งสองข้างมีลูกปัดเม็ดใหญ่ห้อยลงมา ตาทั้งสองข้างคมราวกับเหยี่ยว ดวงตาฉายแววน่าเกรงขามเมื่อสายตาของเขากวาดมองผู้คน เขามีพลังรัศมีความน่าเกรงขามของแม่ทัพที่หนาวเหน็บจนมิอาจขัดขืน
นี่คือแม่ทัพห้าวหาญที่มีอานุภาพทำให้ทุกฝ่ายต่างตกใจกลัว
ตงหยางโหวถึงจะบอกว่าเขากำลังเดิน แต่ความจริงแล้ว พละกำลังทั้งหมดของเขาถูกแบกรับด้วยบ่าวรับใช้ ที่เกือบจะยกเขาเดิน
ไม่นานนัก พวกเขาก็เดินไปถึงซุ้มน้ำชา ฉินหลิวซีจึงได้ยิ้มและถามขึ้น “พวกท่านก็มารับรักษาการกุศลหรือ ต้องการให้ข้าลองดูก่อนหรือไม่”
ตงหยางที่ยังไม่ทันได้ทำอะไร คนข้างกายของเขาก็ส่งสายตาโหดเหี้ยมอำมหิตไปที่นางแล้ว “เจ้าเด็กเหลือขอนี่ บังอาจนัก”
ฉินหลิวซียักไหล่
ตงหยางโหวที่เห็นว่าอายุยังน้อย คงเพียงซุกซนและก่อกวนไปตามประสา จึงเอ่ยขึ้น “ช่างเถิด ปล่อยไป”
ฉินหลิวซีมองกลุ่มพวกเขาเดินจากไป นางส่ายหน้าพร้อมกับทำเสียงจุ๊ปาก “อีกหน่อยข้าต้องระวังมากขึ้นกว่าเดิม คนพวกนี้ทำข้าตกใจเสียจนหัวใจเต้นตุบๆ ช่างน่าโมโหจริงๆ เลย”
ป้าหลุดหัวเราออกมา เอ่ย “เจ้าอย่าซนนัก ข้าเห็นว่าคนพวกนั้นดูไม่น่าใช่คนธรรมดาที่น่าคบค้าสมาคมด้วย ดูท่าจะแตะต้องไม่ได้ ฉะนั้นอย่าหาเรื่องใส่ตัว”
ฉินหลิวซีพ่นลมหายใจออกมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พึงพอใจ “ข้านี่สิยิ่งแตะต้องไม่ได้!”
ป้าหัวเราะและส่ายหัว
ฉินหลิวซีกินถั่วลิสงอีกกำหนึ่ง ก่อนที่จะดื่มชาไปหนึ่งถ้วย ถึงได้เดินเตร่อย่างเอื่อยเฉื่อยกลับไปที่เพิงกระท่อม
และตอนนี้ในเพิงกระท่อม ตงหยางโหวมองดูหลายคนที่ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาตรวจชีพจรและตรวจแข้งขาทั้งสองข้างของเขา และโต้เถียงหารือกันเกี่ยวกับอาการร่วงโรยและเสื่อมโทรมนี้อยู่บริเวณรอบข้าง เขาค่อยๆ รู้สึกผิดหวัง หมดความอดทน มองไปยังบ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ สายตาเผยให้เห็นความคิดทั้งหมดของเขาว่าสิ่งนี้มันไม่มีประโยชน์
บ่าวรับใช้ชราเองก็จนปัญญา หรือว่าสวรรค์ไม่ลืมตาจริงๆ
หมอเหมากระแอมกระไอ เอ่ยขึ้นอย่างเก้อเขิน “ทุกท่าน ในเมื่อพวกเราไม่รู้ว่าจะรักษาอาการร่วงโรยเสื่อมโทรมนี้ได้อย่างไร ไยพวกเราจึงไม่ขอให้ท่านอาจารย์อธิบายให้ฟัง”
“ใช่ๆๆ เขาล่ะ ไปที่ใดแล้ว”
ตงหยางโหวอยากจะบอกว่าไม่จำเป็นแล้ว แต่หมอเหมาราวกับมองเห็นเทพเจ้า ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกาย สองมือโบกขึ้นไปมา
“ท่านอาจารย์ นักพรตน้อยปู้ฉิว ท่านรีบมาทางนี้ ท่านนี้เป็นคนไข้ ท่านช่วยดูที ควรวินิจฉัยการรักษาอย่างไร”
ตงหยางโหวและคนอื่นๆ มองตามไป เห็นเด็กคนหนึ่งที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมสีฟ้า หวีผมขึ้นเป็นมวยแบบเต๋า ในปากคาบหญ้าแห้งเอาไว้ กำลังเดินเอ้อระเหยลอยชายผ่านมา
นี่ คือเด็กที่กินถั่วลิสงคั่วอยู่ที่ซุ้มน้ำชาเมื่อครู่นี้มิใช่หรือ