ตอนที่ 230 อย่าเป็นคนใจดี
เจรจาไม่สำเร็จอีกแล้ว!
เซียวเฉิงเหวินหงุดหงิดเล็กน้อย
เฟ่ยกงกงทูลฟ้อง บอกว่าเยียนอวิ๋นเกอเป็นก้อนหินในห้องส้วม ทั้งแข็งทั้งเหม็น ไม่มีเยื่อใยแม้แต่น้อย
“นางก็ไม่ลองคิดดู หากตอนนั้นไม่มีความช่วยเหลือของพระองค์ จะมีเรือนพักร่ำรวยได้อย่างไร เสบียงเพียงจำนวนเล็กน้อย อีกทั้งยังเป็นเสบียงเก่า นางกลับคิดเล็กคิดน้อย ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว อีกทั้งยังให้พระองค์ทรงเลียนแบบสำนักเส้าฝู่ ความหมายโดยนัยของนางกำลังบอกว่าพระองค์ทรงตระหนี่ ช่างไร้เหตุผลเสียจริง”
เซียวเฉิงเหวินโบกมือให้เขาพูดน้อยลง
เขาไม่อยากฟังคำพร่ำบ่นเหล่านี้
เขาครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจ “ร้อยละหกสิบก็ร้อยละหกสิบ เอาเสบียงมาให้ได้ก่อน เสบียงที่ไม่ต้องเสียเงินย่อมต้องรักษาต่อไป”
เฟ่ยกงกงอ้าปากค้าง ก่อนจะส่งเสียงออกมา “พระองค์จะยอมรับเงื่อนไขของเยียนอวิ๋นเกอจริงหรือ ให้กระหม่อมไปเจรจากับนางอีกรอบดีหรือไม่”
เซียวเฉิงเหวินส่ายหน้า “ไม่มีความจำเป็นต้องเจรจาอีก นางแสดงท่าทีอย่างชัดเจนแล้ว แม้จะเจรจาอีกร้อยครั้ง นางก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจ ผู้ที่ทำการใหญ่ได้ย่อมต้องมีจิตใจที่แน่วแน่ นางเป็นผู้ที่มีจิตใจแน่วแน่ ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ย่อมไม่มีทางยอมจำนน”
เฟ่ยกงกงไม่เต็มใจ “ล้วนแล้วแต่เป็นเสบียงเก่า อีกทั้งมีแค่ร้อยละหกสิบ นอกจากนี้คุณภาพของเสบียงเก่าก็ไม่รู้แน่ชัด ไม่รู้ว่าเป็นเสบียงเก่าปีเดียวหรือสองปี”
“เจ้าระบุว่าเอาเสบียงเก่าปีเดีว อย่าได้ใช้เสบียงเก่าที่ขึ้นราแล้ว”
เฟ่ยกงกงน้อมรับ
เขามาเจรจากับเยียนอวิ๋นเกออีกครั้ง
คราวนี้ เยียนอวิ๋นเกอตอบรับอย่างรวดเร็ว
เพียงแค่องค์ชายสองยอมรับเงื่อนไขเสบียงเก่าร้อยละหกสิบ เรื่องอื่นล้วนเจรจาได้ง่าย
ไม่ว่าจะปีเดียว หรือไม่ขึ้นรา นางย่อมรับปากได้ทั้งหมด
โกดังของเรือนพักร่ำรวยมีรากฐานลึกกว่าหนึ่งจั้ง อีกทั้งยังสร้างจากหินอัคนี
ป้องกันความชื้น ป้องกันน้ำ ป้องกันไฟได้อย่างดี
อีกทั้งสภาพอากาศแห้งแล้ง เสบียงของเรือนพักร่ำรวยยังไม่ปรากฏสถานการณ์ขึ้นราแม้แต่น้อยในเวลานี้
เมื่อเจรจาเสร็จสิ้น
เรือนพักร่ำรวยจึงลำเลียงเสบียงหนึ่งพันสองร้อยหาบมุ่งหน้าไปยังแปลงนาที่อยู่ด้านนอกเมืองหลวงขององค์ชายสอง
เสบียงหนึ่งพันสองร้อยหาบ แม้จะใช้รถม้าลากก็เป็นภาพที่ตระการตาอย่างมาก
ขบวนรถยาวนับหลายลี้
ดึงดูดให้โจรป่าบริเวณรอบด้านพร้อมที่จะเคลื่อนไหว
เมื่อเดินอยู่บนถนนหลวงก็ยังสังเกตได้ถึงการเคลื่อนไหวของคนในป่าบริเวณใกล้เคียง
ไม่ต้องพูด ย่อมต้องเป็นโจรป่าที่กำลังสังเกตการณ์
หัวหน้าองครักษ์เยียนหนานเป็นผู้คุ้มกันการลำเลียงเสบียงด้วยตนเอง
หลิวสือเชี่ยวชาญในการลอบสังหาร จึงหลบซ่อนตัวอยู่ในที่มืด เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดคิด
โจรป่าบริเวณใกล้เคียงล้วนแล้วแต่คุ้นเคยกับพื้นที่ พวกเขาต่างรู้ว่าเรือนพักร่ำรวยมีเสบียง ในเวลาเดียวกันก็ยังไม่สามารถปล้นได้ง่ายดาย
คราวก่อนมีคนที่ไม่คุ้นเคยกับพื้นที่เคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน พยายามปล้นชิงขบวนรถของเถ้าแก่เรือนพักร่ำรวย สุดท้ายพังทลายย่อยยับ
ตอนเคลื่อนไหวมีร้อยกว่าคน สุดท้ายหนีกลับมาได้แค่ยี่สิบสามสิบคน
คนอื่นไม่ตายก็ถูกส่งไปยังสำนักราชการ
ไม่รู้ว่าโจรป่าที่ถูกส่งไปยังสำนักราชการยังมีชีวิตอยู่หรือไม่
กลัวแค่เพียงจะตายทั้งเป็น!
เสบียงมากมายเพียงนั้น ทำให้ผู้คนน้ำลายไหล!
โจรป่าอยากออกปล้นอย่างมาก
แต่กลัวว่าจะมีชีวิตปล้น ไม่มีชีวิตใช้
“เห็นมีดที่อยู่บนเอวพวกเขาหรือไม่ ล้วนแล้วแต่เป็นอาวุธรูปแบบของราชสำนัก แหลมคมอย่างมาก”
“องครักษ์กลุ่มนี้ดูไร้ระเบียบ แต่ความจริงแล้วมีกฎระเบียบอย่างมาก ไม่ว่าพวกเราจะเริ่มลงมือจากตำแหน่งใด พวกเขาก็สามารถรับมือได้ทันที”
“ป่าสองข้างทางราวกับยังมีคนของพวกเขา”
สถานการณ์ที่ไม่เป็นประโยชน์ต่างๆ อีกทั้งหัวหน้าโจรป่าแพ้ไม่ได้ ทำได้เพียงล้มเลิกการปล้นในคราวนี้ มองดูขบวนรถจากไป
ขบวนรถเดินทางไปถึงแปลงนาขององค์ชายสองอย่างราบรื่น
ขากลับ บนรถบรรจุฝืนกลับมา
อย่างน้อยก็หลีกเลี่ยงนำรถเปล่ากลับมา สิ้นเปลืองเสบียงสัตว์
…
ด้านนอกของเรือนพักร่ำรวยมีการรวมตัวของผู้ลี้ภัยจำนวนมาก
มีผู้ลี้ภัยจากต่างถิ่นที่หนีเข้าเมืองหลวง แต่ก็มีผู้ลี้ภัยในท้องถิ่น
พวกเขาล้วนหวังพึ่งที่จะมีข้าวกินในเรือนพักร่ำรวย
เหล่าองครักษ์ขับไล่อยู่ทุกวัน แต่ผู้ลี้ภัยจากไปก็กลับมาอีก ขับไล่ไปไม่หมด
มันทำให้เรือนพักร่ำรวยมีภัยคุกคามอย่างมาก
เมื่อสถานการณ์ถูกรายงานมาให้เยียนอวิ๋นเกอ
ท่าทีของเยียนอวิ๋นเกอชัดเจนอย่างมาก “ไม่อนุญาตให้เสบียงรั่วไหลออกไปในมือของผู้ลี้ภัยด้านนอกเรือนพักแม้แต่เมล็ดเดียว หากผู้ใดเห็นใจผู้ลี้ภัย ให้ของกินของใช้ ล้วนขับไล่ออกไปให้หมด ไม่มีข้อยกเว้น การมีน้ำใจเป็นเรื่องง่าย แต่ไม่เคยคิดว่าจะนำอันตรายมาให้แก่เรือนพักมากน้อยเพียงใด
ผู้ลี้ภัยรวมตัวอยู่ด้านนอกเรือนพัก หากพวกเขาได้รับของกินของใช้เพียงครั้งเดียว พวกเขาก็จะไม่ยอมจากไป นอกจากนี้จะดึงดูดผู้ลี้ภัยจำนวนมากยิ่งขึ้นมารวมตัวอยู่ด้านนอกเรือนพัก เรือนพักไม่ใช่โรงเจหรือราชสำรัก ไม่มีหน้าที่และความรับผิดชอบช่วยเหลือผู้ลี้ภัยเหล่านั้น อีกทั้ง เรือนพักก็ไม่มีความสามารถและความมั่นใจในการช่วยเหลือผู้ลี้ภัย หากมีคนคัดค้านการตัดสินใจของข้า เชิญเขาออกไป เรือนพักไม่ต้องการคนที่ใจดีเอื้อเฟื้อไปทั่ว”
การตัดสินใจนี้ เย็นชาและโหดร้ายอย่างมาก
แต่เยียนอวิ๋นเกอจำเป็นต้องทำ
ก่อนอื่นนางต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของคนนับแสนในเรือนพัก รับผิดชอบการกินของพวกเขา
ส่วนผู้ลี้ภัยคนอื่น นางเป็นหญิงสาวตัวน้อย ไม่อาจมีกำลังพอที่จะช่วยเหลือ
ไม่มีข้าวกินก็ไปหาสำนักราชการ หาผู้มั่งมี
เมืองหลวงมีเศรษฐีจำนวนมาก เหตุใดจึงเจาะจงเรือนพักร่ำรวย
ไม่ใช่เพียงเพราะเรือนพักร่ำรวยรังแกง่ายหรือ
ลับหลัง เยียนอวิ๋นเกอออกคำสั่งต่อเยียนหนาน ให้เขาหาโอกาสส่งกองกำลังออกไปสู้รบ
ไม่ต้องถึงอันตรายแก่ชีวิต แต่ต้องรับรองให้ผู้ลี้ภัยเห็นถึงความแข็งแกร่งของเรือนพัก
เศรษฐีท้าทายไม่ได้ เรือนพักร่ำรวยก็ท้าทายไม่ได้เช่นเดียวกัน
พวกเขาเพ่งเล็งผิดเป้าหมายแล้ว
…
หัวหน้าองครักษ์เยียนหนานอยากออกกองกำลังมานานแล้ว
เอาแต่เฝ้าระวังในแต่ละวันทำให้เขาอึดอัด
เมื่อได้รับอนุญาตจากเยียนอวิ๋นเกอ เขาเลือกวันที่อากาศมืดครึ้ม เขาส่งกองกำลังออกไปอย่างกะทันหัน เห็นคนก็ตี
ผู้ลี้ภัยที่รวมตัวอยู่ด้านนอกเรือนพักถูกจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัง ร้องโอดครวญเสียงดัง…
เลือดกระเซ็นไปทั่ว มีคนวิ่งหนี มีคนล้มลง…
“ฆ่าคนแล้ว ฆ่าคนแล้ว!”
ผู้ลี้ภัยวิ่งหนีกระจัดกระจาย
มีคนพยายามต่อต้าน แต่ไม่อาจสู้ได้แม้แต่น้อย สุดท้ายต้องกอดหัววิ่งหนี
เยียนหนานใช้วิธีการเลือดไหลนองขับไล่ผู้ลี้ภัยนับหมื่นที่รวมตัวอยู่ด้านนอกเรือนพักได้สำเร็จ คืนความเงียบสงบให้แก่เรือนพัก
เมื่อผู้ลี้ภัยล่าถอยไป บนพื้นระเกะระกะ เศษผ้าขาดวิ่น รองเท้าแต่ละแบบที่ไม่เป็นคู่ ผู้บาดเจ็บที่นอนอยู่บนพื้น พื้นที่ถูกเลือดย้อมเป็นสีแดง…
เยียนสุยถอนหายใจยาว เขามีคำพูดมากมายที่อยากพูด แต่ก็พูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว
เนื่องจากเขารู้ว่ามันเป็นวิธีเดียว
ผู้ลี้ภัยรวมตัว ไม่เพียงเรือนพักที่มีความกดดัน สามารถถูกผู้ลี้ภัยโจมตีได้ทุกเวลา ผลลัพธ์ยากเกินจินตนาการ
ประสบการณ์ที่ผ่านมา ผู้ลี้ภัยจำนวนมากที่รวมตัวอยู่นอกคูเมืองบางแห่ง สำนักราชการท้องถิ่นนอกจากบรรเทาภัยพิบัติที่สามารถทำได้แล้ว พวกเขาก็จะคิดหาหนทางในการขับไล่ผู้ลี้ภัย
ผู้ลี้ภัยรวมตัวนอกคูเมืองเป็นภัยคุกคามที่ไม่มั่นคงที่สุด
สำนักราชการท้องถิ่นล้วนไม่อาจแบกรับผลลัพธ์จากการทำลายประชาชนท้องถิ่นของผู้ลี้ภัย
ผลลัพธ์ที่แม้แต่สำนักราชการก็แบกรับไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรือนพักร่ำรวยเล็กๆ
เมื่อจัดการภัยคุกคามได้แล้ว เยียนหนานจึงเพิ่มการลาดตระเวนขึ้น
ในที่สุดผู้เช่าแปลงนาและผู้ลี้ภัยภายในเรือนพักก็มีงานทำ สร้างคูคลอง สร้างเขื่อน
กำลังในการกักน้ำของบ่อน้ำยังคงอ่อนแอเกินไป ไม่อาจสู้เขื่อนได้
ดังนั้นจึงควรอาศัยช่วยภัยแล้งสร้างคูคลองและเขื่อน
เซียวอี้รับปากว่าจะช่วยขอเงินจำนวนหนึ่งจากราชสำนักมาให้เยียนอวิ๋นเกอ อีกทั้งยังพยายามขอความช่วยเหลือจากสำนักแรงงาน
ทางเขายังไม่มีข่าวมา เยียนอวิ๋นเกอก็เริ่มลงทุนสร้างเองแล้ว
คนต้องกินข้าว
ไม่มีงานทำก็ไม่มีข้าวกิน
ปีนี้ภัยแล้ง ผู้ลี้ภัยและผู้เช่าส่วนใหญ่มีกำลังในการต่อต้านความเสี่ยงเป็นศูนย์ ในเรือนแทบจะไม่มีเสบียง
บางคนที่มีเสบียงกักตุนเอาไว้ อย่างมากก็ใช้ชีวิตอยู่ได้แค่สิบวันครึ่งเดือน
ยังมีฤดูยาวที่ยาวนานต้องข้ามผ่านไป จะทำอย่างไร
ทำได้เพียงเปิดงาน
เรือนพักร่ำรวยไม่ใช่โรงเจ ไม่มีทางให้เสบียงเปล่าๆ
ทำได้เพียงเปิดงานใช้แรงงานเพื่อแลกเสบียง
ต้องยัดความคิดในการใช้แรงงานเพื่อแลกเสบียงเข้าสู่หัวสมองของทุกคน อย่าคาดหวังจะใช้การบรรเทาภัยพิบัติ รอคนช่วยเหลือ
ราชสำนักไม่มีเสบียง หากคาดหวังการช่วยเหลือ เกรงว่าต้องอดตาย
เมื่อเปิดงาน เสบียงภายในโกดังก็รั่วไหลออกไป ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
เยียนอวิ๋นเกอร้อนใจ
นางให้คนเร่งเร้าเซียวอี้ ตกลงว่าได้หรือไม่
หากไม่ได้ นางจะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น
อาทิองค์ชายสองผู้เป็นพี่เขยของตนเอง หากไม่ใช้เวลานี้จะใช้เวลาใด
เซียวอี้ “…”
บังอาจสงสัยว่าเขาทำไม่ได้ ช่าง…
เขาจะทำให้นางรู้ว่าเขาทำได้หรือไม่
…
ขุดคูคลอง สร้างเขื่อนเก็บน้ำ เงินรั่วไหลออกไปราวกับสายน้ำ
เยียนอวิ๋นเกอเจ็บใจ!
หาเงินไม่ง่าย เพียงชั่วพริบตาก็ใชออกไปหมด
พูดตามตรง หากการเพาะปลูกเสบียงไม่ใช่กิจการที่ปลอดภัยที่สุด นางก็ไม่ยินดีที่จะเป็นชาวนาตัวน้อยเสียจริง
นอกจากเหนื่อยแล้ว ยังต้องดูสภาพอากาศ หาเงินได้ยาก
มีเพียงแค่แก้ไขปัญหาทำงาน มีข้าวกินเท่านั้น!
เยียนอวิ๋นเกอถามอาเป่ย “บนโลกนี้มีคนที่ดีแบบข้าอีกหรือ”
อาเป่ยตลก “คุณหนูถูกบัญชีกระเทือนจิตใจอีกแล้ว”
เยียนอวิ๋นเกอ “…”
ฮือๆ!
นางถูกบัญชีกระทบกระเทือนจิตใจจริงๆ
เห็นแค่ค่าใช้จ่าย ไม่เห็นรายบ ไม่ว่าผู้ใดเห็นก็หวั่นใจ
นางเป็นคนที่ไม่มีเงินในมือก็จะหวั่นใจ
หากมีเงินในมือ อีกทั้งยังมีเงินก้อนโต นางจึงจะมีความปลอดภัย
นางโยนบัญชีทิ้งไป “บัญชีนี้ดูไม่ได้แล้ว”
ปวดตา!
ตาแทบจะบอดแล้ว
อาเป่ยเสนอความคิดให้นาง “คุณหนูจะตกปลาหรือไม่เจ้าคะ ในบ่อเพิ่งปล่อยปลาธรรมชาติสิบกว่าตัวลงไป”
เยียนอวิ๋นเกอเงียบ วันนี้ไม่มีอารมณ์ตกปลา
นางหงุดหงินจนท้องเฟ้อ คราวนี้ไม่มีอารมณ์แม้แต่น้อย
อาเป่ยพูดขึ้นอีก “คุณหนูจะออกไปเดินเล่นหรือไม่เจ้าคะ ได้ยินว่าผ้าผืนขึ้นราคาสูงมาก ในโกดังของเรือนพักกักตุนผ้าผืนจำนวนมาก จะส่งออกสินค้านำเงินกลับมาหรือไม่เจ้าคะ เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณหนูก็ไม่ต้องกลุ้มใจเพราะเงินแล้ว”
เยียนอวิ๋นเกอมองออกไปด้านนอก อากาศยังหนาวไม่พอ ยังไม่ถึงเวลาที่ดีที่สุดในการส่งออกผ้าผืน
นางพูด “รออีกหน่อย! รอตอนที่หนาวกว่านี้ ส่งจดหมายให้เยียนสุย หากมีพ่อค้าต่างถิ่นมา อย่าได้ปฏิเสธ รั้งคนเอาไว้ก่อน เมื่อถึงเวลาค่อยส่งออกผ้าผืน”
อาเป่ยรับคำสั่ง
นางครุ่นคิด พลันพูด “บ่าวได้ยินคนจำนวนมากบอกว่าปีนี้ฤดูหนาวจะไม่มีหิมะตก”
เยียนอวิ๋นเกอทำหน้าเคร่งเครียด “หากไม่มีหิมะตกคงจะแย่ ดักแด้ในพื้นไม่ถูกแช่แข็งจนตาย เมื่อฤดูใบไม้ผลิก็เกิดเป็นภัยแมลง”
“ทำอย่างไรดีเจ้าคะ” อาเป่ยร้อนใจ
เยียนอวิ๋นเกอส่งเสียงในลำคอ “ปล่อยไป!”
หากต้องอาศัยสภาพอากาศ เรื่องที่มนุษย์ทำได้ย่อมมีจำกัด
หากปีหน้ายังคงเกิดภัยแล้ง เยียนอวิ๋นเกอกำลังลังเลว่าจะปล่อยพื้นที่ให้รกร้างสักปีหรือไม่
ไม่เพาะปลูกย่อมไม่มีความเสียหาย ปลูกหนึ่งไร่เสียหายหนึ่งไร่
ทั้งเมล็ดพันธุ์ ทั้งแรงงาน ทั้งปุ๋ย…
ล้วนเป็นความเสียหาย