ตอนที่ 238 ผู้สาบสูญ
เซียวอี้เดินทางมาถึงจวนท่านอ๋องตงผิง
เต็มไปด้วยความเศร้าโศก!
แขนของท่านอ๋องตงผิง เซียวกั้วพันไปด้วยผ้า แขนซ้ายแขวนเอาไว้ เขาออกมาต้อนรับเซียวอี้
เซียวอี้เห็นเขาได้รับบาดเจ็บ สีหน้าผงะไป
เซียวกั้วหันกลับมาปลอบเขา “ดวงแข็ง บาดเจ็บเพียงแขนซ้าย หมอหลวงยอกว่าพักรักษาให้ดี ย่อมสามารถหายได้ ไม่กระทบต่อการเคลื่อนไหว”
เซียวอี้ส่งเสียงไม่พอใจ “จะไม่กระทบต่อการเคลื่อนไหวได้อย่างไร พี่ใหญ่ไม่ต้องปลอบข้า ท่านต้องดีใจที่บาดเจ็บแขนซ้ายไม่ใช่แขนขวา มิฉะนั้นท่านคงจับดาบเอาไว้ไม่อยู่”
เซียวกั้วหัวเราะอย่างขมขื่น “เวลานี้ก็มีแต่ปลอบตัวเองว่าทุกอย่างจะดีขึ้น”
แต่การปลอบไม่เพียงพอ
เซียวอี้เดินเข้าไปในโถงวางหีบศพ หีบศพกว่ายี่สิบหีบวางเรียงราย
ทันใดนั้นทำให้คนเกิดความรู้สึกน่ากลัวเหมือนเดินเข้าอี้จวงขึ้นมาอย่างกะทันหัน…
อยากแต่จะเพียงหนีจากตรงนี้ไป
ฝาหีบยังไม่ได้ถูกปิดเอาไว้
เซียวอี้เดินมองไปตามหีบศพ
ล้วนเป็นญาติที่มีสายเลือดอันคุ้นเคย
ความจริงแล้ว เขาไม่มีความรู้สึกต่อคนเหล่านี้มากนัก
เพียงแต่เมื่อเขารับรู้ว่าพวกเขาตายอย่างไม่เป็นธรรม เห็นพวกเขานอนอยู่ในหีบศพ หัวใจของเขายังคงเจ็บปวด
มันคือความเคารพที่มีต่อชีวิตที่สูญเสียไป
แสดงว่าเขายังเป็นคน ไม่ได้เลือดเย็นหรือใจแข็งจริงๆ
ไม่ว่าผู้ใดที่ประสบกับเหตุการณ์สูญเสียญาติไปยี่สิบกว่าคนล้วนแล้วแต่อยู่เฉยไม่ได้
ปัง!
กำปั้นทุบลงบนกำแพง ดวงตาแดงก่ำ
เซียวกั้วปลอบเขา “เรื่องเป็นเช่นนี้แล้ว ปล่อยวางเถิด”
เซียวอี้หันกลับมายิ้มเสียดสี “ถูกคนบุกสังหารถึงหน้าจวน ท่านเองก็เกือบตายอยู่ใต้ดาบ ท่านยังสามารถปล่อยวางได้ ใจของท่านต้องกว้างเพียงใด ถูกคนรังแกถึงบนหัวแล้ว ท่านยังอดทนได้อีกหรือ”
“ไม่อดทนแล้วจะทำอย่างไร เจ้าบอกข้า ข้าควรทำอย่างไร หรือเจ้าจะให้ข้าถือดาบไล่ล่ากลับไปหรือ ข้าจะไปไล่ล่าผู้ใด ไล่ล่ากองทัพเหนือหรือว่าตระกูลขุนนาง หรือบุกเข้าไปลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ ข้าไม่รู้ว่าต้องฆ่าผู้ใดด้วยซ้ำ เจ้าให้ข้าทำอย่างไร”
เซียวกั้วรู้สึกไม่เป็นธรรม
เขาเป็นท่านอ๋องตงผิงที่ต่ำต้อยอย่างมาก
ถูกฮ่องเต้กดขี่ เหยียดหยามจนจมดิน เวลานี้ยังต้องถูกคนบุกมาลอบสังหารถึงจวน
เขาก็อยากยกดาบไล่ล่ากลับไป แต่เขาจำเป็นต้องคำนึงถึงคนนับร้อยนับพันในจวน
เขาตายได้ แต่คนอื่นอาจไม่ยินดีตายไปพร้อมกับเขา
เซียวอี้หัวเราะเสียงเย็น “มันคือเหตุผลที่ท่านยอมอดทนหรือ ถึงแม้ไม่รู้จะต้องฆ่าผู้ใด แต่ท่านก็ควรมีท่าทีของท่าน บอกคนทั้งแผ่นดิน จวนท่านอ๋องตงผิงยังไม่สิ้น บุตรหลานของตระกูลเซียวไม่ใช่คนขี้ขลาด”
“เจ้าบอกข้าว่าข้าต้องทำอย่างไร” เซียวกั้วถามกลับเสียงดุดัน
เซียวอี้ชี้ไปยังหีบศพที่เรียงราย “พวกเขาไม่ควรวางไว้ตรงนี้ ควรวางไว้ที่หน้าประตูสำนักองครักษ์จินอู่ วางไว้หน้าค่ายกองทัพเหนือ วางไว้หน้าประตูวังหลวง วางไว้หน้าเจิ้งซื่อถัง แต่ไม่ควรวางไว้ที่จวนท่านอ๋องตงผิง การตายของพวกเขาจำเป็นต้องชำระแค้นด้วยเลือด”
เซียวกั้วส่ายหน้าระรัว “เจ้าตัวคนเดียว ไร้ซึ่งความกังวล เจ้าย่อมสามารถทำได้ แต่ข้าทำไม่ได้ ข้าจำเป็นต้องคำนึงถึงคนที่ยังมีชีวิตอยู่”
เซียวอี้หัวเราะเสียงเย็น “แต่เล็กจนโต ทุกเรื่องที่ทำ ท่านย่อมีเหตุผลและข้ออ้างมากมายคัดค้านข้าเสมอ คราวนี้ก็ไม่ยกเว้น แน่นอน ท่านเป็นนายของจวนอ๋อง ท่านมีสิทธิ”
เซียวกั้วถอนหายใจ “น้องหก ข้ารู้ว่าเจ้ามีเจตนาดี แต่ว่าข้าไม่มีความกล้าเหมือนเจ้า อีกทั้งไม่กล้าละทิ้งทุกอย่าง การแก้ไขปัญหาไม่ใช่มีเพียงการปะทะอย่างเดียว การทวงความเป็นธรรมให้คนตาย ข้าจะทำ เพียงแต่วิธีของข้าอ่อนโอนกว่า บางทีเจ้าอาจมองว่าข้าไร้ความสามารถ ขี้ขลาด แต่ในฐานะนายของจวนอ๋องนี้ บางครั้งต้องขี้ขลาดบ้าง”
เซียวอี้หัวเราะเย้ยหยัน “ข้าไม่บังคับท่าน!”
เซียวกั้วถอนหายใจอีกครั้ง
เวลานี้ มีพ่อบ้านแอบชะเง้อมองอยู่ด้านนอกโถง เขากลัวจนไม่กล้าเดินเข้าใกล้
เซียวกั้วสังเกตเห็นพ่อบ้าน จึงถามขึ้นเสียงดัง “มีเรื่องใด”
พ่อบ้านยืนอยู่หน้าประตู โน้มตัวตอบ “รายงานท่านอ๋อง ยังไม่พบร่างของพระชายาและนายน้อยรอง”
“เกิดเรื่องใดขึ้น” เซียวอี้รู้เพียงจวนอ๋องมีคนตาย มีผู้บาดเจ็บนับร้อย แต่ไม่รู้ว่ามีคนหายสาบสูญ
เซียวกั้วบอกเขา “ตอนที่รวบรวมสถานการณ์คนตายและคนบาดเจ็บ ไม่พบน้องสองเซียวสวิ้นและพระชายาฉิน ข้าคิดว่าพวกเขาตายแล้ว จึงให้คนตามหาร่างของพวกเขา”
เซียวอี้เดินออกจากโถงด้วยสีหน้าหนักใจ เขาถามพ่อบ้าน “ค้นหาทุกที่ในจวนอ๋องแล้วหรือ”
“รายงานนายน้อยหก ที่ที่ควรหาล้วนหาแล้ว แม้แต่ในบ่อน้ำก็มีการงมหามาสองรอบแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่พบร่างของนายน้อยรองและพระชายา”
เซียวอี้ยิ้มเสียดสี “เกรงว่าคนยังไม่ตาย แต่ฉวยโอกาสหนีไปแล้วมากกว่า ไปรื้อค้นห้องนอนของนายน้อยรองและพระชายา ลองตรวจสอบบัญชีดูว่าเงินหายไปหรือไม่”
หนี?
พ่อบ้านทำหน้าตกตะลึง
“ยังไม่รีบไปอีก!” เซียวอี้ตะหวาดพ่อบ้านเสียงเบา
พ่อบ้านดึงสติกลับมา รีบวิ่งไปตรวจสอบทรัพย์สินของผู้หายสาบสูญทั้งสองคน
เซียวกั้วขมวดคิ้ว “น้องหกคิดว่าพวกเขาแม่ลูกหนีไปจริงหรือ”
“พี่ใหญ่คิดว่าพวกเขาแม่ลูกตายแล้วจริงหรือ”
“ยังหาร่างไม่พบ อาจเป็นเหมือนที่เจ้าพูด หนีไปช่วงชุลมุน เพียงแต่เหตุใดปฏิกิริยาของพวกเขาแม่ลูกจึงรวดเร็วเพียงนั้น เพิ่งวุ่นวายขึ้นมาก็หนีออกไปแล้ว”
“ท่านคิดว่าพวกเขาแม่ลูกวิ่งหนีไปช่วงชุลมุนเป็นเรื่องทันควันหรือ หากให้ข้าพูด พวกเขามีแผนการมาก่อนแล้ว เมื่อโอกาสมาถึง พวกเขาก็นำเงินทองหนีไป”
เซียวกั้วได้ยินจึงตกใจ “น้องหกหมายความว่าพวกเขาแม่ลูกรู้มาก่อนว่าเมืองหลวงจะเกิดการจลาจลขึ้นเมื่อคืน กองทัพเหนือจะบุกสังหารจวนท่านอ๋องตงผิง? พวกเขามีการติดต่อกับด้านนอก? ผู้ใดส่งข่าวให้พวกเขา”
ภายในใจของเซียวอี้ปรากฏความคิดหนึ่ง “ข้าไปตรวจสอบตระกูลฉิน ท่านลองสอบสวนบ่าวรับใช้ข้างกายพวกเขาสองคน ย่อมมีเบาะแสอย่างแน่นอน”
พูดจบ เขาก็ก้าวเดินจากไป
เห็นได้ชัดว่าการหายสาบสูญของพระชายาฉินและเซียวสวิ้นนั้นได้รับข่าวมาล่วงหน้า
ข่าวมาจากที่ใด
ตระกูลฉินน่าสงสัยที่สุด
ตระกูลฉินเล็กๆ บังอาจเข้าร่วมเรื่องที่อันตรายเพียงนี้ ผู้ใดให้ความกล้าแก่ตระกูลฉิน
ตระกูลฉินหาที่ตาย!
…
เยียนอวิ๋นเกอติดตามเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดามาเยือนเชื้อพระวงศ์ที่ถูกกองทัพเหนือเข่นฆ่า
เต็มไปด้วยความเศร้าโศก!
แต่ละจวนล้วนแขวนผ้าขาว
ความเศร้าโศกปรากฏขึ้นตั้งแต่หัวตรอกจนท้ายตรอก
เมื่อคืนเป็นหายนะที่ใหญ่ที่สุดที่เชื้อพระวงศ์เคยได้รับในประวัติศาสตร์
เรื่องที่ทำให้คนยิ่งโกรธคือหาคนที่จะแก้แค้นไม่ได้
ไฟโกรธที่อยู่เต็มท้องไม่อาจระบายออกมาได้
มีคนเรียกร้องจะฆ่าตระกูลขุนนาง มีคนเรียกร้องให้กองทัพเหนือคืนความเป็นธรรม มีคนร้องขอให้ฮ่องเต้ให้ความเป็นธรรม…
แต่ละคนล้วนได้รับบาดเจ็บ หรือสูญเสียญาติ หรือกระตุ้นความรุนแรงขึ้นมาในโศกนาฏกรรมเมื่อคืน
โศกนาฏกรรมฉากนี้ดูเหมือนจะจบสิ้น แต่ความจริงแล้วเพิ่งเริ่มต้น
ความโศกเศร้า ความโกรธ ความแค้น…
แต่ละอารมณ์ล้วนพัวพันอยู่ด้วยกัน บีบเค้นหัวใจของคน
เซียวฮูหยินไม่กล้าอยู่นาน เศร้าโศกเกินไป
เมื่อกลับขึ้นรถม้า สีหน้าของนางยังคงจริงจัง
หลังจากนั้นเป็นเวลานาน…
นางจึงพูดกับเยียนอวิ๋นเกออย่างจริงจัง “นี่คือหายนะของตระกูลขุนนาง ตระกูลขุนนางแม้จะดูอ่อนโยน มีท่าทีอ่อนน้อมถ่อมคน แต่ความจริงแล้วพวกเขาล้วนมีจิตใจที่ทะเยอทะยาน ต่อจากนี้หากเจ้าต้องติดต่อกับตระกูลขุนนาง เจ้าต้องระวังไว้ อย่าได้หลงเชื่อคำพูดหลอกลวงของพวกเขา พวกเขาล้วนเป็นคนที่ไม่มีสัจจะ โหดเหี้ยม และไร้ยางอาย”
เยียนอวิ๋นเกอเงียบ
เซียวฮูหยินถามนาง “เหตุใดจึงไม่พูด”
เยียนอวิ๋นเกอครุ่นคิด “หายนะเมื่อคือมีต้นกำเนิดจาตระกูลขุนนางเพียงฝ่ายเดียวหรือ”
เซียวฮูหยินขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจอย่างมาก “เจ้าอยากแก้ตัวแทนตระกูลขุนนางหรือ”
“ไม่ใช่เช่นนั้น ท่านแม่ ตระกูลเยียนก็เป็นตระกูลขุนนาง หากพูดถึงจิตใจที่ทะเยอทะยาน ท่านพ่อก็คือต้นแบบ แต่สามารถบอกได้ว่าท่านพ่อผิดทั้งหมดหรือ เขานำกองกำลังชายแดน โจมตีต่างเผ่า เฝ้าระวังชายแดน ย่อมไม่มีผิด หากแต่เป็นความดีความชอบใหญ่ ข้าไม่ได้แก้ตัวให้ท่านพ่อหรือตระกูลขุนนาง ตระกูลขุนนางมีความผิดอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่เรื่องเมื่อคืน นอกจากตระกูลขุนนางที่ต้องรับผิดชอบแล้ว ยังมีฮ่องเต้อีกด้วย รวมทั้งเชื้อพระวงศ์ที่ไร้ความสามารถกลุ่มนั้น”
วาจาของเยียนอวิ๋นเกอไม่เหมาะสมอย่างมากในเวลานี้
เซียวฮูหยินหายใจเข้านับครั้งจึงจะควบคุมไฟโกรธภายในใจ
เชื้อพระวงศ์ต้องประสบกับการโศกนาฏกรรม หัวใจของนางกำลังอาบเลือด
เวลานี้ บุตรสาวของนางกลับมาถกเถียงว่าตระกูลขุนนางต้องรับผิดชอบทั้งหมดหรือไม่ นางไม่ได้อาละวาดขึ้นมาทันทีก็ถือว่ามีมารยาทมากแล้ว
เหตุใดเยียนอวิ๋นเกอต้องพูดจาไม่เหมาะสมในเวลานี้
เพราะนางต้องการตักเตือนมารดา อย่าได้เดินทางซ้ำ อย่าได้เดินบนเส้นทางที่ผิดพลาดของผู้อื่น
คนอย่าได้สุดโต่ง
โดยเฉพาะเมื่อเกิดเรื่องใหญ่แล้ว ต้องใจเย็นและมีสติอย่างมาก อย่าได้ทำสิ่งใดสุดโต่ง
นางกำลังกังวลว่าท่านแม่จะถูกความโกรธบังตา เดินทางที่ไม่ควร
ดังนั้น คราวนี้นางจำเป็นต้องเป็นผู้ร้าย นางต้องสาดน้ำเย็นเพื่อดับไฟโกรธในใจของเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดา
นางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ถึงแม้ฮ่องเต้จะไม่ใช่ฮ่องเต้ที่ดี ความสามารถในการปกครองของเขายังไม่ถึงที่ อาจารย์หยูที่สั่งสอนฮ่องเต้ก็ไม่ดีพอ ในฐานะฮ่องเต้ ควรรู้หลักการในการสมดุลอำนาจ เขาสังหารเหล่าท่านอ๋องตามใจก็เป็นการทำลายความสมดุล”
“เมื่อสมดุลถูกทำลาย คนที่ได้ประโยชน์สูงสุดก็คือตระกูลขุนนาง พวกเขาย่อมจะร้ายกาจมากขึ้น ทุกสิ่งล้วนทำเพื่อสร้างเสริมความแข็งแกร่งของอำนาจตนเอง มีสิ่งใดแข็งแกร่งกว่าการควบคุมกษัตริย์ ควบคุมสถานการณ์บนแผ่นดินอีก หากตอนนั้นฮ่องเต้ทรงยอมออมมือเสียบ้าง เวลานั้นย่อมสามารถอาศัยกำลังของเหล่าท่านอ๋องแตะต้องตระกูลขุนนาง ทั้งขจัดศัตรูได้ อีกทั้งยังสามารถกดขี่ตระกูลขุนนางได้”
“แม้เหล่าท่านอ๋องจะน่าโกรธแค้นที่ละเมิดอำนาจราชวงศ์ ฮ่องเต้ไม่สามารถทนได้ แต่ตอนที่กำจัดเหล่าท่านอ๋องนั้น ไม่มีความจำเป็นต้องกำจัดทั้งหมด สามารถดึงมาเป็นพวกส่วนหนึ่ง กดขี่อีกส่วนหนึ่ง”
“สุดท้าย ฮ่องเต้กลับใช้วิธีการที่สุดโต่ง กำจัดเหล่าท่านอ๋องทั้งหมดโดยไม่แบ่งแยกใกล้ไกล ไม่แบ่งแยกดีชั่ว สุดท้ายความสมดุลจึงถูกทำลาย ตระกูลขุนนางถือโอกาสขึ้นเป็นใหญ่จึงเกิดโศกนาฏกรรมเมื่อคืน”
“ท่านแม่ ที่ข้าพูดออกมาในเวลานี้ แม้จะไม่เข้าหู แต่ว่าคนต้องซึมซับบทเรียน ข้าได้ยินว่าฮ่องเต้จะประหารขุนนางตระกูลใหญ่ พระองค์ทรงถูกความโกรธบังตาอย่างเห็นได้ชัด ต้องการเพียงแก้แค้น แต่ไม่คำนึงถึงที่ตามมาว่าจะรับได้หรือไม่ ข้าไม่อยากเห็นท่านแม่ตกลงไปในหุบเหวลึก ดังนั้นแม้จะไม่เข้าหูเพียงใด ข้าก็ต้องพูดออกมา”