ตอนที่ 247 คล้ายคลึงกับศัตรูหัวใจ
ความไม่พอใจของฮ่องเต้ต่อองค์ชายสองเซียวเฉิงเหวินสามารถเห็นได้ชัด
ทั้งคืนล้วนทำเหมือนเขาไร้ตัวตน
ราวกับไม่มีบุตรชายคนนี้
ทุกคนมองเห็น แต่ไม่พูด
แค่คนป่วยกระเสาะกระแสะ ไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงใจ
ไม่แน่ว่าทุกคนล้วนแอบหัวเราะเยาะเขาอยู่ลับหลัง
คนอื่นไม่สนใจความรู้สึกของเซียวเฉิงเหวิน แต่เฟ่ยกงกงสนใจ
“ฝ่าบาททรงเข้มงวดกับองค์ชายเกินไป! องค์ชายทรงทำเพื่อส่วนรวม ทุกสิ่งที่องค์ชายทรงทำล้วนทำเพื่อแผ่นดินต้าเว่ย ฝ่าบาทกลับทรงโกรธแค้นเพียงนี้ กลับ…”
“หยุดพูดเถิด! ในพระทัยของเสด็จพ่อ นอกจากพระองค์แล้ว ผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์กังวลแทนแผ่นดินต้าเว่ย ข้าเป็นคนที่ป่วยกระเสาะกระแสะ บังอาจถกเถียงเรื่องราชสำนักย่อมเป็นการกระทำผิด เสด็จพ่อไม่ทรงลงโทษข้าก็มีเมตตามากแล้ว”
สีหน้าของเซียวเฉิงเหวินเรียบเฉย ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องที่ประสบในงานเลี้ยง
เฟ่ยกงกงสงสาร “องค์ชายดีเช่นนี้ ฝ่าบาทกลับไม่ทรงเห็น กระหม่อมรู้สึกไม่คุ้มแทนองค์ชาย”
เซียวเฉิงเหวินยิ้มเยาะเย้ยตนเอง “ไม่ต้องพูดแล้ว! เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ ข้าก็ต้องพักรักษาร่างกาย ร่างกายสำคัญที่สุด เรื่องอื่นยังไม่ต้องให้ข้าเป็นกังวล”
คำพูดที่ท้อแท้เช่นนี้ก็พูดออกมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าองค์ชายทรงเจ็บปวดอย่างมาก
เฟ่ยกงกงเริ่มจินตนาการจนถึงจุดสูงสุดของเรื่อง
เรียกได้ว่าจินตนาการสูงส่ง
ไม่ได้!
ในฐานะบ่าวรับใช้ผู้จงรักภักดีขององค์ชาย เขาต้องช่วยองค์ชายขจัดความกังวล
เพียงแต่…
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ จัดการไม่ง่าย
อย่างนั้นก็หาทางอื่นให้องค์ชายดีใจขึ้นมา
หรือให้ฮูหยินมีบุตรอีกคน
ดูท่าทางเขาต้องเตือนฮูหยินอย่าได้หยุดยา
หากอยากตั้งครรภ์ที่สองในเร็ววัน ย่อมต้องทานยาอย่างต่อเนื่อง รักษาร่างกายให้ดี โอกาสที่จะสำเร็จถึงจะสูง
…
คืนวันผ่านพ้นไป เวลาเข้าสู่ช่วงหย่งไท่ปีที่สิบห้า
ปีใหม่แม้จะยากลำบากเพียงใด แต่ละครัวเรือนก็ยังคงต้องจัดหาสิ่งของสำหรับปีใหม่
ซื้อชุดใหม่ไม่ไหว อย่างน้อยก็ต้องซื้อเนื้อสองจินกลับเรือน
บนท้องถนนเต็มไปด้วยบรรยากาศปีติยินดีในวันปีใหม่
ประตูของจวนตระกูลใหญ่ ภัตตาคาร ร้านค้าล้วนแขวนไปด้วยโคมแดงอันเป็นสัญลักษณ์ของความมงคล!
ทุกคนต่างแต่งกายเรียบร้อย ไม่ว่าจะยากดีมีจนล้วนไปเดินเที่ยวอยู่บนถนน
วันนี้ทุกคนต่างหยุดทำงานหนัก ใช้ชีวิตอย่างสบายไร้ความกังวล
หน้าศาลหลักเมือง งานวัดคึกคักอย่างมาก
คนเบียดคน
หากไม่ทันระวัง คนก็อาจถูกเบียดจนล้ม
ร้านขายของชำหนานเป่ย ร้านน้ำแกงเครื่องในหนานเป่ยล้วนตั้งแผงอยู่ในงานวัด
ไม่ใช่แผงที่ใหญ่ที่สุด แต่ก็เป็นแผงใหญ่อันดับต้นๆ
ขายดีอย่างมาก!
คนที่ทำงานวันนี้ได้รับเงินเดือนสองเท่า
ทุกคนต่างแย่งกันมา สุดท้ายตัดสินใจจับสลากเลือกคน
คนที่ถูกจับได้กระโดดขึ้นด้วยความดีใจ
เที่ยวเล่นเมื่อใดก็ได้
แต่เงินเดือนสองเท่าไม่ได้มีทุกเวลา
ไม่เพียงมีเงินเดือน หากขายได้ดี ยังสามารถได้รับเงินรางวัลจำนวนมากได้
มันสามารถกระตุ้นความกระตือรือร้นของเด็กในร้านได้อย่างดี
…
เยียนอวิ๋นเกอเดินเล่นอยู่ในงานวัดภายใต้การรายล้อมของบ่าวรับใช้
เซิ่นซูเหวินเดินอยู่เคียงข้าง
นางไม่เกลียดเซิ่นซูเหวิน
กลับกัน เซิ่นซูเหวินมีความรู้กว้างขวาง พูดจามีสาระ การพูดคุยกับเขาเป็นเรื่องที่สนุกอย่างมาก
ฤดูใบไม้ผลินี้ เซิ่นซูเหวินยังคงอยู่ที่จวนท่านหญิงเหมือนเคย
งานวัดในวันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง เขามาเดินเล่นงานวัดกับเยียนอวิ๋นเกอ ดูตลาดเมืองหลวงที่คึกคักที่สุดในหนึ่งปี
ทั้งสองเดินตั้งแต่ต้นตรอกยันท้ายตรอก จากนั้นขึ้นบันไดไปสักการะที่ศาลหลักเมือง
หน้าประตูศาลหลักเมืองเต็มไปด้วยพ่อค้าที่ขายธูปเทียน
ตลอดทาง ข้างหูล้วนมีแต่เสียงตะโกนขายของ
ธูปเทียนมีหลากหลายชนิด มีแต่จะนึกไม่ถึง
เยียนอวิ๋นเกอซื้อธูปยาวสามดอก เตรียมจุดให้เจ้าพ่อศาลหลักเมือง
นางเห็นเซิ่นซูเหวินไม่ขยับ ดังนั้นจึงถาม “พี่เซิ่นไม่สักการะหรือ”
เซิ่นซูเหวินพูดด้วยรอยยิ้ม “นับถือผีและเทพ แต่ก็ต้องอยู่ห่าง ข้าเป็นบัณฑิต หากจะสักการะก็ต้องสักการะต่อหน้านักปราชญ์”
เยียนอวิ๋นเกอไม่บังคับเขา “ข้าเข้าไปสักการะ พี่เซิ่นจะไปกับข้าหรือว่ารออยู่ด้านนอก ได้ยินว่าเซียมซีศาลหลักเมืองแม่นยำอย่างมาก ก่อนอื่นคือท่านต้องมีความศรัทธา”
“น้องอวิ๋นเกอเชื่อเรื่องเหล่านี้หรือ”
“เชื่อย่อมมี ไม่เชื่อย่อมไม่มี มาก็มาแล้ว หากไม่สักการะย่อมไม่เหมาะสม อีกอย่าง ข้าเป็นแม่ค้า ไม่ว่าเรื่องใดล้วนต้องคำนึงถึงโชคลาภและความราบรื่น หากผ่านศาลหลักเมืองแล้วไม่สักการะ ย่อมเป็นการไม่เคารพต่อเจ้าพ่อศาลหลักเมืองไม่ใช่หรือ”
“ข้าคิดว่าน้องอวิ๋นเกอเป็นคุณหนูตระกูลขุนนาง ไม่ใช่แม่ค้า”
“แต่ความจริงแล้ว ข้าก็คือแม่ค้า ไม่พูดแล้ว ข้าเข้าไปสักการะก่อน”
เยียนอวิ๋นเกอเดินเข้าศาลหลักเมืองด้วยสีหน้าตื่นเต้น จุดธูปสักการะอย่างศรัทธา
เซิ่นซูเหวินเดินตามอยู่ข้างตัวนาง
เขาพบว่าตอนที่เยียนอวิ๋นเกอจุดธูปสักการะเจ้าพ่อศาลหลักเมืองนั้น ศรัทธาอย่างประหลาด ไม่ใช่เชื่อย่อมมี ไม่เชื่อย่อมไม่มีเหมือนที่นางพูด
ที่แท้นางเชื่อเรื่องนี้!
เยียนอวิ๋นเกอไม่เชื่อได้หรือ
บนโลกนี้มีผู้ใดเหมือนนาง เกิดใหม่หลังจากตาย อีกทั้งยังครอบครองความทรงจำสองภพชาติ
บางทีอาจเป็นเพราะพลังที่นางไม่รู้ หรือบางทีอาจเป็นพลังของสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ไม่ว่าอย่างไร นางก็ยังมีจิตใจที่เกรงกลัวและเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ
เพียงแต่ภายใต้สถานการณ์ปกติ นางไม่ขอร้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างง่ายดาย หากจะสักการะ เวลานี้นางก็จะสักการะเพียงแค่ศาลหลักเมือง
เมื่อจุดธูปแล้ว บริจาคเงินค่าธูปและน้ำมันแล้ว นางก็เสี่ยงเซียมซี
เซียมซีดีมาก!
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มเบิกบาน
“พี่เซิ่นจะลองเสี่ยงดูหรือไม่”
เซิ่นซูเหวินลังเลเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ดีกว่า! จะได้ไม่กระทบต่อจิตใจ”
“ก็จริง ท่านเป็นบัณฑิต แต่ละเดือนต้องเข้าร่วมการสอบของสำนักไท่เสวีย การศึกษาย่อมต้องอาศัยความพยายามของบุคคล”
ทั้งสองคนเดินเล่นอยู่ในศาลหลักเมือง
ฤดูหนาว เขาด้านหลังศาลหลักเมืองเปล่าเปลี่ยว ไม่มีทิวทัศน์ที่งดงาม
ดังนั้น เขาทางด้านหลังเงียบสงัด
หลังจากเดินเล่นอยู่สักพัก พวกเขาก็ตัดสินใจกลับตลาด
ความคึกคักและความมีชีวิตชีวาของตลาดทำให้คนรู้สึกดีใจ
เมื่อเดินออกจากศาลหลักเมือง เยียนอวิ๋นเกอถามเขา “เมื่อเห็นความคึกคักของตลาด พี่เซิ่นคิดเห็นอย่างไร”
เซิ่นซูเหวินตอบอย่างเด็ดขาด “ไม่คึกคักเหมือนปีที่แล้ว ความมีชีวิตชีวาของผู้คนก็ไม่อาจเทียบปีที่แล้ว ทุกคนต่างดีใจอย่างไม่ลืมหูลืมตา”
คำว่าดีใจอย่างไม่ลืมหูลืมตาใช้ได้ดีมาก
“พี่เซิ่นมีแผนการรับมือหรือไม่”
เซิ่นซูเหวินส่ายหน้า “แผนการอยู่ที่ราชสำนัก อยู่ที่ฝ่าบาท อยู่ในสมองและในมือของใต้เท้าทุกท่าน ข้าเป็นเพียงบัณฑิต แม้แต่อนาคตของตนเองยังกำหนดไม่ได้ จะกำหนดการตัดสินใจของสามัญชนนับหมื่นนับพันได้อย่างไร”
เยียนอวิ๋นเกอถามอีก “พี่เซิ่นอยากรับราชการหรือไม่”
เซิ่นซูเหวินยิ้ม “ย่อมอยาก! ข้าจึงตรากตรำลำบากในการศึกษามาหลายปี หากไม่สามารถทำตามเป้าหมายของตนเองได้ คงจะเป็นการทรยศต่อผู้ใหญ่และตนเองไม่ใช่หรือ”
เยียนอวิ๋นเกอเม้มปากยิ้ม “พี่เซิ่นไม่ปิดบังความต้องการของตนเอง จริงใจอย่างมาก”
“ต่อหน้าน้องอวิ๋นเกอ ข้าไม่ต้องปิดบัง”
เขามองไปทางเยียนอวิ๋นเกอด้วยสายตาลึกล้ำและเต็มไปด้วยความรู้สึก
แต่เวลานี้ความสนใจของเยียนอวิ๋นเกอกลับถูกชายหนุ่มรูปงามที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนดึงดูดไป
เอ๊ะ
เหตุใดเขาจึงอยู่ที่นี่
เหตุใดเขาจึงมาเดินงานวัด
ใบหน้าที่งดงามดุจเทพเซียนนั้นกลับปรากฏอยู่ในงานวัดที่เต็มไปด้วยผู้คน
มิน่าคนรอบข้างจึงประหลาดใจต่อเขาอย่างมาก อีกทั้งยังชี้นิ้วถกเถียง
เซียวอี้ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนเหมือนเสาต้นหนึ่ง ดึงดูดสายตาผู้คนอย่างมาก
เมื่อสายตาของเยียนอวิ๋นเกอมองมา เขาก็ยิ้มให้นาง รอยยิ้มนั้นเปิดเผยถึงความสนิท
เขาเดินตรงมายังนาง
“คุณหนูสี่ ไม่พบกันนาน!”
“นายน้อยเซียวสบายดีหรือไม่! บังเอญเสียจริง วันนี้ได้พบกันในงานวัด ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมางานวัดด้วย”
เซียวอี้พูดเสียงเรียบ “ร่วมสนุก”
“ท่านนี้คือ” เซิ่นซูเหวินมองเซียวอี้ด้วยความสงสัย
เยียนอวิ๋นเกอรีบแนะนำคนทั้งสอง “นายน้อยเซียว ท่านนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า นามเซิ่นซูเหวิน ศึกษาอยู่ที่สำนักไท่เสวีย พี่เซิ่น ท่านนี้คือนายน้อยเซียวจากจวนท่านอ๋องตงผิง เวลานี้รับหน้าที่ในกองทัพใต้ กองทัพใต้หยุดปีใหม่ด้วยหรือ”
นางถามด้วยความสงสัย
เซียวอี้พยักหน้า “ย่อมหยุด ทหารก็เป็นคน ต้องกลับไปหาคนในครอบครัว”
เขาพินิจเซิ่นซูเหวินอย่างไร้เสียง ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดูเหมือนเป็นมิตร แต่ความจริงแล้วกำลังพิจารณา
เซิ่นซูเหวินสัมผัสว่องไวอย่างมาก เขาสังเกตถึงความระแวงของเซียวอี้ที่มีต่อเขา
ระแวง?
เหตุใดจึงระแวงเขา
เขามองไปทางน้องอวิ๋นเกอ ทันใดนั้นก็กระจ่าง
นายน้อยเซียวท่านนี้ เมามายเคลิบเคลิ้มหาได้มาจากสุรา หากแต่เป็นน้องอวิ๋นเกอ
เพียงแต่หากเขาจำไม่ผิด นายน้อยเซียวจากจวนท่านอ๋องตงผิงที่รับหน้าที่ในกองทัพใต้มีเพียงเซียวอี้ผู้เดียว อีกทั้งเขายังถูกท่านอ๋องตงผิงขับไล่ออกจากวงศ์ตระกูลนานแล้ว
คนที่ไร้ตระกูลเช่นนี้ อาศัยเพียงแซ่ก็คิดจะหมายปองน้องอวิ๋นเกอหรือ
ยโสโอหังเกินไปหรือไม่
น้องอวิ๋นเกอดีมาก เซียวอี้ไม่คู่ควร
เพียงแค่มองผ่านๆ เซิ่นซูเหวินก็มีบทสรุปให้เซียวอี้
เขาเชื้อเชิญ “หากนายน้อยเซียวไม่รังเกียจ ท่านร่วมเดินงานวัดกับพวกข้าดีหรือไม่ แต่หากนายน้อยเซียวมีเรื่องอื่นต้องทำ พวกข้าก็ไม่บังคับ”
เซียวอี้หัวเราะร่า “ย่อมไม่มีเรื่องต้องทำ นานทีจะมาเดินเล่นงานวัด เดินเล่นคนเดียวหรือสามคนก็เหมือนกัน คุณหนูสี่ เจ้ารังเกียจที่จะให้ข้าไปด้วยหรือไม่”
เยียนอวิ๋นเกอมองซ้ายมองขวา “หากพวกท่านทั้งสองไม่รังเกียจ ข้าย่อมไม่รังเกียจ”
นางเดินดูสินค้า ดูผู้คน ดูทิวทัศน์อยู่ด้านหน้า…เพียงแต่ไม่มองเซิ่นซูเหวินและเซียวอี้
ชายหนุ่มทั้งสองเดินเรียงรายกัน ไร้ซึ่งคำพูด
บรรยากาศประหลาดเล็กน้อย
เยียนอวิ๋นเกอหยุดลงที่แผงขายงานฝีมือหนึ่งเพื่อดูเถ้าแก่ทำงานฝีมือ นางดูอย่างออกรสออกชาติ
ชายหนุ่มทั้งสองยืนอยู่ด้านหลังนาง
เซียวอี้ถามขึ้น “นายน้อยเซิ่นมาเมืองหลวงหลายปีแล้วหรือไม่!”
“นับปีแล้ว” เซิ่นซูเหวินตอบอย่างสุภาพ
เซียวอี้กวาดตามองเขา “ปีที่แล้วเกิดภัยแล้ง ตระกูลของนายน้อยเซิ่นได้รับผลกระทบหรือไม่”
เซิ่นซูเหวินพูด “ขอบพระคุณนายน้อยเซียวที่เป็นกังวล สถานการณ์ในจวนค่อนข้างดี แหล่งน้ำในท้องถิ่นเพียงพอ”
เซียวอี้ยิ้มอย่างมีนัย “นายน้อยเซิ่นมีแผนการในอนาคตอย่างไร”
เซิ่นซูเหวินกระแอมไอเสียงเบา “หากมีโอกาส ย่อมอยากรับราชการ”
เปิดเผยเพียงนี้เชียวหรือ
เซียวอี้ถามอย่างตรงไปตรงมา “ต้องการให้ข้าช่วยเหลือหรือไม่ ข้าพอมีเส้นสายในราชสำนักอยู่บ้าง จากความสามารถของนายน้อยเซิ่น การหาตำแหน่งไม่ใช่เรื่องยาก”
เจอกันครั้งแรกก็จะหาตำแหน่งให้เขา?
เซิ่นซูเหวินระวังตัวอย่างมาก
เหมือนดั่งคำโบราณที่ว่าทำดีย่อมหวังผล
เขารีบพูดทันที “ขอบพระคุณความหวังดีของนายน้อยเซียว! ความรู้ของข้ายังไม่แน่นพอ ยังอยากศึกษาอยู่ในสำนักไท่เสวียอีกสองปี ฟังคำสั่งสอนของอาจารย์ให้มากขึ้น อีกทั้งเรื่องคู่ครองยังไม่แน่ชัด หากยังไม่แต่งงานก็รับราชการ จะถูกคนมองว่าอายุน้อย ทำงานได้ไม่น่าเชื่อถือ”
พูดถึงเรื่องคู่ครองขึ้นมาเองด้วย!
เซียวอี้กัดฟัน หนังหน้าของเซิ่นซูเหวินผู้นี้หนาเสียจริง
แต่เขาไม่ลองคิดดู หากพูดถึงเรื่องหน้าหนา ผู้ใดจะเทียบเขาได้