ตอนที่ 259 ไร้หัวใจ
บรรยากาศในเมืองหลวงตึงเครียดขึ้นตามการกลับเมืองหลวงของกองทัพเหนือ
เมื่อมีการคุ้มครองของกองทัพเหนือ ฮ่องเต้หย่งไท่จึงทรงมีความมั่นใจอย่างมาก
อย่างน้อย เมืองหลวงก็ปลอดภัย
เขาจะกำจัดตระกูลขุนนางที่ก่อความวุ่นวายเหล่านั้นทีละตระกูลอย่างช้าๆ
เพียงแต่…
“แค่กๆ…”
ฮ่องเต้หย่งไท่กระแอมไอหลายครั้งติดต่อกัน หน้าอกอึดอัด หายใจไม่ทั่วท้อง รู้สึกไม่ดีอย่างมาก
ซุนปังเหนียนนำยาที่อุณหภูมิกำลังดีมา “ฝ่าบาทถึงเวลาเสวยยาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้หย่งไท่รับชามยามาดื่ม คิ้วของเขาขมวดมุ่น
“เหตุใดจึงขมเพียงนี้”
ยาขมขึ้นทุกวัน หมอหลวงในสำนักหมอหลวงล้วนสมควรตาย!
ซุนปังเหนียนพูดอย่างระมัดระวัง “ทูลฝ่าบาท ยาขมเช่นนี้เสมอมาพ่ะย่ะค่ะ”
“เป็นไปไม่ได้! เจ้ากำลังบอกว่ารสสัมผัสของข้ามีปัญหาหรือ”
“กระหม่อมไม่บังอาจ!”
ซุนปังเหนียนอกสั่นขวัญแขวน
ฮ่องเต้หย่งไท่จ้องมองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
เวลาราวกับผ่านไปหนึ่งชาติ แต่ก็ราวกับผ่านไปเพียงชั่วลมหายใจเดียว
เมื่อสายตาของฮ่องเต้เบี่ยงเบนไปทางอื่น ซุนปังเหนียนจึงจะรู้สึกว่ามีชีวิตอีกครั้ง
ฮ่องเต้หย่งไท่เสวยยาอย่างช้าๆ จนหมด จากนั้นเสวยผลไม้แช่น้ำตาลหนึ่งลูกเพื่อกลบกลิ่นขมในปาก
เขาพลิกดูฎีกาด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิด
“ล้วนต้องการเสบียงและเงิน คิดว่าข้าโง่หรือ ให้แม่ทัพท้องถิ่นเคลื่อนไหวกองกำลังสยบการจลาจล เรื่องแรกที่พวกเขาทำไม่ใช่ช่วยข้าบรรเทาความทุกข์ อีกทั้งยังไม่ใช่รีบร้อนในการสยบโจรกบฏ หากแต่เรียกร้องเอาเงินและเสบียงจากข้า หากข้าไม่ให้พวกเขา พวกเขาก็กล้าที่จะยืดเยื้อสงคราม ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี”
ซุนปังเหนียนถามอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาทจะทรงให้เงินและเสบียงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หย่งไท่ส่งเสียงไม่พอใจ “สำนักการคลังไม่มีเงิน สำนักเซ่าฝู่ไม่มีเสบียง ข้าจะเอาสิ่งใดให้พวกเขา ออกพระราชโองการเร่งเร้าให้แม่ทัพในท้องถิ่นรีบออกกองกำลังสยบจลาจล กำจัดโจรกบฏในท้องถิ่นตามกำหนดเวลา หากพระราชโองการฉบับเดียวไม่พอ ก็ออกพระราชโองการติดต่อกันสามฉบับ สิบฉบับ ข้าไม่เชื่อว่าเวลานี้จะมีคนกล้าขัดขืนพระราชโองการอย่างเปิดเผย”
ซุนปังเหนียนน้อมรับคำสั่ง
เขาเรียกขุนนางเชื้อพระวงศ์มาเขียนพระราชโองการเร่งเร้าให้ออกกองกำลัง
ที่ผ่านมา ผู้ที่เขียนพระราชโองการล้วนเป็นขุนนางที่มีชาติกำเนิดจากตระกูลใหญ่
แต่เวลานี้หน้าที่นี้ถูกแทนที่ด้วยขุนนางเชื้อพระวงศ์
ภายในขุนนางเชื้อพระวงศ์ก็มีคนจำนวนมากที่มีความสามารถด้านการเขียน
สามารถรับหน้าที่การเขียนพระราชโองการได้อย่างสมบูรณ์แบบ
มันเป็นหน้าที่ที่มีเกียรติ อีกทั้งยังเป็นอำนาจ
การเขียนพระราชโองการหมายความว่าสามารถรู้ความคิดของฮ่องเต้ และทิศทางของราชสำนักในเวลาแรก
ขุนนางตระกูลใหญ่สูญเสียหน้าที่นี้ไป ขุนนางเชื้อพระวงศ์ย่อมต้องฉวยโอกาสไขว่คว้าเอาไว้ให้มั่น
เวลานี้ ภายในเชื้อพระวงศ์ต่างเกิดปรากฏการณ์ฝึกฝนการเขียนหนังสือ
เมื่อรอขุนนางเชื้อพระวงศ์ชุดนี้แก่ชราลงไป ขุนนางเชื้อพระวงศ์รุ่นต่อไปจึงสามารถทดแทนขึ้นมาได้อย่างราบรื่น
พระราชโองการถูกเขียนเสร็จ
หลังจากให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรว่าไม่มีปัญหาแล้ว จากนั้นจึงประทับตรา ประกาศต่อแผ่นดิน
นับจากฮ่องเต้ทรงทะเลาะกับขุนนางราชสำนัก พระราชโองการก็ไม่เคยผ่านสำนักเจิ้งซื่ออีก หากแต่ประกาศต่อแผ่นดินโดยตรง
มีขุนนางคัดค้านว่าพระราชโองการเช่นนี้ไม่เหมาะสมและไม่ถูกต้อง
ฮ่องเต้ทรงโต้แย้งกลับไป “ข้าก็คือกฎ ข้าก็คือเหตุผล พระราชโองการคือความคิดของข้า ผู้ใดกล้าสงสัยในพระราชโองการ ผู้นั้นย่อมกำลังสงสัยในอำนาจบารมีของข้า”
จะให้คนเกลี้ยกล่อมอย่างไรได้อีก
หากมีความเห็นที่แตกต่างกันก็ต้องถูกคาดโทษว่าดูหมิ่นอำนาจราชวงศ์ รอเข้าคุกหลวง
ราชสำนักอยู่ในสภาวะกึ่งล่มสลาย
เชื้อพระวงศ์ฉวยโอกาสผงาดขึ้นครอบครอบตำแหน่งสำคัญต่างๆ
นอกจะต้องการบรรเทาความกังวลแทนฮ่องเต้
ฮ่องเต้เองก็ทรงยอมมอบหมายหน้าที่ให้เชื้อพระวงศ์ อย่างน้อยพวกเขาไม่คัดค้านตนเอง
เกิดเรื่องวุ่นวายเป็นเวลานาน บรรยากาศในเมืองหลวงล้วนเต็มไปด้วยความตึงเครียดในแต่ละวัน
แม้แต่สามัญชนก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงความตึงเครียดนั้น
ทุกครั้งที่เดินผ่านหน้าประตูสำหนักหยาเหมิน หรือผ่านหน้าประตูจวนตระกูลขุนนาง ทุกคนต่างมีฝีเท้าเร่งรีบ เกรงว่าหายนะจะหล่นลงมาจนทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อน
…
ท้องฟ้าอึมครึม มีความเป็นไปได้ที่ฝนจะตก
ปีนี้ไม่แห้งแล้งนัก แต่ลมฝนก็ไม่ได้ราบรื่นนัก
ฝนตกโปรยปราย ถึงแม้จะตกไม่หนัก แต่ดีที่ตกบ่อยครั้ง อย่างน้อยก็เพียงพอต่อการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ
สำนักราชการให้การสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ การเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิปีนี้เริ่มต้นขึ้นท่ามกลางสงคราม
ครืนครืน…
เสียงฟ้าร้อง!
“คงไม่ได้มีแต่เสียงฟ้าร้องใช่หรือไม่!”
“ปีนี้เริ่มตั้งแต่เข้าฤดูใบไม้ผลิมา มักจะมีแต่เสียงฟ้าร้อง ฝนไม่เคยตกลงมาสักครั้ง”
“หวังว่าจะมีพายุฝนทำให้พื้นดินชุ่มชื้นสักรอบ”
ทุกคนต่างหวังว่าจะมีฝนตกหนักลงมาสักรอบ แต่สุดท้ายก็มีแต่ฝนที่ตกโปรยปรายจนสามารถมองข้ามได้ อีกทั้งยังตกลงมาไม่ถึงสองชั่วยาม
พื้นถนนที่ทั้งแห้งและแข็งไม่ได้เปียกชื้นเพราะฝนโปรย
สวรรค์ชอบกลั่นแกล้งคน
…
เยียนอวิ๋นเกอกำลังตกปลาธรรมชาติ
นอกเมืองหลวง มีลำธารแยกจากแม่น้ำเว่ยสายหนึ่ง น้ำตื้น มีปลา เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการตกปลา
สาวรับใช้จัดวางโต๊ะและเก้าอี้ เตรียมน้ำชาและของว่าง ทั้งสามารถตกปลาได้ ทั้งสามารถอ่านตำราผ่อนคลายได้
เยียนอวิ๋นเกอหยิบขนมดอกท้อชิ้นหนึ่งขึ้นมากัดเบาๆ มีกลิ่นหอมของดอกท้อ
นางชิมขนมถั่วเขียวอีกชิ้น
ระดับการทำอาหารของแม่ครัวทำให้เยียนอวิ๋นเกอไม่พอใจมากนัก แต่ระดับการทำขนมยังควรค่าแก่การชื่นชม
ในถังน้ำมีปลาที่ตกขึ้นมาได้อยู่สองตัว หนักราวเจ็ดแปดจิน เพียงพอที่จะต้มน้ำแกงปลาหนึ่งหม้อ
บนทางหลวงที่ห่างออกไปไกล มีขบวนรถเคลื่อนผ่าน
บรรดาองครักษ์ต่างกระจายตัวอยู่รอบด้านเพื่อเฝ้าระวัง
มือสังหาร หลิวสือมาถึงริมลำธารอย่างไร้เสียง ในขณะที่เขากำลังจะเข้าใกล้เยียนอวิ๋นเกอ เขาถึงได้ถูกองครักษ์ที่เฝ้าระวังอยู่รอบด้านพบเข้า
บรรดาองครักษ์เหมือนเผชิญศึกหนัก
เยียนอวิ๋นเกอโบกมือ บรรดาองครักษ์ถอยลงไปอย่างไม่วางใจนัก สายตาจับจ้องไปยังหลิวสืออยู่ตลอดเวลา
เยียนอวิ๋นเกอมองเขา “กลับมาเมื่อใด”
“วันนี้ตอนเช้าเพิ่งเดินทางมาถึงเมืองหลวง นี่คือจดหมายที่แม่ทัพน้อยให้ข้าน้อยมอบให้คุณหนู”
เยียนอวิ๋นเกอรับจดหมายมาจากมือของเขา นางกวาดตามองลายมือบนซองจดหมาย มันเป็นลายมือของพี่ชายเยียนอวิ๋นถงจริง
“รอบนี้ลำบากเจ้าแล้ว”
“ทำงานให้คุณหนู ไม่ลำบาก”
หนึ่งเดือนก่อน เยียนอวิ๋นเกอให้หลิวสือนำจดหมายของนางเดินทางไปยังแคว้นซ่างกู่ จากนั้นนำจดหมายตอบกลับของเยียนอวิ๋นถงกลับมา
นางสั่งอาเป่ย “พาหลิวสือไปพักผ่อน ปฏิบัติต่อเขาให้ดี”
“บ่าวรับคำสั่ง!”
เมื่อคนจากไปแล้ว เยียนอวิ๋นเกอจึงแกะจดหมายของพี่ชายเยียนอวิ๋นถงออก
ภายในจดหมายเขียนไว้สองเรื่อง
เขาให้เยียนอวิ๋นเกอวางใจ ไม่ว่าเยียนอวิ๋นฉวนจะกลับแคว้นซ่างกู่หรือไม่ เขาล้วนมีแผนการรับมือ
เรื่องที่สองเป็นข่าวดี
หลิวเป่าจูตั้งครรภ์แล้ว เพิ่งตรวจพบ
เยียนอวิ๋นเกอยิ้มเบิกบาน “พี่สองร้ายกาจเสียจริง”
นางเก็บจดหมายเอาไว้ พูดราวกับพึมพำ “บางครั้งข้าอยากให้เยียนอวิ๋นฉวนกลับไปได้เสียจริง”
สาวรับใช้ อาเย่ว์กระซิบถาม “เหตุใดคุณหนูจึงคิดเช่นนี้”
นางยิ้ม “เจ้าลองทายดู หากเยียนอวิ๋นฉวนกลับแคว้นซ่างกู่เวลานี้ พี่สองจะฆ่าเขาหรือไม่”
อาเย่ว์พูดด้วยท่าทางจริงจัง “หากนายน้อยสองต้องการฆ่านายน้อยใหญ่ บ่าวคิดว่าในสนามรบเป็นโอกาสที่ดีที่สุด แต่ว่าข้างกายนายน้อยใหญ่ย่อมต้องมีองครักษ์และผู้มากฝีมือคุ้มครองอยู่เป็นจำนวนมาก หากนายน้อยสองต้องการฆ่านายน้อยใหญ่ ไม่ใช่เรื่องง่าย”
เยียนอวิ๋นเกอได้ยินจึงหัวเราะขึ้นมา “เจ้าคิดว่าหากพี่สองมีโอกาสจะฆ่าเยียนอวิ๋นฉวนหรือไม่”
อาเย่ว์ครุ่นคิดอย่างตั้งใจ “บ่าวคิดว่า โอกาสยังมีอีกมาก แต่ว่าบ่าวกังวล หากท่านโหวขุ่นเคืองขึ้นมา นายน้อยสองย่อมต้องเสียเปรียบ หากท่านโหวให้นายน้อยสองชดใช้นายน้อยใหญ่ด้วยชีวิต จะทำอย่างไรดี”
“ย่อมจะมีคนเกลี้ยกล่อมเขา เมื่อเยียนอวิ๋นฉวนตาย หากท่านพ่อยังจะต้องการลงโทษพี่สองอีก พี่น้องที่หลงเหลืออยู่นั้น ไม่มีผู้ใดสามารถแบกรับหน้าที่สำคัญได้ เพื่อสถานการณ์โดยรวม ย่อมมีคนรั้งเขาเอาไว้ ตระกูลเยียนล่มสลายไม่ได้ กองทัพตระกูลเยียนยิ่งล่มสลายไม่ได้ ไม่อาจให้ผู้ที่ไร้ความสามารถไปนำกองทัพ ผู้ที่สามารถนำกองทัพได้ เวลานี้มีเพียงเยียนอวิ๋นฉวนและพี่สอง”
อาเย่ว์โล่งอก “เมื่อเป็นเช่นนี้ บ่าวก็วางใจ แต่ว่าก็มีความเป็นไปได้ที่นายน้อยใหญ่จะชิงลงมือทำร้ายนายน้อยสองก่อน”
เยียนอวิ๋นเกอยิ้ม พลันเกี่ยวนิ้วให้อาเย่ว์เดินเข้าใกล้
อาเย่ว์เข้าใกล้นาง
นางบีบแก้มของอาเย่ว์ “เจ้าโตมาได้อย่างไรกัน ไร้หัวใจ”
อาเย่ว์รู้สึกไม่เป็นธรรม “คุณหนูมักบอกว่าชื่นชมที่บ่าวไร้หัวใจไม่ใช่หรือ เหตุใดเวลานี้จึงเริ่มรังเกียจกัน”
“สมกับเป็นเจ้าเด็กไร้หัวใจ”
เยียนอวิ๋นเกอปล่อยนาง
ครึ่งเช้า เยียนอวิ๋นเกอได้ปลามาห้าตัว เพียงพอแล้ว
เมื่อจัดการทุกสิ่งเสร็จ นางจึงนั่งรถม้าออกเดินทางกลับเมืองหลวง
ตอนเข้าประตูเมือง นางสามารถรับรู้ได้ถึงความตื่นเต้นกังวลของทหารหน้าประตูเมือง
อาเย่ว์พึมพำ “บ่าวกังวลว่าเมืองหลวงจะเกิดการปะทะขึ้นเสียจริง”
“ยังไม่มีการปะทะในเวลานี้”
เยียนอวิ๋นเกอพูดด้วยรอยยิ้ม “ราชสำนักมีอิทธิพลต่อสถานการณ์แผ่นดิน ทางกลับกัน สถานการณ์ของแผ่นดินก็มีอิทธิพลต่อราชสำนักและฮ่องเต้ เพียงแค่สถานการณ์ในแผ่นดินยังไม่มีแพ้ชนะ เมืองหลวงก็ย่อมไม่เกิดความวุ่นวายขึ้น หากจะเกิดสงครามก็มีแต่จะเกิดนอกพื้นที่เมืองหลวง เมืองหลวงเป็นบรรทัดฐานของทุกคน หากเกิดสงครามในเมืองหลวงขึ้นมา ย่อมหมายความว่าแผ่นดินจะเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่”
“หากวันนี้เกิดการปะทะขึ้นจริง คุณหนูจะทำอย่างไรเจ้าคะ”
เยียนอวิ๋นเกอหัวเราะ “จะทำอย่างไรได้ คนเพียงผู้เดียวไม่อาจต่อต้านสถานการณ์ของแผ่นดินได้ หากถึงเวลานั้น คงต้องหนีเอาตัวรอดเพียงอย่างเดียว”
“หนีกลับแคว้นซ่างกู่หรือ”
เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้า แต่ไม่ตอบ
…
เมื่อกลับถึงจวนท่านหญิง สิ่งที่ทำให้คนประหลาดใจคือเซิ่นซูเหวินก็อยู่ด้วย
ไม่ใช่วันเทศกาล เหตุใดเซิ่นซูเหวินที่ยุ่งกับการศึกษาอ่านตำราจึงวิ่งมายังจวนท่านหญิง
เยียนอวิ๋นเกอสงสัยอย่างมาก
นางแอบถามแม่นมข้างกายท่านแม่ลับหลัง
แม่นมบอกนาง “เหมือนนายน้อยเซิ่นได้รับการชื่นชมจากผู้มีพระคุณ กำลังจะรับราชการ เขามาเพื่อบอกข่าวดีนี้แก่ท่านหญิงโดยเฉพาะ”
“เขาจะรับราชการแล้ว? ผู้ใดชื่นชมเขาเพียงนี้”
“คุณหนูอย่ามองเรื่องนี้ซับซ้อนเกินไปนัก เวลานี้ราชสำนักขาดแคลนขุนนางอย่างมาก เวลานี้ เพียงแค่ยอมยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับราชสำนักก็จะสามารถได้รับการแนะนำให้รับราชการ”
เยียนอวิ๋นเกอกระจ่าง “หากพูดเช่นนี้ คนที่แนะนำพี่เซิ่นเป็นขุนนางเชื้อพระวงศ์?”
“คงจะใช่เจ้าค่ะ”
“เขาจะรับราชการอยู่ในเมืองหลวง หรือไปเป็นขุนนางประจำถิ่น”
“บ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ คุณหนูจะเข้าไปฟังหรือไม่”
เยียนอวิ๋นเกอส่ายหน้า “ข้าไม่เข้าไปแล้ว รบกวนแม่นมบอกท่านแม่ ข้ากลับห้องไปพักผ่อน หากมีเรื่องใด ให้คนมาเรียกข้าก็พอ”
“คุณหนูเหนื่อยมากแล้ว รีบกลับห้องพักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ ทางท่านหญิงมีพวกบ่าวปรนนิบัติอยู่”
…
เซิ่นซูเหวินได้รับการชื่นชมจากผู้มีพระคุณ กำลังจะรับราชการในสำนักทหาร ทำหน้าที่เป็นขุนนางระดับเจ็ดที่รับผิดชอบด้านเสบียงของกองทัพ
ตำแหน่งไม่สูง แต่ดีที่มีอำนาจในมือ
ตำแหน่งนี้ วันทั่วไปอยู่เพียงแค่ในเมืองหลวงก็พอ
แต่เวลานี้ด้านนอกทำสงคราม เขาย่อมต้องติดตามขบวนจัดหาเสบียงออกจากเมืองหลวง
เขามาเข้าพบเซียวฮูหยินหรือท่านหญิงจู้หยาง หนึ่งเพื่อมาบอกข่าวดี สองมาเพื่อบอกลา สุดท้ายมาเพราะเรื่องหมั้นหมาย