ตอนที่ 263 กระอักเลือดจนสลบ
“นางพูดสิ่งใดผิดกันแน่ ถึงขนาดทำให้เสด็จแม่ทรงอนุญาตให้เสด็จพี่สองทรมานนางถึงเพียงนี้ เสด็จแม่ทรงรู้หรือไม่ เมื่อติ้งเถาพูดถึงเสด็จพี่สองก็กลัวจนตัวสั่นเทา นางแทบจะเสียสติเพราะการทรมานของเสด็จพี่สอง! เสด็จแม่จะทรงใจร้ายทนดูติ้งเถาเสียสติจริงหรือ”
เซียวเฉิงอี้ซักถามเสียงดัง
ใช่!
เขาไม่รู้สาเหตุของเรื่องก็จริง
แต่ต้องปฏิบัติต่อคนที่มีสายเลือดเดียวกันอย่างโหดเหี้ยมเพียงนี้เชียวหรือ
สีหน้าของเถาฮองเฮาเย็นชาลง “เจ้าสาม เจ้าเสียกิริยาแล้ว เจ้าอย่าลืมว่าเจ้ากำลังพูดกับผู้ใด”
เซียวเฉิงอี้ทำหน้ารู้สึกผิด เจ็บปวด เสียใจ แต่ก็ไม่เต็มใจเล็กน้อย
เขาลูบหน้า “เสด็จแม่ทรงสั่งสอนได้ถูกต้อง ก่อนหน้านี้กระหม่อมเสียมารยาทแล้ว วาจาไม่เหมาะสมนัก ขอเสด็จแม่โปรดทรงอภัย”
เถาฮองเฮารินชาถ้วยหนึ่ง พลันจิบหนึ่งคำ
นางเงียบสงบอย่างมาก “ไม่มีผู้ใดต้องการทำให้ติ้งเถาเสียสติ นางเป็นบุตรสาวที่ข้าตั้งครรภ์กว่าสิบเดือนก่อนจะให้กำเนิดออกมา เจ้าคิดว่าข้าไม่สงสารนางหรือ ข้าสงสารนางกว่าผู้ใด แต่ข้าแยกแยะหนักเบาได้ ความขมขื่นในเวลานี้ก็เพื่อความหวานในภายภาคหน้า
มีพี่สองของเจ้าสั่งสอนนางย่อมดีกว่าให้เสด็จพ่อของเจ้าสั่งสอนนาง พี่สองของเจ้าแค่ทำให้นางหวาดกลัว แต่เสด็จพ่อของเจ้าอาจเอาชีวิตของนาง หากเป็นเจ้า เจ้าจะเลือกอย่างไร”
เซียวเฉิงอี้ยิ้มอย่างขมขื่น “กระหม่อมอยากรู้ว่าติ้งเถาพูดเรื่องที่ไม่ควรพูดเรื่องใดกันแน่”
เถาฮองเฮาถลึงตามองเขา “หากเจ้ารู้กาลเทศะ เจ้าก็ไม่ควรถาม”
“เสด็จแม่และเสด็จพี่สองกำลังวางแผนเรื่องใดกันอยู่”
“เจ้าว่ายังจะมีเรื่องใดได้อีก ความพยายามทั้งหมดล้วนทำเพื่อเจ้า”
เพล้ง!
เถาฮองเฮาเขวี้ยงถ้วยชา
นางไม่ชื่นชอบการถูกผู้อื่นเค้นถาม
นอกจากนี้ผู้ที่เค้นถามนางยังเป็นบุตรชายที่นางรักที่สุด
นางขุ่นเคือง อยากจะชี้ไปที่ประตูตำหนัก พร้อมทั้งบอกให้บุตรชายอันเป็นที่รัก ‘ออกไป!’
เซียวเฉิงอี้ก้มหน้า มองเศษถ้วยชาที่แตกเต็มพื้น เขาหัวเราะเยาะตนเอง
เวลานี้ เขาใจเย็นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ในเมื่อเสด็จแม่ตรัสว่าทุกสิ่งล้วนทำเพื่อกระหม่อม เช่นนั้นกระหม่อมย่อมมีเหตุผลที่จะรู้สาเหตุของเรื่องใช่หรือไม่”
“เหตุใดเจ้าจึงดื้อรั้นเพียงนี้ ไม่บอกเจ้าย่อมเป็นเพราะมันดีต่อเจ้า”
“สุดท้ายแล้ว มันดีต่อกระหม่อมหรือไม่ มีเพียงกระหม่อมเท่านั้นที่ตัดสิน ขอเสด็จแม่โปรดทรงบอกความจริงกับกระหม่อม ติ้งเถาพูดเรื่องที่ไม่สมควรพูดเรื่องใด พูดกับผู้ใด”
เถาฮองเฮาจ้องมองเขาเขม็ง ดวงตาเต็มไปด้วยไฟโกรธ
เซียวเฉิงอี้ไม่เกรงกลัว ความคิดของเขาแน่วแน่
โครม!
เถาฮองเฮาปัดโต๊ะเล็กล้ม เหยือกชากระเด็นลงพื้น น้ำชากระเซ็นไปทั่ว
เสียงภายในตำหนักทำให้นางในต่างตื่นตระหนก
เมื่อเห็นเหมาเส้าเจี้ยนโบกมือไม่ให้เข้ามาในตำหนักใหญ่ บรรดานางในจึงโล่งใจ
เวลานี้เข้าไปปรนนิบัติในตำหนักใหญ่ย่อมเปรียบเสมือนหาที่ตาย
ภายในตำหนักใหญ่มีเหมาเส้าเจี้ยนปรนนิบัติอยู่เพียงผู้เดียว
“ฮองเฮาทรงระงับความโกรธ! ทรงระงับความโกรธ! องค์ชายสาม พระองค์ไม่สมควรยิ่งนัก ฮองเฮาทรงกังวลเรื่องของพระองค์อย่างมาก เหนื่อยจนแทบล้มป่วยลง หมอหลวงกำชับเอาไว้ ฮองเฮาต้องพักรักษา ไม่อาจเกิดอารมณ์โกรธได้ องค์ชายสาม เหตุใดพระองค์จึงไม่คล้อยตามฮองเฮาเสียบ้าง เหตุใดจึงต้องทำให้ฮองเฮาทรงโกรธ”
ภายในดวงตาของเซียวเฉิงอี้ฉายแววรู้สึกผิดและกังวล
เขาอ้าปากอยากจะยอมถอย
แต่ไม่คิดว่าเถาฮองเฮาจะชิงพูดขึ้นมาก่อน “ในเมื่อเจ้าอยากรู้ความจริง ข้าก็จะบอกความจริงกับเจ้า เถาชีไม่ได้ตายจากโรคร้าย หากแต่ตายจากแผนการที่เตรียมการไว้อย่างดี เรื่องนี้เจ้าคิดว่าติ้งเถาบอกกับผู้ใด นางบอกพระราชบุตรเขยหลิวเป่าผิง นางเป็นคนโง่ที่ชอบพูดพล่อย เจ้าว่าควรลงโทษนางหรือไม่”
สีหน้าของเซียวเฉิงอี้ซีดเผือด
ส่วนลึกในใจของเขารู้เสมอว่าการตายของเถาชีไม่ใช่เรื่องธรรมดา
แต่เขากลับยอมแพ้!
ไม่เคยและไม่กล้าที่จะตามหาความจริง
แสร้งทำเป็นเหมือนเถาชีตายจากโรคร้ายที่รุนแรงเหมือนที่ประกาศต่อด้านนอก
อีกทั้งยังหลอกตนเอง พยายามเกลี้ยกล่อมให้ตนเองลืมเรื่องนี้ คิดว่าไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน
ดังนั้น เขาจึงสามารถเผชิญหน้ากับคนตระกูลเถาอย่างเปิดเผย ไร้ซึ่งความรู้สึกผิด
เรื่องนี้ผ่านไปหลายปีแล้ว เขาไม่คิดว่าจะได้ยินชื่อของเถาชีอีกครั้งอย่างกะทันหัน
ความทรงจำที่ถูกผนึกเอาไว้ รวมทั้งความรู้สึกผิดล้วนหลั่งไหลออกมาจากก้นบึ้งหัวใจ
เขากลัว!
การหลอกลวงตนเองสุดท้ายกลายเป็นเรื่องน่าขัน
สีหน้าของเขาซีดเผือด เขาพยายามที่จะถอย
ความจริงไม่สำคัญแล้ว
เขาอยากจะหนีไปเท่านั้น เขาไม่อยากเผชิญหน้ากับความจริงอันโหดร้าย
เถาฮองเฮาเห็นถึงความไม่มั่นใจของเขา นางยิ้มเสียดสีด้วยเจตนาร้าย
นางพยายามบีบต้อนเขาให้จนมุม ไร้หนทางจะถอย
อยากหนี?
ฝันไปเถิด!
“เจ้าอยากรู้ความจริง ข้าก็บอกความจริงแก่เจ้าแล้ว เวลานี้เจ้าบอกข้า รสชาติของการรับรู้ความจริงเป็นอย่างไร ข้ากับพี่สองทำทุกสิ่งเพื่อเจ้าใช่หรือไม่ เจ้าบอกว่ามีเพียงเจ้าที่ตัดสินว่ามันจะดีหรือไม่ดี เวลานี้เจ้าบอกข้า ติ้งเถาไม่รู้จักยับยั้งปากของตนเอง ข้าควรลงโทษนางหรือไม่ ทุกสิ่งที่ทำเพื่อเจ้าหรือไม่”
ภายในใจของเซียวเฉิงอี้เต็มไปด้วความเศร้าโศก
เขากำลังเสียใจแทนเถาชี แต่ก็กำลังหลั่งน้ำตาให้ตนเอง
เขารวบรวมความกล้า “กระหม่อมมีเรื่องหนึ่งที่ไม่กระจ่าง เหตุใดเถาชีจึงจำเป็นต้องตาย สามารถถอนหมั้น สามารถ…อย่างไรก็ตามยังมีวิธีอีกมากมาย”
เถาฮองเฮาหัวเราะออกมา “เพราะมันเป็นวิธีที่ประหยัดเวลาที่สุด ทั้งถอนหมั้นได้ ทั้งไม่ทำให้ตระกูลเถาขุ่นเคือง ตอนนั้นข้าก็ต้องทำใจอย่างมากในการตัดสินใจ เถาชีดีมาก ดีมากๆ ข้าพึงพอใจต่อนางมาก เสียดายที่นางเกิดในตระกูลเถา อีกทั้งเวลานั้นตระกูลเถาก็กำลังสั่นคลอน เฮ้อ…”
เสียงถอนหายใจหนึ่งแสดงออกถึงความเศร้าที่ไร้ขีดจำกัด
เซียวเฉิงอี้หัวเราะเสียงเย็น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเสียดสี
เขาก้มหน้า ในที่สุดก็พูดประโยคหนึ่งที่ไม่เคยกล้าพูดออกมา “เสด็จแม่ไม่ควรฆ่าคนเพื่อกระหม่อม อีกทั้งคนที่พระองค์ฆ่ายังเป็นว่าที่ภรรยาของกระหม่อม”
“เจ้าหุบปาก!”
เถาฮองเฮาทำหน้าจริงจัง “เรื่องมาจนถึงบัดนี้แล้ว เจ้ากลับมาตำหนิข้า เจ้าอย่าลืม หากเถาชีไม่ตาย เจ้าก็ต้องแต่งงานกับนาง มิฉะนั้นตระกูลเถาก็จะกลายเป็นศัตรูกับข้า อนาคตของเจ้ายังจะเอาอีกหรือไม่”
เซียวเฉิงอี้พูดไม่ออก
เถาฮองเฮาส่งเสียงไม่พอใจ “เวลานี้เจ้ายังยืนกรานคิดว่าข้ากับพี่สองของเจ้าทำผิดที่สั่งสอนติ้งเถาหรือไม่”
เซียวเฉิงอี้กลับลุกขึ้นโน้มตัวถวายบังคม
“ขอบพระทัยเสด็จแม่ที่ทรงทำแทนกระหม่อมมาตลอดหลายปี กระหม่อมซาบซึ้งอย่างมาก ต่อจากนี้หวังว่าก่อนที่เสด็จแม่จะทรงตัดสินพระทัยเรื่องใด สามารถหารือกับกระหม่อมก่อน หากแต่ไม่ใช่หารือกับเสด็จพี่สอง ตัดสินใจแทนกระหม่อมลับหลัง กระหม่อมไม่ใช่เด็กสามขวบ กระหม่อมมีความคิดของตนเอง กระหม่อมสามารถตัดสินใจเองได้ ไม่จำเป็นต้องลำบากเสด็จพี่สองเหน็ดเหนื่อยแทนกระหม่อม”
“เสด็จพี่สองทำเพื่อเจ้า!”
“กระหม่อมรู้! แต่กระหม่อมไม่ใช่หุ่นเชิด เสด็จแม่ทรงให้โอกาสกระหม่อมได้พิสูจน์ตนเองได้หรือไม่”
เถาฮองเฮาจ้องมองเขา
เขาทำหน้าเปิดเผย
เถาฮองเฮาหัวเราะขึ้นมา “ในเมื่อเจ้ายืนกราน ข้าจะตามใจเจ้า เรื่องติ้งเถาสิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้”
“ขอบพระทัยเสด็จแม่!”
เซียวเฉิงอี้โน้มตัว ถวายบังคมอีกครั้ง
เขารู้สึกอึดอัดอยู่ภายในใจ เตรียมขอทูลลา
แต่ในเวลานี้ มีขุนนางฝ่ายในเข้ามาทูลรายงานอย่างรีบร้อน
“ฮองเฮา มีเรื่องไม่ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ! ฝ่าบาททรงกระอักเลือดสลบไปแล้วเจ้าค่ะ!”
“อันใดนะ”
เถาฮองเฮาลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้ากังวล “เกิดเรื่องใดขึ้น เหตุใดฝ่าบาทจึงกระอักเลือดจนสลบ หรือว่ามีขุนนางราชสำนักบังอาจตำหนิฝ่าบาทอีก”
“ฮองเฮาทรงเข้าพระทัยผิดแล้ว ไม่ใช่เพราะขุนนางราชสำนัก แต่เพราะ เพราะ…”
“ตกลงเพราะสาเหตุใด พูดให้รู้เรื่อง มิฉะนั้นก็ออกไปเสีย”
“ทูลฮองเฮา ฝ่าบาททรงกริ้วหนักเพราะเรื่องสงครามทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จึงได้กระอักเลือดจนสลบไปพ่ะย่ะค่ะ”
“ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีสงครามใด โจรกบฏเพียงไม่กี่คนจะสู้แม่ทัพท้องถิ่นได้หรือ”
“สถานการณ์โดยละเอียด กระหม่อมก็ไม่รู้พ่ะย่ะค่ะ ฮองเฮาทรงไปดูฝ่าบาทที่ตำหนักซิงชิ่งเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ขุนนางฝ่ายในตักเตือนได้ถูก นางต้องไปเข้าเฝ้าที่ตำหนักซิงชิ่ง
ใช้อำนาจของฮองเฮาควบคุมคนที่กำลังจะเคลื่อนไหวเอาไว้
“ข้าไปด้วย!”
เซียวเฉิงอี้ไม่คิดเรื่องออกจากวังแล้ว
แม่ลูกสองคนเดินทางมายังตำหนักซิงชิ่งอย่างเร่งรีบ
ซุนปังเหนียนออกคำสั่งให้ปิดประตูตำหนักในเวลาแรก
แม้แต่เถาฮองเฮาแม่ลูกก็ถูกรั้งเอาไว้นอกประตูตำหนักซิงชิ่ง
เมื่อได้รับอนุญาตจากซุนปังเหนียน พวกเขาแม่ลูกจึงได้เข้าไปในตำหนักซิงชิ่ง
เถาฮองเฮาโกรธจัด!
นางเป็นถึงฮองเฮา แต่กลับถูกคนรั้งเอาไว้นอกประตูตำหนัก
อีกทั้งยังต้องใช้ขันทีพยักหน้า นางจึงเข้ามาได้
ไร้เหตุผลสิ้นดี
แต่ว่านางไม่ได้อาละวาด
นางข่มความไม่พอใจที่มีต่อซุนปังเหนียน ถามด้วยความเป็นห่วง “เวลานี้พระอาการของฝ่าบาทเป็นอย่างไร หมอหลวงว่าอย่างไร”
“ทูลฮองเฮา หมอหลวงกำลังตรวจรักษาให้ฝ่าบาท ยังไม่ทราบผลพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าบอกว่า เดิมทีฝ่าบาทยังทรงดีอยู่ เหตุใดจึงกระอักเลือดล้มลงอย่างกะทันหัน เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่”
สีหน้าของซุนปังเหนียนลังเลเล็กน้อย
เถาฮองเฮาตวาด “เวลานี้แล้ว เจ้ายังจะปิดบังข้าอีกหรือ หากฝ่าบาทไม่ทรงฟื้นขึ้นมา ขุนนางราชสำนักบุกเข้ามาในวังหลวง เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าตัวคนเดียว เจ้าคิดว่าเจ้าจะต้านทานไฟโกรธของขุนนางราชสำนักได้หรือ ระวังพวกเขาฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ ! เมื่อถึงเวลานั้น เจ้ายังคงต้องการให้ข้าออกหน้าควบคุมบรรดาขุนนาง”
ซุนปังเหนียนกัดฟัน “ฮองเฮาเชิญเสด็จมาทางนี้พ่ะย่ะค่ะ!”
เขาพาฮองเฮามายังตำหนักซือเจิ้ง พลันหยิบฎีกาเล่มหนึ่งออกมา
บนฎีกาเขียนว่า ราชวงศ์ซีหยงอาศัยช่วงที่ทหารชายแดนเคลื่อนย้ายกองกำลังสยบโจรกบฏ การเฝ้าระวังทางชายแดนอ่อนแอ ส่งกองทัพมาบุกรุกชายแดน
ทหารซีหยงโหดเหี้ยม วางเพลิงปล้นฆ่า กระทำการชั่วร้าย
บุกลงใต้ติดต่อกันห้าเมือง ฆ่าคนไปทั่ว มีผู้บาดเจ็บและตายไม่น้อยกว่าแสนคน
ทรัพย์สินที่เสียหายยิ่งนับไม่ถ้วน
ผู้ลี้ภัยต่างหนีไปทางใต้ มุ่งหน้ามายังทิศทางของเมืองหลวง
ด้านบนยังเขียนว่า ปีที่แล้วเกิดภัยแล้ง ตั้งแต่ใต้จรดเหนือ ต้าเว่ยเสียหายสาหัส แม้แต่ที่ราบก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง
ซีหยงดำรงชีวิตด้วยการเลี้ยงสัตว์ ที่ราบแห้งแล้งตลอดทั้งปี ต้นหญ้าแห้งเหี่ยว สัตว์ที่ตายจากอากาศหนาวและหิวมีร้อยละเจ็ดแปดสิบ
ซีหยงตั้งแต่บนจรดล่าง ตั้งแต่ราชวงศ์จรดสามัญชนล้วนเสียหายหนัก
ฤดูใบไม้ผลิปีนี้ สถานการณ์ที่ราบไม่ได้รับการแก้ไข
ราชวงศ์ซีหยงแบกรับแรงกดดันจากเมืองต่างๆ กำลังจะถูกบีบบังคับให้ลงจากบัลลังก์ หัวกำลังจะหล่นลงพื้น
เพื่อการดำรงชีวิต เพื่อการอยู่รอด ราชวงศ์ซีหยงตัดสินใจออกกองกำลังบุกรุกทางใต้
พวกเขานำทัพทหารที่แข็งแกร่ง อาศัยช่วงที่การเฝ้าระวังของชายแดนต้าเว่ยขาดแคลน รุกล้ำเข้ามาตลอดทาง
กองทัพชายแดนรับมือไม่ทัน ถูกจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว
กองทัพซีหยงบุกฆ่าคน ปล้นชิง เผาเมืองไล่ลงมาทางใต้…
สามัญชนต้าเว่ยได้รับบาดเจ็บสาหัส
เมื่อทหารชายแดนจากหลากหลายทิศทางทราบข่าว ทุกขบวนต่างล่าถอย ไม่กล้าโจมตีทหารซีหยงกลับ
ดังนั้น โจรกบฏทางตะวันตกเฉียงเหนือที่กำลังจะถูกสยบก็ฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง หนีไปจนมีโอกาสขึ้นมาเป็นใหญ่
เหมือนดั่งคำโบราณที่ว่าหายนะไม่ได้มาเดี่ยว!