ตอนที่ 264 เก้าพันปี
มิน่าฮ่องเต้ถึงทรงกระอักเลือดจนสลบไป
เถาฮองเฮาอ่านเนื้อหาในฎีกาลับทั้งหมดเสร็จสิ้นก็กระจ่างใจ
สถานการณ์วุ่นวายเลวร้ายเพียงนี้ คลื่นลมหนึ่งยังไม่สงบ อีกคลื่นลมก็โหมกระหน่ำเข้ามา เหตุใดจึงมีแต่ข่าวร้าย
ฮ่องเต้ไม่ได้ทรงกริ้วจนอกแตกตายก็ถือว่าดวงแข็งมากแล้ว
นางมอบฎีกาคืนให้ซุนปังเหนียน พลันถาม “เรื่องนี้ยังมีผู้ใดรู้บ้าง”
ซุนปังเหนียนส่ายหน้าเล็กน้อย “เวลานี้ข่าวยังไม่แพร่กระจายออกไป แต่เกรงว่าตระกูลขุนนางที่มีช่องทางข่าวสารที่ว่องไวจะได้รับข่าวแล้ว เวลาเพียงไม่กี่วัน ทั้งเมืองหลวงก็จะรู้เรื่องวิกฤตสงครามทางตะวันตกเฉียงเหนือ เมื่อถึงเวลานั้น สถานการณ์ของเมืองหลวงเกรงว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอีก”
เถาฮองเฮาส่งเสียงไม่พอใจ “อย่าว่าแต่สถานการณ์ในเมืองหลวง สถานการณ์ทั่วแผ่นดินก็ย่อมจะเปลี่ยนแปลงตามการบุกรุกลงใต้ของซีหยง เตรียมตัวไว้เถิด ชีวิตที่สุขสงบมีไม่มากแล้ว”
พูดจบ นางก็ลุกขึ้นเดินกลับตำหนักบรรทม
เวลานี้พระวรกายของฮ่องเต้สำคัญที่สุด
สงครามทางตะวันตกเฉียงเหนืออยู่ห่างไกลกว่าพันลี้ เถาฮองเฮาไม่จำเป็นต้องกังวลในเวลานี้
ราชสำนักฝึกฝนกองทัพมาหลายปีไม่ได้เลี้ยงเสียเปล่า
ซีหยงบุกรุกชายแดน ทหารชายแดนสมควรรับผิดชอบ พวกเขาควรเป็นแนวหน้าของกองทัพในการต่อสู้กับศัตรูเพื่อตอบแทนราชสำนัก
เมื่อมาถึงตำหนักบรรทม หมอหลวงก็ตรวจพระอาการเสร็จสิ้นแล้ว
พวกเขาฝังเข็มและใช้ยาให้ฮ่องเต้ คาดการณ์ว่าภายในหนึ่งชั่วยาม ฮ่องเต้ก็สามารถทรงฟื้นขึ้นมา
เถาฮองเฮาถามอย่างจริงจัง: “พระวรกายของฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง”
หัวหน้าสำนักหมอหลวงครุ่นคิดพลันพูด “อย่างไรก็ตามฝ่าบาทก็ทรงมีอายุมากแล้ว ยังคงต้องรักษาพระวรกายให้ดี อย่าได้ทรงมีอารมณ์ขึ้นลงมากนัก”
“สงครามอันตราย ฝ่าบาททรงมีอารมณ์ขึ้นลงอย่างมาก หากพระองค์ทรงโกรธหรือดีใจเป็นประจำจะเป็นอย่างไร”
หัวหน้าหมอหลวงสำหนักหมอหลวงเหงื่อตก “นี่ๆ …”
เถาฮองเฮาจ้องมองเขา พูดทีละคำอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เจ้าพูดมา ข้าไม่ลงโทษเจ้า”
หัวหน้าสำนักหมอหลวงโน้มตัว พูดเสียงเบา “หากฝ่าบาทไม่สามารถทรงควบคุมอารมณ์ได้ เกิดความโกรธขึ้นเป็นประจำ เกรงว่าจะพิการหรืออันตรายถึงชีวิต”
เถาฮองเฮาหรี่ลงตาเล็กน้อย “นานเพียงใด”
หัวหน้าหมอหลวงได้ยินประโยคนี้ ทันใดนั้นก็ตกใจอย่างมาก
เขาหวาดกลัวจนแทบยืนไม่อยู่
พยายามประคองร่างกาย พูดอย่างกล้าๆ กลัวๆ “กระหม่อมไม่แน่ใจ!”
เถาฮองเฮายิ้มอย่างมีนัย “ในเมื่อไม่แน่ใจ ก็ไปทำให้แน่ใจเสีย เจ้าจำไว้ ความอดทนของข้ามีจำกัด ให้เวลาเจ้าเพียงครึ่งเดือน หลังจากครึ่งเดือนแล้ว ข้าต้องการคำตอบที่แน่นอน”
“พ่ะย่ะค่ะๆ…”
หัวหน้าหมอหลวงกล้าๆ กลัวๆ ถือกล่องยาจากไปอย่างรวดเร็ว
แย่แล้ว!
ตายแล้ว ตายแล้ว!
ตายแน่!
หัวหน้าหมอหลวงกำลังเศร้าโศกอย่างมาก เขาคาดการณ์ถึงเหตุการณ์สุราพิษลงท้องเอาไว้ได้แล้ว
เฮ้อ!
เมื่อออกจากวังหลวงกลับไปถึงจวน เขาก็เตรียมสั่งเสีย
อย่างไรก็ต้องเหลือทางรอดเอาไว้ให้บุตรหลาน
…
เถาฮองเฮาเฝ้าอยู่ข้างเตียงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้ถามเสียงเบา “เสด็จแม่ พวกเราจะไม่ทำสิ่งใด เพียงแค่เฝ้าอยู่ตรงนี้หรือ”
เถาฮองเฮายิ้มเย็น “ข้าเป็นเพียงสตรีจะทำสิ่งใดได้ เฮ้อ…เจ้าให้คนไปเชิญขุนนางเชื้อพระวงศ์ที่สำคัญมา อย่าลืมเรียกหัวหน้าสำนักเส้าฝู่และวัดจงเจิ้งด้วย”
“ข้าน้อมรับคำสั่ง!”
เซียวเฉิงอี้ไปจัดการ
เถาฮองเฮานั่งอยู่ริมหน้าต่างอย่างเงียบๆ เหมือนรูปปั้น
ซุนปังเหนียนถอนหายใจ “อย่างน้อยปีนี้ก็มีฝนตกลงมาหลายครั้ง บรรเทาภัยแล้งได้บ้างแล้ว เดิมทีคิดว่าชีวิตในปีนี้จะดีกว่าปีที่แล้ว แต่ไม่คิดว่าปีนี้จะยากลำบากกว่าปีที่แล้ว! ฝ่าบาททรงเหน็ดเหนื่อย เหตุใดโจรเหล่านั้นจึงไม่ยอมหยุดเสียที”
เถาฮองเฮาหันกลับมามองเขา “ซุนกงกงพอเสียเถิด เจ้าพูดให้ข้าฟังนั้นไร้ประโยชน์ รอฝ่าบาททรงฟื้นขึ้นมา เจ้าค่อยพูดต่อหน้าฝ่าบาทอีกรอบ อย่างน้อยก็ทำให้ฝ่าบาททรงรู้ว่าเจ้าจงรักภักดีเพียงใด”
ดวงตาของซุนปังเหนียนคมเหมือนเยี่ยว ในสายตาของเขา ไม่ว่าผู้ใดก็เปรียบเสมือนเหยื่อ
มุมปากของเขายกขึ้น พลันเผยสีหน้าเสียดสี “ถึงเรื่องที่กระหม่อมพูดก่อนหน้านี้จะพูดให้ฮองเฮาจริง แต่ยุคสมัยนี้ยากลำบาก ฝ่าบาททรงเหน็ดเหนื่อยเป็นพิเศษ ขอฮองเฮาโปรดทรงเห็นใจฝ่าบาท อย่าได้ก่อเรื่องในเวลานี้”
เถาฮองเฮาจ้องมองด้วยความโกรธ พลันส่งเสียงไม่พอใจ “ซุนปังเหนียน เจ้าหมายความว่าอย่างไร ผู้ใดให้ความกล้าแก่เจ้า บังอาจพูดกับข้าเช่นนี้”
ซุนปังเหนียนหัวเราะเสียงเย็น “ความกล้าของกระหม่อมย่อมมาจากฝ่าบาท ก่อนหน้านี้ ฮองเฮาทรงรั้งหัวหน้าสำนักหมอหลวงเอาไว้พึมพำเรื่องใดกัน ถึงแม้กระหม่อมจะไม่ได้ยินเนื้อหาที่ครบถ้วน แต่อย่างน้อยกระหม่อมก็อยู่ในวังหลวงมาหลายสิบปี กระหม่อมก็พอจะเดาได้บ้าง ฮองเฮากำลังทรงสืบพระอาการของฝ่าบาทจากหัวหน้าสำนักหมอหลวงใช่หรือไม่ พระองค์ทรงต้องการมั่นใจว่าฝ่าบาทจะทรงมีชีวิตอยู่ได้อีกนานเพียงใด กระหม่อมขอตักเตือนพระองค์ อย่าได้ทรงคิดเรื่องไม่เป็นเรื่อง ระวังความพยายามของพระองค์จะเสียเปล่า”
“เจ้าบังอาจข่มขู่ข้า เจ้าหาที่ตาย!”
เถาฮองเฮาโกรธจัด!
นางไม่โปรดซุนปังเหนียนมานานแล้ว ขันทีผู้นี้นอกจากไม่รู้ที่ต่ำที่สูงแล้ว เวลานี้ยังกล้าข่มขู่นาง
ไม่ว่าอย่างไรนางก็อดทนต่อไปไม่ได้
ทันใดนั้น เถาฮองเฮาเกิดความคิดที่จะฆ่าซุนปังเหนียน
ไม่คาดว่าซุนปังเหนียนมีที่พึ่งอยู่ก่อนแล้ว
เขาหยิบป้ายคำสั่งหนึ่งออกมาจากตัว ด้านบนเขียนว่า “เหมือนฮ่องเต้เสด็จด้วยตนเอง”
เถาฮองเฮาเผยสีหน้าตกใจและเหลือเชื่อ “ฝ่าบาททรงมอบป้ายโอรสสวรรค์ให้แก่เจ้า? เป็นไปไม่ได้! เจ้าขโมยมันมาอย่างแน่นอน”
“ฮองเฮาอย่าได้ทรงพูดจาเหลวไหล! ป้ายโอรสสวรรค์แผ่นนี้ ฝ่าบาททรงมอบให้กระหม่อมกับมือ อีกทั้งยังทรงกำชับกระหม่อม หากเกิดสถานการณ์คับขันขึ้น กระหม่อมมีสิทธิสั่งปิดพระราชวัง เฝ้าระวังเมืองหลวงอย่างเข้มงวด นอกจากนี้ยังสามารถออกคำสั่งให้กองทัพเหนือคุ้มกันเมืองหลวง ฝ่าบาททรงสลบ ราชสำนักยากลำบาก สถานการณ์แผ่นดินล่มสลาย เวลานี้ฮองเฮาอย่าได้ทรงมีเจตนาไม่ดีเสียดีกว่า มิฉะนั้นอย่าหาว่ากระหม่อมใจร้าย”
เถาฮองเฮาโกรธจนเลือดสูบฉีด
ฮ่องเต้มอบป้ายอำนาจแห่งโอรสสวรรค์ให้แก่ขันที อีกทั้งยังปิดบังนางสนิท
ซึ่งหมายความว่าหากเกิดสถานการณ์คับขัน นางผู้เป็นฮองเฮาทำได้เพียงถูกขังไว้ในตำหนักเว่ยยาง แม้แต่ประตูตำหนักยังออกไปไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเคลื่อนไหวอย่างลับๆ
เมื่อถึงเวลานั้น ชีวิตของนางก็ถูกกอบกุมในมือของซุนปังเหนียน
เถาฮองเฮาที่มีความคิดของตนเองจะยอมมอบชีวิตไว้ในมือของขันทีได้อย่างไร
แต่นางกลับอดทนเอาไว้
นางถามอย่างใจเย็น “ฝ่าบาททรงมอบป้ายโอรสสวรรค์นี้ให้เจ้าตั้งแต่เมื่อใด”
ซุนปังเหนียนเก็บแผ่นป้ายขึ้น โน้มตัวเล็กน้อย
เขาพูด “ปลายเดือนสิบสองเมื่อปีที่แล้ว ฝ่าบาททรงมอบป้ายโอรสสวรรค์นี้ให้กระหม่อมเองกับมือ อีกทั้งยังทรงกำชับกระหม่อมมากมาย”
เถาฮองเฮายิ้มเย็น “มิน่าเจ้าถึงบังอาจ แม้แต่ข้าก็ยังกล้าข่มขู่ สมกับที่เป็นสุนัขอาศัยบารมีนาย”
ซุนปังเหนียนมีสีหน้าเรียบเฉย “กระหม่อมเดิมทีก็เป็นสุนัขข้างกายฝ่าบาทอยู่แล้ว สุนัขอาศัยบารมีนายย่อมเป็นเรื่องธรรมดา ฮองเฮาทรงไม่พอพระทัยต่อกระหม่อม กระหม่อมเข้าใจได้ เพียงแต่ฮองเฮาก็ควรทรงเข้าพระทัยความกังวลของฝ่าบาท ฝ่าบาททรงทำเพื่อแผ่นดินต้าเว้ย แต่ฮองเฮากลับทรงเห็นแก่ตัว ไม่อาจไม่ป้องกันได้”
“เจ้าพูดเหลวไหล! บนโลกนี้ผู้ใดไม่มีความเห็นแก่ตัว เจ้ากล้าบอกว่าความเห็นแก่ตัวของข้ามากกว่าเจ้า ข้าทำเพื่อสิ่งใด ไม่ใช่เพื่อแผ่นดินต้าเว้ยหรือ ข้าจะทนมองแผ่นดินต้าเว้ยถูกคนชั่วช้าเหยียบย่ำได้อย่างนั้นหรือ ซุนปังเหนียน เจ้าเป็นสุนัขที่อาศัยบารมีนาย รังแกกันเกินไปแล้ว ข้าไม่ถือสาเจ้า แต่เจ้าอย่าคิดที่จะใส่ร้ายข้า ทุกสิ่งที่ข้าทำ ไม่ผิดต่อฟ้าดิน ไม้ผิดต่อบรรพบุรุษของตระกูลเซียว!”
เถาฮองเฮาสาบานต่อฟ้าด้วยสีหน้าตื่นเต้นยากเกินควบคุม
ซุนปังเหนียนมองอย่างเย็นชา “หวังว่าการกระทำและวาจาของฮองเฮาจะเหมือนกัน พระองค์จะทรงพูดได้ทำได้ หากมีคนเห็นแก่ตัวมากเกินไป ทำลายแผนการของฝ่าบาท ไม่ว่าผู้นั้นจะมีฐานะอย่างไร กระหม่อมย่อมไม่เกรงใจ องครักษ์จินอู่เตรียมรอรับคำสั่งทุกเวลา เพียงแค่คำสั่งออกมา พวกเขาก็พร้อมจะสังหารคน”
“ซุนปังเหนียน เจ้าเสียสติไปแล้ว! เจ้าคิดจะทำสิ่งใด”
เถาฮองเฮาซักถาม
“เจ้าเป็นแค่ขันที หรือเจ้าคิดจะควบคุมราชสำนัก เจ้าอยากเป็นเก้าพันปี?”
ซุนปังเหนียนก้มหน้าพลันหัวเราะออกมา “ผู้ที่อยากเป็นเก้าพันปี เกรงว่าจะเป็นพระองค์เสียมากกว่า”
“พูดจาเหลวไหล! ข้าเป็นฮองเฮา เกีนรติยศและศักดิศรีทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ข้าควรได้ ส่วนเจ้าเป็นเพียงขันที บังอาจทำเกินหน้าที่ ควบคุมราชสำนัก เจ้ากำลังหาที่ตาย”
ซุนปังเหนียนทำหน้าจริงจัง “ฮองเฮาผิดแล้ว! ทุกสิ่งที่กระหม่อมทำล้วนปฏิบัติตามรับสั่งของฝ่าบาท ถึงแม้ภายหลังฝ่าบาทจะทรงประหารกระหม่อม กระหม่อมก็ไม่มีทางก้าวถอยหลังแม้แต่ก้าวเดียว กระหม่อมย่อมจะปฏิบัติภารกิจที่ฝ่าบาททรงมอบหมายให้อย่างสมบูรณ์”
เวลานี้ เถาฮองเฮาหงุดหงิดอย่างมาก
เวลานี้นางอยากฆ่าขันทีอย่างซุนปังเหนียนอย่างมาก ช่างน่ารำคาญเสียจริง
แต่ว่าเวลานี้นางยังกำจัดอีกฝ่ายไม่ได้
ตำหนักซิงชิ่งเต็มไปด้วยคนของซุนปังเหนียน
เขาเพียงแค่ออกคำสั่ง ฮองเฮาอย่างนางก็มีโอกาสตายคาที่
เวลานี้ต้องอดทนเอาไว้
ซุนปังเหนียนไม่ได้เหิมเกริมขึ้นเพราะการอดทนของเถาฮองเฮา
เพียงแค่เถาฮองเฮาอยู่อย่างสงบ เขาก็จะรักษากฎระเบียบ เคารพอีกฝ่าย
เมื่อเฝ้าอยู่ราวครึ่งชั่วยาม ฮ่องเต้หย่งไท่ก็ทรงฟื้นขึ้นจากพระอาการสลบ
เถาฮองเฮาถามด้วยความเป็นห่วง “ในที่สุดฝ่าบาทก็ทรงฟื้นแล้ว! หมอหลวงบอกว่าฝ่าบาทจะทรงฟื้นขึ้นภายในหนึ่งชั่วยาม เมื่อเห็นเวลาใกล้จะผ่านไป หม่อมฉันก็กังวลอย่างมาก เวลานี้ฝ่าบาททรงรู้สึกอย่างไรบ้าง หมอหลวง! รีบเชิญหมอหลวงมาตรวจพระอาการให้ฝ่าบาท”
ฮ่องเต้หย่งไท่อ่อนแออย่างมาก เขาไม่ได้สนใจเถาฮองเฮา หากแต่มองไปทางซุนปังเหนียนเป็นเวลาแรก เขาถามอย่างอ่อนเพลีย “เกิดเรื่องใดขึ้น ข้าสลบไปนานเพียงใด”
ซุนปังเหนียนโน้มตัวทูลตอบ “ทูลฝ่าบาท ฝ่าบาททรงสลบรายหนึ่งชั่วยามครึ่ง เวลานี้ด้านนอกยังสงบนิ่ง ไม่มีผู้ใดก่อเรื่อง”
“พยุงข้าขึ้นมา!”
“ฝ่าบาทจะทรงบรรทมอีกหน่อยหรือไม่” เถาฮองเฮาเป็นห่วงอย่างมาก
ฮ่องเต้หย่งไท่ส่ายหน้า “ข้านอนมานานมากแล้ว ซุนปังเหนียน ไปเชิญขุนนางเชื้อพระวงศ์ แม่ทัพกองทัพเหนือมาให้หมด! ข้าจะหารือเรื่องสำคัญ!”
“กระหม่อมน้อมรับพระราชโองการ!”
ซุนปังเหนียนน้อมรับพระราชโองการจากไป
เถาฮองเฮาเฝ้าอยู่ข้างเตียง พลันถามเสียงเบา “ฝ่าบาทจะทรงเรียกขุนนางตระกูลใหญ่เข้าวังหรือไม่ เวลานี้…”
“หุบปาก!”
นางยังพูดไม่ทันจบ ฮ่องเต้หย่งไท่ก็ตวาดออกมา
นางเผยสีหน้าเก้อ
ฮ่องเต้หย่งไท่ไม่อยากเห็นหน้านางอย่างเห็นได้ชัด “เจ้าออกไป! ข้าต้องการความสงบ”
เถาฮองเฮาอ้าปาก ภายในดวงตาฉายแววไม่เต็มใจ แต่สุดท้ายก็โน้มตัวพลันพูด “หม่อมฉันทูลลา!”