ตอนที่ 265 เถ้าดินปืน
เถาฮองเฮาอดกลั้นความโกรธเอาไว้ เสด็จกลับไปยังตำหนักเว่ยยางอย่างเงียบๆ
นางในทั้งตำหนักเว่ยยางล้วนไม่กล้าหายใจเสียงดัง เกรงว่าจะกลายเป็นคนโชคร้ายที่ต้องรองรับอารมณ์
แม้แต่คนที่มีปฏิกิริยาเชื่องช้าก็สามารถสัมผัสได้ถึงบรรยากาศตึงเครียดเหมือนพายุกำลังจะโหมกระหน่ำ
ผ่านไปเป็นเวลานาน ในที่สุดเถาฮองเฮาก็ทรงทำลายความเงียบ “องค์ชายสามอยู่ที่ใด เหตุใดจึงไม่เห็นเขา”
เหมาเส้าเจี้ยนรีบทูลตอบ “ทูลฮองเฮา เวลานี้องค์ชายสามยังทรงอยู่ที่ตำหนักซิงชิ่ง”
เถาฮองเฮาประหลาดใจ “ฝ่าบาทยังไม่ทรงไล่เขาไปหรือ”
เหมาเส้าเจี้ยนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้น “องค์ชายสามทรงไม่ได้เข้าตำหนักบรรทม ดังนั้นฝ่าบาทจึงไม่ได้ทรงไล่เขาไป อนุญาตให้เขาอยู่ในตำหนักด้านข้างต่อ”
เถาฮองเฮาได้ยินจึงหัวเราะเสียงเย็น
“ที่ผ่านมา ข้ามักคิดว่าเจ้าสามยังเด็ก ไม่เคยประสบเรื่องใด ไม่รู้ความชั่วร้ายบนโลก ทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องเลวหรือสกปรก ข้าล้วนจัดการแทนเขา เขาเพียงแค่ต้องเป็นองค์ชายที่รู้จักพัฒนาตนเองก็พอ
แต่หารู้ไม่ว่าเขาเติบใหญ่มานานแล้ว เรื่องมากมายแม้เขาจะไม่เคยประสบ แต่เขาเคยเห็น เคยได้ยิน เขารู้ว่าควรรับมืออย่างไร อีกทั้งยังรู้จักไขว่คว้าโอกาสเอาไว้ สุดท้ายแล้วก็เป็นความผิดของข้าที่คิดว่าเขายังเด็ก แต่ลืมไปว่าอายุอย่างเขาสามารถรับผิดชอบได้แล้ว เฮ้อ…”
ฮองเฮาทรงถอนหายใจด้วยความรู้สึกผิด
มีทั้งผิดหวัง มีทั้งโศกเศร้า
บุตรชายสุดที่รักที่นางโอบอุ้มปกป้องอยู่ในมือเติบใหญ่แล้ว ไม่เพียงมีความคิดเป็นของตนเอง นอกจากนี้ยังเรียนรู้ที่จะไขว่คว้าโอกาส รู้จักการละทิ้ง
นางละเลยข้อนี้เสมอมา เจ้าสามเป็นองค์ชายที่เติบโตเพียงพอที่จะแบกรับหน้าที่ได้แล้ว
นางหัวเราะเยาะตัวเอง “ปล่อยให้เขาอยู่ในตำหนักซิงชิ่งเถิด อย่างน้อยก็ได้ใกล้ชิดกับฝ่าบาท ไปเชิญพระราชบุตรเขยหลิวเป่าผิงมา ข้ามีเรื่องต้องถามเขา”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
เหมาเส้าเจี้ยนโน้มตัวน้อมรับคำสั่ง พลันสั่งให้คนออกจากวังหลวงไปเชิญพระราชบุตรเขยหลิวเป่าผิงอย่างรวดเร็ว
…
ซีหยงบุกรุกลงใต้ เรื่องนี้หลิวเป่าผิงได้ข่าวเร็วกว่าทุกคน
อย่างไรก็ตาม บิดาของเขาคือซื่อจื่อแห่งเหลียงโจว ส่วนตัวเขาเป็นแม่ทัพของเหลียงโจว
กองทัพของเหลียงโจวล้วนอยู่ในการดูแลของตระกูลหลิว
ซีหยงบุกรุกลงใต้ย่อมไม่อาจเล็ดรอดจากสายตาของกองทัพเหลียงโจว
เมื่อรู้ว่าเถาฮองเฮาทรงเชิญเขาเข้าวังหลวง เขาก็รู้ดีแก่ใจว่าข่าวการบุกรุกลงใต้ของซีหยงถูกส่งไปถึงในวังแล้ว
เขาแต่งกายเรียบร้อย เดินทางมายังตำหนักเว่ยยางทันที
เมื่อพบเถาฮองเฮา เขาโน้มตัวถวายบังคม “กระหม่อมถวายบังคมฮองเฮา ฮองเฮาพระวรกายแข็งแรง”
เขาแทนตัวเองเป็นขุนนาง ไม่ใช่พระราชบุตรเขย
พระราชวังเป็นเช่นนี้เสมอมา
มีแต่สูงต่ำระหว่างจักรพรรดิและขุนนาง ไร้ซึ่งเยื่อใยแห่งสายเลือดหรือความสัมพันธ์ในการแต่งงาน
เถาฮองเฮาบอกให้เขานั่งลง จากนั้นเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “ซีหยงบุกรุกลงใต้ ทั้งวางเพลิงทั้งปล้นฆ่า การกระทำโหดเหี้ยมอย่างมาก กองกำลังของเหลียงโจวมีวิธีขับไล่ซีหยงออกจากด่านไปหรือไม่ สามารถยับยั้งการบุกรุกลงใต้ของซีหยงได้หรือไม่”
เพื่อเรื่องการบุกรุกลงใต้ของซีจิงตามคาด
พระราชบุตรเขยหลิวเป่าผิงยืดหลังตรง พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ทูลฮองเฮา ซีหยงบุกรุกลงใต้ในคราวนี้ พวกเขาตั้งใจเลือกช่วงเวลาที่กองกำลังเหลียงโจวกำลังสยบความวุ่นวายตามพระราชโองการ อีกทั้งยังหลีกเลี่ยงด่านของพื้นที่เหลียงโจว เปลี่ยนไปใช้ด่านเฟิงโข่วระหว่างเหลียงโจวและโยวโจวที่มีการป้องกันอ่อนแอที่สุด
เวลานี้ กองกำลังเหลียงโจวเริ่มถอนกำลังกลับเพื่อไล่ล่า เพียงแต่จะไล่ล่าทันหรือไม่ สามารถขับไล่ซีหยงออกจากด่านได้หรือไม่ ยังต้องดูว่าท่านโหวกว่างหนิง เยียนโส่วจ้านให้ความร่วมมืออย่างดีหรือไม่”
เถาฮองเฮาขมวดคิ้วมุ่น “เจ้าหมายความว่า ท่านโหวกว่างหนิง เยียนโส่วจ้านจะไม่ให้ความร่วมมือกับกองทัพเหลียงโจว”
พระราชบุตรเขยหลิวเป่าผิงปฏิเสธ “ฮองเฮาทรงเข้าพระทัยผิดแล้ว กระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนี้ กองกำลังในมือของท่านโหวกว่างหนิง เยียนโส่วจ้านต้องกระจายกำลังพลเพื่อสยบโจรกบฏ บางทีการต่อต้านซีหยงของท่านโหวกว่างหนิงอาจไม่มีประสิทธิภาพเพียงนั้น
หากกองกำลังเหลียงโจวคิดจะไล่ล่าซีหยิง กองกำลังของท่านโหวกว่างหนิง เยียนโส่วจ้านย่อมต้องถ่วงกองกำลังซีหยงเอาไว้อย่างนั้นหนึ่งเดือน เวลาหนึ่งเดือนเกรงว่าจะทำให้ท่านโหวกว่างหนิง เยียนโส่วจ้านรู้สึกถึงแรงกดดันอย่างมาก แน่นอน หากเขาสามารถแบกรับความเสียหายมหาศาลได้ ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้”
เถาฮองเฮาหรี่ตาลงเล็กน้อย
นางเข้าใจความหมายของพระราชบุตรเขยหลิวเป่าผิง
เยียนโส่วจ้านมีความสามารถในการถ่วงกองทัพซีหยงเอาไว้ รอคอยการมาถึงของกองทัพเหลียงโจว จากนั้นทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันปราบปรามซีหยง
แต่ก่อนอื่นคือ เยียนโส่วจ้านจะได้รับความเสียหายอย่างมหาศาล
กองกำลังล้มตาย เกิดความเสียหายกว่าครึ่ง มูลค่าที่ต้องสูญเสียสูงจนน่ากลัว
มูลค่าเท่ากับกองกำลังครึ่งหนึ่งเท่ากับทำให้กองทัพของเยียนโส่วจ้านล่มสลาย
สูญเสียกองกำลังครึ่งหนึ่ง ดูเหมือนจะยังเหลือกองกำลังอีกครึ่งหนึ่ง แต่ความสามารถในการต่อสู้ของกองทัพเกรงว่าจะยังไม่ถึงร้อยละสิบ
เพราะเหตุใดหรือ
เพราะความสูญเสียกองกำลังกว่าครึ่งทำให้ความมั่นใจของกองทัพหายไป
ความหวาดกลัว ความตื่นตระหนกครอบคลุมอยู่ในใจของทุกคน
บนใบหน้าของแต่ละคนล้วนเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและสิ้นหวัง
กองทัพที่ขาดความมั่นใจ กองทัพที่มีแต่ความสิ้นหวัง จะมีความสามารถในการต่อสู้ได้อย่างไร
สถานการณ์ทั่วไป หากความเสียหายของกองกำลังมากถึงร้อยละสามสิบก็เท่ากับยืนอยู่ริมหน้าผาแห่งความล่มสลาย กองกำลังมีโอกาสพังทลายลงทุกเวลา
กองกำลังศัตรูหนึ่งร้อยนายก็สามารถไล่ล่ากองทัพที่พ่ายแพ้กว่าพันคนไกลถึงร้อยลี้
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เยียนโส่วจ้านสูญเสียกองกำลังกว่าครึ่งเพื่อถ่วงกองทัพซีหยงเอาไว้
เขาไม่ได้มีจิตใจที่เสียสละและสูงส่งเพียงนั้น
หากใช้พระราชโองการบีบบังคับ เยียนโส่วจ้านย่อมจะทำเหมือนน้อมรับ แต่แท้จริงแล้วขัดขืน
เขายินดีที่จะมองดูกองกำลังซีหยงเล็ดรอดจากสายตาตัวเองไป แต่ไม่มีทางที่จะออกกองกำลัง
เพราะเขาต้องรักษาความสามารถ
ซีหยงบุกรุกลงใต้ แต่แพะรับบาปกลับเป็นเหลียงโจว ราชสำนักและสวรรค์…
ภัยแล้งเมื่อปีที่แล้วไม่แบ่งแยกอาณาเขต
ราชวงศ์ต้าเว่ยลำบาก ชีวิตของชาวบ้านที่ราบก็ลำบากเช่นเดียวกัน
ผู้ใดก็อย่าคิดจะเอาตัวรอดจากความหายนะนี้
อย่างไรก็ตาม เยียนโส่วจ้านไม่ใช่แพะรับบาป
เยียนโส่วจ้านย่อมไม่มีทางแบกรับภาระหน้าที่ของอวี้สื่อเหลียงโจวไว้ที่ตัวเอง
ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายจะปรองดองเป็นญาติ ถึงแม้เยียนอวิ๋นถงแต่งงานกับหลิวเป่าจูก็ไม่มีทางทำให้เยียนโส่วจ้านเปลี่ยนใจ
เถาฮองเฮาขมวดคิ้ว พลางเอ่ยปากถาม “ตามที่เจ้าพูด ไม่มีวิธีรับมือกับซีหยงเลยหรือ หรือต้องมองดูซีหยงบุกรุกลงใต้ มุ่งหน้ามายังเมืองหลวงจริงหรือ”
สีหน้าของพระราชบุตรเขยหลิวเป่าผิงลังเล ผ่านไปเป็นเวลานานจึงพูดขึ้น “ยังมีอีกวิธี?”
“วิธีใด”
“ให้กองทัพเหนือเตรียมพร้อมในการออกรบ”
การเฝ้าระวังในท้องถิ่นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกองทัพซีหยง
กองกำลังที่สามารถถ่วงซีหยงเอาไว้ พร้อมทั้งขับไล่ออกไปได้มีเพียงกองทัพที่เป็นรูปแบบ
อาทิกองกำลังเหลียงโจว หรือกองกำลังโยวโจวของเยียนโส่วจ้าน…
กองกำลังของสำนักราชการท้องถิ่นนั้นไม่เพียงพอที่จะต้านทานศัตรู
แน่นอนว่าสามารถโยกย้ายกองกำลังจากที่อื่นมาต่อต้านซีหยง
ก่อนอื่นคือทันเวลา
กองกำลังที่อยู่ใกล้ที่สุดและปะทะกับซีหยงมากที่สุดก็คือกองกำลังเหลียงโจว รองลงมาก็คือกองกำลังโยวโจวของเยียนโส่วจ้าน
กองทัพเหนือเป็นการมีอยู่ที่พิเศษ
พวกเขาเป็นกองทัพเหล็กอันดับหนึ่งของราชวงศ์ต้าเว่ย
กองทัพเหนือเคลื่อนย้ายกองกำลังสู้รบ ย่อมสามารถตัดสินแพ้ชนะกับกองกำลังซีหยงได้
แต่…
เถาฮองเฮาส่ายหน้าเล็กน้อย “กองทัพใต้ออกจากเมืองหลวงไปสยบการจลาจล กองทัพเหนือปักหลักอยู่ในเมืองหลวงเพื่อคุ้มกันพระราชวัง หากส่งแม่ทัพกองทัพเหนือออกไปสู้รบกับซีหยง ผู้ใดจะปกป้องเมืองหลวง เมืองหลวงขนาดใหญ่ไม่อาจอาศัยเพียงองครักษ์จินอู่ได้”
พระราชบุตรเขยหลิวเป่าผิงกลับพูด “ไม่มีกองทัพเหลือ แต่เมืองหลวงยังมีองครักษ์ฝ่ายซ้ายและขวาอยู่ กำลังคนทั้งสองฝ่ายรวมกันราวสองหมื่นนาย เพียงพอต่อการปกป้องพระราชวัง เฝ้าระวังเมืองหลวง”
เถาฮองเฮาหัวเราะเยาะ “องครักษ์ฝ่ายซ้ายและขวาขาดการฝึกฝน ความสามารถในการต่อสู้เพียงพอที่จะควบคุมสามัญชนเท่านั้น ให้พวกเขาอารักขาวังหลวง ช่างเป็นเรื่องน่าขันสิ้นดี”
องครักษ์ฝ่ายซ้ายและขวาล้วนเป็นกองกำลังที่ถูกทุกคนละเลย
เพราะองครักษ์ฝ่ายซ้ายและขวามีความสามารถในการสู้รบต่ำต้อยเกินไป
สาเหตุที่ยังเก็บองครักษ์ทั้งสองฝ่ายเอาไว้ หนึ่งเพราะกฎระเบียบของบรรพบุรุษ สองคือจัดการปัญหาการจ้างงาน
อย่างน้อยก็ต้องมีพื้นที่ให้คนหนุ่มหาข้าวกิน!
การเป็นทหารของฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา อย่างน้อยก็สามารถมีอาหารสามมื้อในแต่ละวัน ในแต่ละปีได้ชุดอีกสองชุด
หากปีไหนดีหน่อย ยังมีเงินเดือนเพิ่มอีกร้อยละสามสิบ
สามัญชนในเมืองหลวง คนหนุ่มหางานได้ไม่ง่าย ความกดดันในการรับจ้างสูง กินปริมาณมาก ทั้งวันไม่มีเรื่องใดทำก็รู้จักแต่ก่อปัญหา
ส่งผลให้เกิดอันตรายซ่อนเร้นต่อการรักษาความปลอดภัยในเมืองหลวงอย่างมาก
องครักษ์ซิ่วอีสัมผัสมันได้อย่างลึกซึ้ง
คนหนุ่มเหล่านี้สู้ไปอยู่เป็นองครักษ์ฝ่ายซ้ายฝ่ายขวาให้พวกทหารดูแลเสียดีกว่า
ในเรือนยังสามารถประหยัดเสบียงได้หนึ่งคน ไม่ต้องวิ่งไปช่วยคนมาจากสำนักราชการทุกสองสามวัน
ไม่คาดหวังว่าพวกเขาจะสามารถสู้รบได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถฝึกระเบียบ ไม่สร้างภาระให้เมืองหลวง
ดังนั้นความสามารถในการต่อสู้ขององครักษ์ฝั่งซ้ายขวาที่ทำได้เพียงกดขี่สามัญชนจึงมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้
พระราชบุตรเขยหลิวเป่าผิงเสนอให้องครักษ์ซ้ายขวาคุ้มกันวังหลวง ทำให้นางหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ
ความคิดเหลวไหลเสียจริง
พระราชบุตรเขยหลิวเป่าผิงพูดอีก “หากกองทัพเหนือไม่สามารถออกจากเมืองหลวงไปสู้รบได้ คงมีเพียงออกพระราชโองการโยกย้ายแม่ทัพในแต่ละท้องถิ่นขึ้นเหนือเพื่อต่อต้านการบุกรุกลงใต้ของซีหยง เพียงแค่มีกองกำลังที่เพียงพอในการถ่วงซีหยงเอาไว้ รอเพียงกองกำลังเหลียงโจวไปถึง กองกำลังซีหยงก็เป็นเพียงปลาบนเขียง รอให้คนเชือด”
น้ำเสียงของหลิวเป่าผิงเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจที่ปิดบังเอาไว้ไม่อยู่
เขามีเหตุผลในการภาคภูมิใจ
หากไม่นับกองทัพเหนือ กองทัพเหลียงโจวก็เป็นอันดับหนึ่ง
ถึงแม้จะต้องปะทะกับกองทัพเหนือก็มีโอกาสที่จะชนะ
เหตุใดซีหยงถึงหลีกเลี่ยงพื้นที่เหลียงโจว ก็เพราะกลัวทหารเหลียงโจวไม่ใช่หรือ
ตราบใดที่ปะทะกับทหารเหลียงโจว ย่อมต้องตกอยู่ในสงครามที่กินเวลายาวนาน
ราชวงศ์ซีหยงไม่มีทรัพยากรที่สามารถสูญสิ้นได้อีก อีกทั้งยังไม่มีกองกำลังเพียงพอที่จะสูญเสีย
พวกเขาทำสงครามที่กินเวลานานไม่ได้
พวกเขาต้องการเสบียงที่รวดเร็วและมากเพียงพอ
การหลีกเลี่ยงเหลียงโจว เดินทางลงใต้จากด่านเฟิงโซ่วที่อ่อนแอที่สุด บุกปล้นชิงฆ่า ก่อเรื่องชั่วร้าย จุดประสงค์ก็เพื่อได้มาซึ่งเสบียงในปริมาณมากที่สุดในเวลาที่สั้นที่สุด
แน่นอน มันยังเกี่ยวข้องกับนิสัยโหดเหี้ยมของซีหยง พวกเขาเห็นคนก็ฆ่า เวลาส่วนใหญ่เพียงเพื่อระบายอารมณ์ หรือลดภาระ
บางครั้งเพื่อลดการสูญเสียของเสบียง พวกเขามักจะกำจัดเชลยทั้งหมดทิ้ง
กองกำลังเหลียงโจวต้องการปราบปรามกองกำลังซีหยงที่บุกรุกลงใต้กลุ่มนี้ ก่อนอื่นคือต้องมีคนยอมเสียสละ ถ่วงกองกำลังซีหยงกลุ่มนี้ให้พวกเขา ถ้าจะให้ดีที่สุดคือกักขังพวกเขาไว้ในที่แห่งหนึ่ง บั่นทอนกำลังการต่อสู้และเสบียงของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง
เพียงแต่…
ผู้ใดจะเสียสละ
กองกำลังโยวโจวของเยียนโส่วจ้านเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
แต่เยียนโส่วจ้านมีเพียงจะให้ผู้อื่นเป็นเถ้าดินปืน ส่วนตัวเขาเองไม่มีวันเป็นเด็ดขาด
ผู้ใดกล้าบังคับเขา เขาก็กล้าเปิดถนนหลวง ส่งกองกำลังโยวโจวลงใต้
เขายโสโอหังเช่นนี้เสมอมา!
เถาฮองเฮาขมวดคิ้วมุ่น “มีวิธีใดที่สามารถบังคับให้เยียนโส่วจ้านยอมจำนนหรือไม่”
พระราชบุตรเขยหลิวเป่าผิงครุ่นคิดอย่างละเอียด “บางทีอาจใช้ประโยชน์จากบุตรชายคนโตของเขา เยียนอวิ๋นฉวน สามารถลองได้ แต่อาจไร้ประโยชน์”
เถาฮองเฮากลับหัวเราะขึ้นมา “อย่าสนว่าจะได้ผลหรือไม่ เพียงแค่ลองดูเท่านั้น”
เยียนอวิ๋นฉวน บุตรชายคนโตของท่านโหวกว่างหนิง เยียนโส่วจ้านถึงเวลาได้ใช้ประโยชน์แล้ว
นางเรียกเหมาเส้าเจี้ยนมากำชับเสียงเบา “เจ้าไปยังตำหนักซิงชิ่ง เล่าเรื่องที่ข้าคุยกับพระราชบุตรเขยให้เขาฟัง ให้เขาหาโอกาสทูลต่อฝ่าบาท เยียนอวิ๋นฉวนเป็นขุนนางราชสำนัก สมควรแบ่งเบาภาระแทนราชสำนักและฝ่าบาท”
——————-