ตอนที่ 270 ตายหมด
อะไรนะ
ฮ่องเต้จะพบท่านแม่แต่ไม่ส่งขุนนางฝ่ายในประตูเหลืองมาเชิญ หากแต่ส่งองครักษ์จินอู่มาเชิญ
หมายความว่าอย่างไร
หากท่านแม่ไม่ยอมเข้าวังหรือยืดเยื้อก็จะใช้กำลังหรือ
“เจ้าบังอาจ!”
เยียนอวิ๋นฉีตำหนิเสียงดัง!
เจิ้งกังขยับคิ้วเล็กน้อย พลันพูดกลั้วหัวเราะ “กระหม่อมไม่บังอาจ! สิ่งที่กระหม่อมทำล้วนปฏิบัติตามรับสั่ง ฝ่าบาททรงรอท่านหญิงอยู่ในวังหลวง พวกเราอย่าได้ล่าช้า ทำให้ฝ่าบาททรงรอนาน!”
เยียนอวิ๋นฉียังคิดจะต่อว่า แต่ถูกเซียวฮูหยินห้ามเอาไว้
เซียวฮูหยินสงบนิ่งอย่างมาก นางถาม “เจ้าบอกว่าฝ่าบาททรงเรียกข้าเข้าเฝ้าในวัง แต่คนที่มาไม่ใช่ขุนนางฝ่ายในประตูเหลือง แต่เป็นองครักษ์จินอู่ที่ชื่อเสียงโด่งดัง ข้าจะกล้าเชื่อได้อย่างไรว่าเจ้าพูดความจริง หากเจ้ากำลังหลอกข้า รอข้าออกจากประตูจวนท่านหญิงก็ทำอันตรายต่อข้า…”
“ท่านหญิงกังวลเกินไปแล้ว!”
เจิ้งกังพูดขัดเซียวฮูหยินทันที
เขาพูดอย่างจริงจัง “ให้ความกล้าข้าอีกสักสิบเท่า ข้าก็ไม่กล้าถ่ายทอดพระราชโองการเท็จ แม้ในมือของข้าหนึ่งไร้พระราชโองการ สองไร้ตรารับสั่งของฝ่าบาท มีเพียงสารจากฝ่าบาทก็จริง แต่ข้าได้รับสั่งจากฝ่าบาทให้เชิญท่านหญิงเข้าวังจริง หากท่านหญิงไม่วางใจ สามารถให้พระชายาองค์ชายสอง หรือคุณหนูสี่ส่งท่านไปถึงประตูวังหลวง ข้าย่อมจะพาท่านไปถึงตำหนักซิงชิ่ง เข้าเฝ้าฝ่าบาท”
เยียนอวิ๋นฉีร้อนใจ “ท่านแม่ อย่าได้เชื่อเขา คนขององครักษ์จินอู่เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก บางทีเขาอาจกำลังหลอกลวงท่านแม่อยู่”
เจิ้งกังหัวเราะขมขื่น เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงให้เขามาเชิญท่านหญิงจู้หยางเข้าวัง หากไม่ใช่ขุนนาฝ่ายในประตูเหลือง
มันคงเป็นบททดสอบของฝ่าบาท
เจิ้งกังพูดเสียงดัง “ท่านหญิงอย่าได้เสียเวลาดีกว่า ท่านสามารถเดินทางไปยังวังหลวงด้วยตนเอง ข้าน้อยจะคุ้มกันท่านอยู่ด้านหลัง อย่างไรก็ตาม ฝ่าบาททรงเรียกท่านเข้าพบจริง ขอให้ท่านหญิงอย่าเสียเวลาอีก มิฉะนั้นฝ่าบาทอาจทรงกริ้วได้”
“เจ้ากำลังข่มขู่ท่านแม่ข้าหรือ” เยียนอวิ๋นฉีถาม
เจิ้งกังเลิกคิ้วยิ้ม พูดเสียดสี “พระชายาองค์ชายสอง หากข้าตั้งใจข่มขู่ท่านหญิงย่อมไม่เกรงใจเพียงนี้ แต่ว่าไม่โทษท่าน เพราะที่ผ่านมาท่านไม่เคยติดต่อกับข้า ไม่รู้นิสัยของข้า หากวันนี้ข้ามาเพื่อจับท่านหญิง ท่านคิดว่าข้าจะมีความอดทนฟังพวกท่านพร่ำบ่นกันหรือ”
บังอาจ!
เยียนอวิ๋นฉีกำสองมือแน่น ทำท่าจะอาละวาด
เซียวฮูหยินชิงพูดขึ้นก่อน “ข้าตามเจ้าเข้าวัง ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่กล้าถ่ายทอดพระราชโองการเท็จ เจ้าเป็นทหารหน้าม้าของฝ่าบาท ทุกคนต่างรังเกียจ หากเจ้ากล้าถ่ายทอดพระราชโองการเท็จ บนแผ่นดินนี้คงไม่มีพื้นที่ให้เจ้า เจิ้งกังอยู่”
เจิ้งกังไม่โกรธ หากแต่ยังหัวเราะ “ท่านหญิงมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ข้าน้อยเป็นเพียงสุนัขเฝ้าบ้านของฝ่าบาท ย่อมไม่กล้าตัดสินใจโดยพลการ แต่หากผู้ใดกล้าขัดขืนฝ่าบาท ข้าน้อยก็จะกลายร่างเป็นสุนัขร้าย เห็นผู้ใดก็กัดผู้นั้น”
ไม่เคยเห็นผู้ใดเปรียบเทียบตัวเองเป็นสุนัขได้อย่างตรงไปตรงมาและภาคภูมิใตเช่นนี้มาก่อน
เยียนอวิ๋นฉีกังวลอย่างมาก “ท่านแม่จะตามเขาเข้าวังจริงหรือ แต่…”
เซียวฮูหยินโบกมือ “เจ้าไม่ต้องกังวล เจ้ากลับจวนองค์ชายไปก่อน รอข้าออกจากวังหลวงมา ย่อมจะส่งคนไปบอกเจ้า”
เยียนอวิ๋นฉีไม่ยอม “ข้าจะรอท่านแม่กลับมาที่นี่”
“ไม่ต้อง! ข้าจะกลับมาเมื่อใดยังบอกได้ไม่แน่ชัด เจ้ายังมีบุตรรอเจ้ากลับไปอยู่ในจวน อย่าดื้อ เชื่อฟังข้า”
เยียนอวิ๋นฉีนึกถึงบุตรของตนเอง นางกัดฟัน “ได้! ข้าเชื่อฟังท่านแม่ ข้าจะส่งท่านแม่ไปถึงวังหลวง จากนั้นข้าจะกลับจวนองค์ชาย”
“ดีมาก!”
หัวหน้าองครักษ์จินอู่เจิ้งกังพูดขึ้น “ท่านหญิงไม่ให้คุณหนูสี่ส่งหรือ”
เซียวฮูหยินยิ้มอย่างรู้ทัน “ใต้เท้าเจิ้งวางใจ อวิ๋นเกอไม่มีทางยิงธนูใส่เจ้าลับหลัง เจ้าสามารถออกจากจวนท่านหญิงไปกับข้าได้อย่างวางใจ”
เจิ้งกังไม่อยากยอมรับว่าเขาแอบโล่งใจไปชั่วขณะ
เขาหัวเราะเพื่อกลบเกลื่อนความอับอายภายใจใจ “ท่านหญิงช่างพูดเล่นเสียจริง ข้ามานับครั้งแล้ว แต่ไม่เคยพบหน้าคุณหนูสี่ ช่างน่าเสียดาย”
“นางเป็นสตรี เจ้าพบนางทำอันใด หรือเจ้าคิดอันใดกับน้องสี่ของข้า” เยียนอวิ๋นฉีถามเขา
เจิ้งกังหัวเราะ “พระชายาองค์ชายสองช่างมีความสามารถในการพูดเล่น ท่านเห็นข้ามีท่าทางเหมือนคิดไม่ดีกับผู้ใดหรือ”
“เหมือน! ท่าทางของเจ้าเหมือนคิดไม่ดีกับผู้ใดอยู่เสมอ”
“พระชายาองค์ชายสองอย่าได้พูดเช่นนี้ อาทิ ข้าไม่มีความคิดใดต่อจวนองค์ชายสอง นอกเสียจากวันหนึ่ง องค์ชายสองทรงทำเรื่องผิดแล้วบังเอิญตกอยู่ในมือของข้า…”
“เจ้ากล้า!”
“ฮาๆ …“
เจิ้งกังเปล่งเสียงหัวเราะ แต่ไม่ตอบ
แต่คำตอบล้วนอยู่ในนั้น
หากรอจนถึงวันที่องค์ชายสองทรงทำเรื่องผิด ดูว่าเขาจะกล้าหรือไม่
เขาชอบจับเชื้อพระวงศ์และขุนนางผู้สูงส่งที่สุด
เรื่องที่ทำให้เขาหลงใหลที่สุดก็คือการทำให้ตระกูลใหญ่หายไปจากแผ่นดินนี้อย่างสิ้นเชิงด้วยสองมือของเขา
แต่วิธีการขอฝ่าบาททรงมีเมตตาเกินไป ไม่อาจกำจัดตระกูลขุนนางเหล่านั้นได้อย่างสิ้นเชิง
ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย
เซียวฮูหยินเปลี่ยนชุด จากนั้นพาสาวรับใช้นั่งรถม้าออกจากจวนท่านหญิงไป
เยียนอวิ๋นฉีเดินทางไปส่ง
เยียนอวิ๋นเกอไม่ปรากฏตัว เจิ้งกังขี่ม้ามองดูรอบด้าน
เขาสงสัยว่าเยียนอวิ๋นเกออยู่บริเวณใกล้เคียง คอยติดตามพวกเขาอยู่อย่างใกล้ชิด
เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าคนซ่อนอยู่ที่ใด
ในที่สุดก็มาถึงประตูวังหลวงอย่างราบรื่น
เซียวฮูหยินกำชับให้เยียนอวิ๋นฉีรีบกลับไป อย่าได้อยู่ที่หน้าประตูวังหลวงนาน
“เจ้าวางใจ ฝ่าบาทคงไม่ทรงกลั่นแกล้งข้า”
“แต่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ…”
“เรื่องทางตะวันตกเฉียงเหนือต้องให้สตรีอย่างพวกข้ากังวลต้องแต่เมื่อใดกัน แผ่นดินต้าเว้ยตกต่ำจนต้องให้สตรีช่วยเหลือ แผ่นดินนี้ก็คงจบสิ้นแล้ว กลับไปเถิด รอคอยข่าวอย่างวางใจ เจ้าก็อย่าทำให้องค์ชายสองทรงลำบากใจ เขาออกหน้าก็ไร้ประโยชน์ จำได้หรือไม่”
เยียนอวิ๋นฉีพยักหน้าอย่างหนัก ภายในใจกังวลอย่างมาก “ให้ข้าตามท่านแม่เข้าวังดีหรือไม่เจ้าคะ”
เซียวฮูหยินหัวเราะ “อย่าล้อเล่น! ฝ่าบาททรงเรียกข้าเข้าเฝ้า เจ้าจะตามข้าเข้าวังได้อย่างไร เจ้าไม่เอาบุตรแล้วหรือ”
เมื่อพูดถึงบุตร เยียนอวิ๋นฉีก็ไม่อาจยืนกรานต่อไปได้
นางทั้งหดหู่ทั้งละอาย แต่สิ่งที่มากกว่านั้นคือความกังวล
นางมองดูเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดาเดินเข้าประตูวังหลวง หัวใจของนางก็บีบคั้นขึ้นมา
เยียนอวิ๋นเกอมาถึงข้างกายนางตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ “พี่สองอย่าได้ยืนอยู่หน้าประตูวังหลวงเป็นเวลานาน ระวังขุนนางฝ่ายในประตูเหลืองขับไล่”
“น้องสี่มาเมื่อใด”
เยียนอวิ๋นเกอเลิกคิ้วยิ้ม “ข้ามาสักพักแล้ว พี่สองวางใจ ท่านแม่ไม่เป็นอันใด”
เยียนอวิ๋นฉีกุมมือของนางเอาไว้ “ข้ากังวลอย่างมาก ฝ่าบาททรงเรียกท่านแม่เข้าเฝ้า เหตุใดจึงไม่ส่งขุนนางฝ่ายใน หากแต่ให้องครักษ์จินอู่มาเชิญ หรือฝ่าบาทจะทรงทำอันตรายต่อท่านแม่”
เยียนอวิ๋นเกอกวาดตามองประตูพระราชวัง นางจูงพี่สองขึ้นรถม้า พลางเดินพลางพูด
“ฝ่าบาททรงให้องครักษ์จินอู่ออกหน้ามาเชิญท่านแม่ อาจเพราะต้องการข่มขวัญ หรืออาจเพราะต้องการระบายความโกรธ”
“ระบายความโกรธ?”
เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า “องครักษ์จินอู่ต้องการจับเยียนอวิ๋นฉวน มันไปสองสามวันแล้ว แม้แต่เส้นขนของเยียนอวิ๋นฉวนก็ยังจับไม่ได้ ท่านว่าฝ่าบาททรงโกรธหรือไม่ ท่านแม่ในฐานะนายแม่ของตระกูลเยียน มารดาใหญ่ของเยียนอวิ๋นฉวน ฝ่าบาทย่อมต้องพบสักครั้ง คงไม่อาจเพิกเฉยต่อท่านแม่ ในขณะที่องครักษ์จินอู่ไล่ล่าจับกุมเยียนอวิ๋นฉวนอย่างเอิกเกริก”
“แต่ว่าหากฝ่าบาททรงใช้ท่านแม่บังคับท่านพ่อจะทำอย่างไร”
“ไร้ประโยชน์! ทุกคนต่างรู้เรื่องนี้ดี ฝ่าบาทเองก็ทรงรู้ดี ฝ่าบาททรงเรียกท่านแม่เข้าวัง ไม่แน่ว่าเวลานี้กำลังพูดคุยกันอย่างสันติ”
…
ตำหนักซิงชิ่ง
เซียวฮูหยินถูกเชิญเข้าตำหนักบรรทม
ฮ่องเต้เอนนอนอยู่บนเตียงหลัวฮั่น บนตัวคุลมชุดคลุมหนึ่ง
ถึงแม้ยังไม่ถึงฤดูร้อน แต่อากาศก็ร้อนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เซียวฮูหยินสวมชุดฤดูใบไม้ผลิ แต่ฮ่องเต้ยังคงคลุมชุดคลุมหนา
การแต่งกายที่ผิดปกตินี้ ทำให้เซียวฮูหยินขมวดคิ้วเล็กน้อย
พระอาการของฮ่องเต้ทรงหนักหนาเพียงนี้แล้วหรือ
มองเคราที่ขาวไปกว่าครึ่งของฮ่องเต้ เซียวฮูหยินก็แอบถอนหายใจ
นางโน้มตัวถวายบังคม นั่งลงกับพื้นพลันพูดขึ้น “ฝ่าบาททรงชราแล้ว!”
ฮ่องเต้หย่งไท่กระแอมไอเสียงเบา “ใช่ พวกข้าล้วนชราแล้ว มีเพียงเจ้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยเมื่อเทียบกับตอนที่เพิ่งกลับมาเมืองหลวง”
เซียวฮูหยินโน้มตัวเล็กน้อย “ข้าก็แค่ปล่อยวางได้”
ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะเย้ยหยัน “หากเจ้าปล่อยวางได้ เหตุใดจึงอยู่ในเมืองหลวงนับปี ไม่ยอมกลับแคว้นซ่างกู่”
“เพราะข้าปล่อยวาง ดังนั้นจึงไม่กลับแคว้นซ่างกู่ไปรองรับอารมณ์ หรือฝ่าบาททรงเห็นข้าขัดหูขัดตา เตรียมส่งข้ากลัวแคว้นซ่างกู่หรือ”
ฮ่องเต้หย่งไท่ส่ายหน้าช้าๆ “เจ้าไม่อยากกลับไป ข้าไม่มีทางบังคับให้เจ้ากลับไป ตอนนั้นฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานเจ้าให้เยียนโส่วจ้านได้อย่างไม่เหมาะสม โชคดีที่หลายปีนี้เจ้าใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัย อีกทั้งกลับมาเมืองหลวงอย่างรารื่น ข้าดีใจแทนเจ้า”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท! ขอฝ่าบาททรงรักษาพระวรกาย อย่าทรงเหน็ดเหนื่อยเกินไป เรื่องบ้านเมืองหนักหนาก็ทรงให้ขุนนางแบ่งเบาบ้าง ไม่ต้องลงมือเองทุกเรื่อง”
ฮ่องเต้หย่งไท่เผยรอยยิ้ม “ข้ารู้ว่าเจ้าจะเข้าใจข้า ซีหยงนำทัพลงใต้อย่างดุเดือด สำนักราชการระหว่างทางไร้ความสามารถในการต้านทาน เวลานี้มีเพียงเยียนโส่วจ้านพอจะมีกำลัง เพียงแค่เขายอมช่วยเหลือก็จะถ่วงทหารซีหยงเอาไว้ได้ รอกองทัพเหลียงโจวเดินทางมาถึง ย่อมสามารถปราบปราบกองกำลังซีหยงได้
แต่ ข้ารู้จักเยียนโส่วจ้านดี ถึงแม้ข้าจะออกพระราชโองการให้เขา แต่เขาก็ไม่มีทางยอมถ่วงกองกำลังซีหยงอย่างเต็มความสามารถ เขาเคยชินกับการรักษากำลังที่แท้จริง เรื่องที่ทำให้เขาต้องสูญเสียกองกำลังอย่างไร้ผลประโยชน์เช่นนี้ เขาย่อมจะทำแบบขอไปที
แต่หากเขาไม่ยอมถ่วงกองทัพซีหยงบุกรุกลงใต้ ซีหยงก็จะบุกรุกเข้ามาถึงนครบาลอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงเวลานั้น แผ่นดินต้าเว้ยวิกฤต เจ้าว่าข้าควรทำอย่างไร”
เซียวฮูหยินครุ่นคิด พลันส่ายหน้าช้าๆ “ถึงแม้เยียนโส่วจ้านยอมทุ่มเทสุดกำลัง แต่ก็คงไม่อาจถ่วงกองกำลังซีหยงเอาไว้ได้”
“ข้าไม่เชื่อ!”
เซียวฮูหยินเอ่ยเตือน “โยวโจวก็กำลังเกิดเหตุการณ์จลาจล โจรกบฏเหิมเกริม เวลานี้เยียนโส่วจ้านกำลังสยบกบฏ กองทัพซีหยงบุกรุกลงใต้ เขาก็ไม่อาจแบ่งกำลังพลที่เพียงพอออกมาได้ จะยังยั้งได้อย่างไร”
ฮ่องเต้หย่งไท่พูดขึ้นทันที “ข้าออกรับสั่งให้พวกเขาถอนกำลังแล้ว ปล่อยโจรกบฏกลุ่มนั้นไปชั่วคราว กำจัดกองกำลังซีหยงก่อน จากนั้นค่อยปราบปรามการจลาจล”
“เสบียงมาจากที่ใด เงินเดือนของทหารมาจากที่ใด โยวโจวกันดาร ส่วยมีจำกัด ให้เยียนโส่วจ้านออกกำลังอย่างต่อเนื่อง เขาเองก็หมดปัญญา กำลังที่สะสมมาก่อนหน้านี้ถูกใช้ในการปราบปรามการจลาจลแล้ว บรรดาทหารต้องการพักผ่อน สงครามอันตราย หากไม่พักผ่อนก็เดินหน้าปะทะกับทหารซีหยง กองกำลังโยวโจวเกรงว่าต้องตายหมด!”
——————-